มาแชร์เรื่องราวความรักของคุณกันเถอะ!!<3<3

เรื่องราวที่นำมาเล่าสู่กันฟังนี้ เป็นเรื่องราวความรักของผู้เขียนและแฟนผู้เขียนเองค่ะ ซึ่งเราทั้งคู่ตั้งใจนำมาเล่าเป็นประสบการณ์อีกแบบหนึ่งให้คู่รักอื่นๆได้ลองอ่านกันดูค่ะ อาจจะยาวหน่อยนะคะ เพราะเราจะเริ่มเล่าเรื่องราวตั้งแต่ตอนที่เจอกันใหม่ๆจนถึงปัจจุบันเลย มาติดตามกันเลยค๊าา.....

                      ผู้เขียนขอเรียกชื่อแทนตัวเองว่า “นัท”สาวแว่น
                      และเรียกแทนแฟนตัวเองว่า “พงษ์” ผู้ชายนะคะ    

การพบกันครั้งแรก
                      นัทเจอพงษ์ครั้งแรกตอนพวกเราเข้าค่ายวงโยธวาทิตด้วยกันค่ะ ตอนนั้นนัทอยู่ ม.1 พงษ์อยู่ ม.2 สารภาพเลยว่าตอนนั้นเราเป็นฝ่ายชอบเค้าก่อน พงษ์เป็นผู้ชายที่มีขนาดตาค่อนข้างเล็กแล้วก็หน้าใสๆ ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่สิวของเรากำลังเห่อขึ้นมาเต็มหน้าเลย สิวเม็ดใหญ่มาก แล้วนัทก็เป็นคนที่ค่อนข้างขี้อายค่ะ แต่ก็ชอบแอบมองพงษ์อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ เราจะชอบแอบมองเค้า แล้วพอเขาหันกลับเราก็จะรีบหันกลับ หรือเสมองไปทางอื่นทันที ช่วงนั้นคือเขินมาก แอบยิ้มคนเดียวตลอด ตอนนั้นนัทไม่คิดหรอกค่ะว่าจะมีใครมาสนใจผู้หญิงหน้าสิวๆอย่างเรา

                       ส่วนทางด้านของพงษ์นั้น ช่วงแรกๆที่เค้าเห็นเรามองไปบ่อยๆเค้าก็สงสัยว่า ‘เอ๊ะ มองมาทำไมนะ’ อะไรอย่างนี้ เค้าก็เลยไปคุยๆกับเพื่อนเค้าว่า ถ้าเรามองไปอีกเค้าจะมองกลับนะ แล้วไปๆมาๆ มองกันไป มองกันมา กลายเป็นชอบกันเฉยเลยฮ่าๆ พงษ์บอกว่าอยู่ดีๆก็รู้สึกถูกโฉลกขึ้นมาซะงั้น
พอคนรอบข้างเริ่มรู้ว่าเราสองคนมีความรู้สึกดีๆต่อกัน เขาก็เริ่มแซวค่ะ คราวนี้ก็รู้กันไปทั้งวงเลย เขินมาก แต่ความสัมพันธ์ของพวกเราในตอนนั้นไม่เคยมีอะไรเกินเลยนะคะ แค่จับมือยังไม่เคยเลยค่ะ ก็ยังเด็กอยู่อ่ะเนอะ ได้แต่ยิ้มๆ มองๆกัน มีเดินๆเฉียดกันก็แวะคุยกันนิดหน่อย พอหอมปากหอมคอ ต่อมาตอนใกล้วันที่จะแข่ง เหมือนว่าพงษ์จะพยายามมาขอเราเป็นแฟนค่ะ จำได้แม่นเลยค่ะ วันนั้นเราเดินผ่านกัน เขาเดินมากับเพื่อน เพื่อนเค้าทักเราว่า
                        
                       เพื่อนพงษ์: นัท แขนๆ (เราก็คิดในใจว่า เอ๊ะ แขนอะไร แล้วก็ก้มมองแขนตัวเอง)
                       เพื่อนพงษ์: แขนเป็นฟอ

