ลวง
โดย...ล. วิลิศมาหรา
เมื่อความชั่วมาเจอกัน สิ่งเลวร้ายจึงบังเกิด ชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร
สีดาใส่แบงค์สีเทาสามใบนั้นลงในกระเป๋าถือใบเล็กที่คล้องแขนอยู่ สายตามองตามผู้หญิงวัยกลางคนร่างอ้วนใหญ่ในชุดเสื้อกางเกงสีสด ซึ่งกำลังตะเกียกตะกายหาทางขึ้นรถแท็กซี่ที่โบกได้อย่างทุลักทุเลด้วยความขบขันแกมสมเพช หญิงสาวร่างแบบบางนึกในใจว่า หญิงอ้วนคงกินจุมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งเมื่อตอนเด็ก ๆ ถ้าอ้วนท้วนก็คงน่ารักดีสำหรับคนเป็นพ่อแม่ แต่พอโตขึ้นท่าทางหล่อนคงยังปล่อยตามใจปากตัวเองจนรูปร่างอ้วนใหญ่เอาปานนี้ ช่างไม่นำพาว่าความอ้วนนั้นเป็นศัตรูกับความงามของผู้หญิงเอาเสียเลย
หญิงสาวรุ่นยืนมองจนแท็กซี่คันนั้นแล่นลับตาไปแล้ว จึงหยิบแบงค์พันหนึ่งในสามใบ ออกจากกระเป๋ามาถือไว้ในมือ สร้อยเส้นใหญ่ของหญิงอ้วนถูกเขว้างทิ้งไปในพงหญ้าข้างทางไร้ความใยดี สีดาจุดยิ้มมุมปากเมื่อนึกภาพใบหน้าอวบอูมนั้นเวลาเอาทองที่ได้จากการแลกกันกับเธอไปขาย
“ทองลายสวยจังเลยหนูจ๋า ลายนี้เจ๊ยังไม่มี”
ก่อนหน้านี้ หญิงแปลกหน้าร่างอ้วนชมสร้อยคอทองคำบนลำคอของเธอ หล่อนยิ้มระรื่น ลูบหลังไหล่สีดาอย่างรักใคร่เอ็นดูพลางจ้องสร้อยเส้นเล็กบนคอหญิงสาวรุ่นน้องเขม็ง หล่อนเปิดกระเป๋าถือหนังจระเข้ใบใหญ่ หยิบใบละพันออกมาปึกหนึ่ง กรีดนิ้วส่งสามใบแรกให้
“เจ๊ให้หนูอีกสามพันนอกจากทองสองบาทนั่น เพราะหนูเป็นคนเห็นก่อน เส้นที่คอหนูนี่คงแค่บาทเดียวใช่ไหมจ๊ะ”
สีดาอิดเอื้อนนิดหน่อยพอเป็นพิธี ก่อนถอดสร้อยของตัวเองส่งให้สาวรุ่นพี่ หญิงสาวรุ่นน้องเหมือนสำนึกบุญคุณยกมือไหว้หญิงอ้วนนอบน้อม ความจริงเธอก็รู้สึกขอบคุณจริง ๆ นั่นแหละ หญิงอ้วนแปลกหน้าคนนี้เข้ามาได้ถูกจังหวะ สีดากำลังเดือดร้อนต้องการใช้เงินอยู่พอดี
เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาสองสาวต่างวัยพบกันตรงหน้าปากซอยโดยบังเอิญ สีดากำลังจะเดินเลี้ยวออกถนนใหญ่เพื่อไปตลาดหาซื้อของกิน สาวใหญ่คนนี้สวนมาพอดี คล้อยหลังหญิงอ้วนคนนั้นไปสองสามก้าว สีดาก็สังเกตเห็นวัตถุสีทองเหลืองอร่ามแตะตาอยู่ในพงหญ้าข้างทาง