                       อ่อ ขอเป็นแฟน เอ้ย! เรานี่เขินเลยค่ะ แต่ก็ไม่ได้ตอบตกลงอะไรไป สรุปแล้วหลังจากการเข้าค่ายครั้งนั้น พวกเราก็ไม่ได้ตกลงคบกันเป็นแฟนแต่อย่างใด เราคบกันแบบไม่มีสถานะ แต่เหมือนต่างคนต่างก็รู้ว่าชอบกัน พอจบค่ายไปก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับโรงเรียนตัวเอง ในสมัยนั้นนัทยังไม่มีโทรศัพท์มือถือค่ะ แล้วเราก็ไม่ได้ขออีเมล์ ไม่ได้แลกเบอร์กันไว้เลย แล้วก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย

                        หลังจากนั้นผ่านมาอีกประมาณ 6 เดือน ก็มีการเข้าค่ายขึ้นอีก ครั้งนี้พวกเราโตกันขึ้นมาอีกปีแล้ว ตอนนั้นนัทตื่นเต้นมากเลยที่จะได้เจอพงษ์ การเจอกันในครั้งนี้พงษ์ค่อนข้างแตกต่างจากครั้งที่แล้วนิดหน่อย คือส่วนสูงเพิ่มขึ้น แล้วก็ขาวขึ้นด้วย ครั้งนี้ความสัมพันธ์ก็พัฒนาขึ้นมาอีกนิดหน่อย มีพูดคุยกันบ้าง จับมือกัน ซื้อขนมให้กัน แอบเอารองเท้าของฝ่ายตรงข้ามไปซ่อนบ้าง(เล่นอะไรกันน้อ) ช่วงนั้นมีความสุขมากเลยค่ะ หลังจากจบค่ายนี้พวกเราก็แลกเบอร์โทรกันด้วยค่ะ เพราะแม่นัทเพิ่งซื้อโทรศัพท์ให้ใช้ และต่อจากนี้จะเป็นช่วงเวลาที่พวกเราต้องแยกกันจริงๆแล้วค่ะ เพราะพงษ์เรียนจบ ม.3 แล้วไปเรียนต่อที่กรุงเทพ ส่วนนัทก็ยังเรียนอยู่ที่เดิม

                         หลังจากที่พงษ์ไปเรียนต่อที่กรุงเทพ ช่วงแรกๆเค้าก็มีโทรมาหาเราบ้าง บางครั้งคิดถึงพ่อกับแม่ เค้าก็จะโทรหาเรา ร้องไห้กับเรา บอกว่าคิดถึงบ้าน แต่พอผ่านไปนานๆเราโทรไปก็ไม่ค่อยรับ บอกว่ายุ่งบ้าง ไม่ค่อยมีเวลาบ้าง ช่วงนั้นบอกตามตรงเลยค่ะว่าเราเองก็เริ่มทำใจ ตัดใจจากเค้าบ้างแล้ว แต่ก็ยังรักและคิดถึงเค้าอยู่

                                               ...................................................................................................
การพบกันครั้งใหม่
                          พอเราขึ้น ม.4 เราก็เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนในเมืองเดิม ในตอนนั้นเราอยากเรียน รด. ค่ะ เลยอยู่ฟิตร่างกายที่โรงเรียนกับเพื่อนๆและครูจนกลับบ้านเย็นกว่าปกตินิดหน่อย แล้วตอนนั้นเราก็เหลือบหางตาไปเห็นผู้ชายคนหนึ่ง ตัดผมทรงบ็อบ ผมยาวเกือบๆถึงบ่า ตัดผมหน้าม้า ใส่เสื้อแบบผ้ามัดย้อม และใส่กางเกงยีนยาวประมาณเข่า มีชายกางเกงขาดๆ  รุ่งริ่งย้อยลงมา แว๊บแรกที่เห็นตอนนั้นคือ ‘ใช่แน่’ คนๆนั้นคือพงษ์แน่นอน แต่ทำไมถึงตัดผมทรงนี้ แล้วเสื้อผ้าแบบนี้คืออะไร เรางงมากกับภาพที่เห็น ตอนนั้นเราเห็นเค้า แต่เค้าไม่เห็นเรานะคะ แล้วหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้เจอกันอีก

                           ต่อมาเราขึ้น ม.5 ค่ะ แล้วพอดีทางโรงเรียนจัดงาน เพื่อนของพงษ์ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของเราก็เลยเอาวงดนตรีมาเล่นคอนเสิร์ตเล็กๆในโรงเรียน แล้ววันนั้นพงษ์ก็ถูกรับเชิญมาเป็นมือกลองร่วมเล่นด้วย ตอนนั้นเราตื่นเต้นมากเลยที่จะได้เห็นพงษ์ชัดๆอีกครั้ง เรากับเพื่อนพากันไปนั่งเกือบชิดขอบเวทีเลยค่ะ แต่พงษ์แทบไม่ชายตามองมาด้วยซ้ำ (แห้วอีกตามเคย แหะๆ) เราก็อยู่จนงานเลิกแล้วช่วยเพื่อนๆเก็บของในงาน แล้วก็เห็นพงษ์เก็บเครื่องดนตรี ทางเราก็พยายามยิ้มให้ โบกไม้โบกมือ เค้าก็ไม่เห็นอีกค่ะ เค้าก้มหน้าก้มตาอย่างเดียวเลย เราก็ค่อนข้างเสียเซลฟ์อยู่เหมือนกัน

                            หลังจากงานโรงเรียน เพื่อนพงษ์ก็มาคุยกับเราค่ะ เค้าก็บอกว่าพงษ์น่ะกลับมาจากกรุงเทพแล้วนะ เรียนไม่จบแล้วกลับมาก่อน เราก็เลยเข้าใจว่าทำไมเค้ายังอยู่ที่นี่ เพื่อนพงษ์ก็บอกอีกว่า ‘พงษ์ติดยานะ รู้ไหม’ เราอึ้งเลยค่ะ ในความรู้สึกตอนนั้นเราไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินนะคะ รู้สึกช็อกและตกใจมาก แต่ก็เลือกที่จะฟังหูไว้หูค่ะ
                                              ............................................................................................................

เป็นแฟนกันนะ!?
                                ช่วงขึ้น ม.6 ใหม่ๆ จำได้แม่นเลยเพราะวันนั้นเป็นวันที่ 1 มกราคม พอดี มีคนมาขอเป็นเพื่อนเราในเฟสบุ้คค่ะ เราก็กดดูชื่อ ปรากฏว่าเป็นพงษ์ค่ะ พงษ์มาขอแอดเราเป็นเพื่อน นาทีนั้นไม่คิดอะไรแล้ว จะช้าอยู่ใย รีบกดรับในทันที อิอิ แล้วเราก็คุยกันในแชทค่ะ ประมาณว่า สบายดีไหม เป็นยังไงบ้าง แล้วเค้าก็มาขอโทษเราค่ะ ที่ทิ้งเราไปตอนที่เค้าไปเรียนต่อที่กรุงเทพ พงษ์บอกว่าตอนนั้นเค้าติดเพื่อนมาก กินเหล้าตลอด ออกนอกลู่นอกทาง อาจเป็นเพราะเพิ่งเคยได้อยู่ห่างจากครอบครัวเลยออกนอกลู่นอกทางขนาดนั้น ถึงขั้นเสียคนเลยก็ว่าได้ แล้วเค้าก็มาขอเราเป็นแฟนค่ะ เราก็ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังอะไรให้ดีก่อน บวกกับความดีใจที่เค้ากลับมาด้วย เลยตอบตกลงคบในทันทีเลยค่ะ

                              แล้วพงษ์ก็ขอโทรฯหาเรา เค้ายังจำเบอร์เราสมัย ม.2 ได้แม่นเลยค่ะ เค้าว่าเค้าไม่เคยลืมเบอร์นี้เลย นัทเลยถามเค้าว่าจำได้แล้วทำไมไม่โทรมาบ้าง เค้าบอกว่าไม่กล้า เค้ากลัวเราไม่ให้อภัย ช่วงนั้นกลายเป็นช่วงอินเลิฟของเราเลยก็ว่าได้ค่ะ พงษ์เป็นคนขี้หึงมากๆ เค้าจะโทรหาเรา แล้วโทรฟังตลอดเวลาแทบจะ 24 ชั่วโมง เลยก็ว่าได้ โทรจนแม่นัทบอกว่าเค้าออกแนวโรคจิตแล้วล่ะ เค้าเช็คเฟส เช็คทุกอย่าง ถามหมดเลยว่าที่ผ่านมาเราคบกับใครมาบ้าง คุยกับใครในแชทบ้าง แล้วก็ห้ามเราคุยกับผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน พี่ หรือแม้กระทั่งน้องชายที่เป็นญาติกันยังหึงเลย
                               ...........................................................................................................................................

                                                นี่เป็นแค่ช่วงครึ่งแรกนะคะ ยาวหน่อยน้า ใครขี้เกียจอ่านก็กดXออกโลดด ฮ่าๆๆ^^
                                                                           ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านกันค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่