“เจ๊ ๆ ทองตกแน่ะ”
สาวรุ่นพี่หันขวับ ยกสองมืออวบอ้วนขึ้นทาบอก อวดประกายแหวนเพชรแหวนทองที่สวมอยู่เกือบครบทุกนิ้ว กับสร้อยคอทองคำเส้นใหญ่บนลำคอหนาสั้นล้อแสงแดดบ่ายวูบวาบ ร่างอวบใหญ่รีบก้มลงหยิบสร้อยคอทองข้างพงหญ้าขึ้นมาเดาะดูน้ำหนัก เหลียวซ้ายแลขวาแล้วรีบเดินตุ้บตั้บมาหาหญิงสาวรุ่นน้อง
“ไม่ต่ำกว่าสองบาทแน่ ๆ”
พอเข้ามาชิดหญิงคนนั้นทำเอียงหน้ามากระซิบ กำสร้อยทองเส้นเขื่องในมือแน่น
“โชคดีของเราสองคนจริงๆ ไม่มีใครอยู่แถวนี้เสียด้วย”
หล่อนยิ้มจนตาหยี
“อ้าวหนูนึกว่าเจ๊ทำหล่น”
“ไม่ใช่หรอก ของเจ๊อยู่นี่”
เธอเอามือคลำสร้อยบนลำคอ พูดด้วยหน้าตาตื่นเต้น ขยับตัวเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นอีกก่อนทำท่ากระซิบกระซาบ
“มันเป็นลาภของเราน่ะคุณน้อง ในเมื่อเราเจอพร้อมกันเรามาแบ่งกันครึ่ง ๆ ดีมั้ย”
สีดารีบส่ายหน้าปฏิเสธเหมือนไม่อยากยุ่งด้วย
“ไม่ล่ะ เจ๊เอาไปเถอะ หรือจะแจ้งตำรวจให้ตามหาเจ้าของดี”
“ต๊าย ขืนทำแบบนั้นก็โดนคนหัวเราะเยาะเอาน่ะสิ นี่มันเป็นโชคของเรานะหนู เจ๊ไม่เอาคนเดียวหรอก น่าเกลียด”
หล่อนทำท่าคิดนิดหนึ่งแล้วตาหยีนั้นก็เบิกโตขึ้นเหมือนนึกอะไรได้
“เอางี้สิ หนูเอาสร้อยเส้นเล็กของหนูมาให้เจ๊ก็ได้ แล้วเอาทองสองบาทเส้นนี้ไปเลย สร้อยทองเจ๊มีแล้วเยอะแยะ แต่ยังไม่มีลายแบบที่หนูใส่ บอกตรง ๆ ว่าอยากได้”
มันช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่นักตกทองอย่างหญิงอ้วนจะตาฟางจนมองไม่ออกว่าสร้อยของสีดาเป็นทองชุบ
เมื่อนักตกทองร่างอ้วนจากไปแล้ว สีดาจึงกำแบงค์สีเทาใบนั้นสาวเท้าเข้าไปหาแม่ค้าขายลอตเตอรี่เจ้าประจำด้วยท่าทางมุ่งมั่น สายตาหญิงสาวเต็มไปด้วยความคาดหวังกับเจ้ากระดาษแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแผ่นเล็ก ๆ ที่เรียงกันเป็นตับอยู่บนแผงกระดาษเหนือโต๊ะไม้นั่น
หลายวันแล้วที่ทั้งหล่อนกับสามีพากันวิตกกังวลกับเงินไม่กี่ร้อยที่เหลืออยู่ในบ้าน พยายามยืดอายุเจ้าแบงกค์ใบละร้อยไม่ให้แตกออกเป็นแบงค์ย่อย ๆ ให้ง่ายเกินไป เพราะถ้าแตกแล้วมันก็จะหมดลงในเวลาอันรวดเร็ว จนกระทั่งเขาและเธอถึงกับต้องยอมพากันอดมื้อกินมื้อ พอถึงเวลาต้องกินก็หากินข้าวถุงแกงถุงเพราะมันช่วยประหยัดเงินดี หรือไม่ก็กินบะหมี่สำเร็จรูป หาผักบุ้งที่ขึ้นอยู่แถวริมคลองหลังห้องเช่ามาใส่เพิ่มปริมาณ ก็พออิ่มท้องไปได้อีกมื้อ นี่ขนาดยังไม่มีลูกมีเต้ากับเขานะ ถ้าเธอไม่คุมกำเนิดปล่อยให้มีเจ้าตัวเล็กโผล่ออกมาร่วมแชร์ความลำบากหิวโหยอีกคนคงดูไม่จืด
ยรรยงสามีของสีดาทำงานเป็นช่างทองรายได้ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ ถ้าผู้คนพอมีเงินการงานรุ่งเรืองดี เธอก็พลอยได้ของกำนัลเล็กน้อย ๆ จากสามี อย่างเช่นเจ้าสร้อยเส้นเล็ก ๆ หนักไม่ถึงบาทที่เขาทำมาให้
“ลายสุโขทัยแบบนี้หายากนะ เก็บรักษาดี ๆ อย่าเอาของพี่ไปขายล่ะ”
เขาบอกยิ้ม ๆ เธอหอมแก้มขอบคุณเขาฟอดใหญ่ที่เขายังมีแก่ใจขวยขวายหาเครื่องประดับมีค่าบ้างมาให้ ทดแทนของเก่าที่ขายกินจนหมดเกลี้ยงทั้งสร้อยทั้งแหวน ซึ่งของพวกนั้นเป็นของหมั้นตอนแต่งงานกันสมัยยังอยู่บ้านนอก เธอรู้ว่ามันถึงคราวจำเป็นจริง ๆ จึงต้องจำใจขายไป สีดาประทับใจสามีที่ยังพยายามใส่ใจความรู้สึกของเธอ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นของปลอมก็เถอะ ยรรยงฝีมือดี ทองชุบที่เขาทำให้เธอเหมือนจริงมากจนดูไม่ออก ได้ใส่ไม่ให้คอโล่งเวลาสวมเสื้อคอกว้าง พอกันเสียงนินทาจากญาติ ๆ เวลากลับไปเยี่ยมบ้านที่บ้านนอก
สามีรั้งร่างเธอมากอด เอาจมูกซุกไซร้แก้มนวลหยอกล้อ หญิงสาวหัวเราะขำคำพูดสามี บอกเขาไปว่า
“รับรองดาไม่ขายทองเส้นนี้กินแน่ ๆ จ้ะพี่”
พอเดินมาถึงแผงลอตเตอรี่ สีดากวาดตามองหาเลขเด็ดที่คนเขากำลังโจษกันว่าเป็นหวยล็อค เธออยากได้สักใบสองใบเผื่อถูกรางวัล ถ้าถูกที่หนึ่งก็ได้ตั้งสี่ล้านสองใบก็แปดล้าน มันมากพอที่จะทำให้ความฝันอยากมีบ้านอยู่เป็นของตัวเองเป็นจริงเสียที ไม่ต้องคอยหลบหน้ายายเจ๊เจ้าของห้องเช่าเก่าโทรมที่ตามทวงค่าเช่าเช้าเย็น เพราะสองสามีภรรยาติดค้างเอาไว้หลายงวด ยรรยงจะได้มีร้านทำทองเป็นของตัวเองไม่ต้องรับจ้างคนอื่นทำ ส่วนเธอก็จะเปิดร้านตัดเสื้อใหญ่โต หาจักรเย็บผ้ารุ่นใหม่อีกสักคันแทนตัวเดิมที่ขายไปเอาเงินมาซื้อข้าวกินเสียแล้ว
หญิงสาวฝันหวานคิดไปถึงการเก็บรักษาเงิน เธอสงสัยว่าเงินล้านนี่มันจะเยอะขนาดไหนนะ คงเป็นฟ่อน ๆ เต็มกระเป๋าถือใบเล็กของเธอ ที่ผ่านมาเคยจับเงินมากที่สุดแค่หลักพันไม่ถึงหมื่น หญิงสาวฟุ้งซ่านต่อไปอีกว่า ถ้าถูกที่หนึ่งจริงเห็นทีต้องพึ่งธนาคารดีที่สุด แค่เดินเข้าไปหาผู้จัดการบอกเขาว่าถูกรางวัลเดี๋ยวเขาก็บริการให้เอง เคยได้ยินคนเขาพูดกันทำนองนี้ แต่ถ้าพลาดรางวัลใหญ่ ยังไง ๆ ก็ขอให้ถูกเลขท้ายสองตัวก็ยังดี ถึงยามเข้าตาจนไม่มีจะกิน สำหรับสีดาแล้วเงินหลักสิบหลักร้อยก็มีค่ามหาศาลทั้งนั้น
กลิ่นอาหารจากแผงขายอาหารข้างแผงลอตเตอรี่โชยมาแตะจมูก สีดากลืนน้ำลาย เดี๋ยวเถอะเธอจะซื้อผัดเผ็ดปลาดุกของโปรด ซื้อหมูย่างและยำอีกสองสามอย่างไปให้ยรรยงแกล้มเบียร์ จะสอยเป็ดพะโล้ที่แขวนโชว์ในตู้กระจกนั่นไปทั้งตัว
แม่ค้าลอตเตอรี่เป็นหญิงแก่คราวแม่ คุ้นเคยกันดี เมื่อเห็นเธอจด ๆ จ้อง ๆ ก็ถามขึ้นอย่างรู้ใจ
“หา เก้าศูนย์ อยู่เหรอ หมดเกลี้ยงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เลขนี้คนหากันจัง เห็นว่าเป็นเลขเด็ดพระอาจารย์เซียนหวยที่ท่านนั่งทางในเห็น แล้วบอกลูกศิษย์ลูกหาท่านมา เอาเก้าหกไหมล่ะเหลืออยู่ใบ”
หญิงชรากระวีกระวาดยกแผงกระดาษหนึ่งในหลายแผงที่มีใบหวยเหลือติดอยู่สองสามใบมาวางให้ดู
“ว้า เสียดายจัง ฉันก็กำลังหาเลขนี้อยู่พอดี ฉันเลี้ยงของฉันมานาน พอดีหลับฝันเห็นพ่อปู่ท่านบอกใบ้ว่าเป็นเลขนี้เสียด้วย”
สีดาบ่นอย่างเสียดาย พ่อปู่ที่ว่าคือรูปปั้นฤาษีที่ชาวบ้านแถวนั้นเคารพบูชา รูปปั้นที่ว่าสูงประมาณศอกหนึ่ง ใครไม่รู้เอาท่านมาทิ้งไว้ในซอยแล้วมีคนเก็บเอาไปตั้งไว้ข้างรั้วบ้านหลังหนึ่ง ไม่นานคนที่อยู่บ้านหลังนั้นก็ร่ำลือกันว่าถูกหวยรางวัลใหญ่ และพ่อปู่ยังเข้าประทับทรงป้าเจ้าของบ้าน ที่แต่เดิมป้าแกก็เป็นร่างทรงของเจ้าแม่วังทองอยู่ก่อนแล้ว ถึงกับสร้างศาลาหลังย่อมกันแดดกันฝนให้พ่อปู่ไว้ในบ้านอีกด้วย ต่อมาก็เล่าต่อ ๆ กันว่า ถ้าใครไปเซ่นสรวงกราบไหว้ พ่อปู่มักให้โชคให้ลาภ เคยมีคนเอาพวงมาลัยมาถวายท่านเป็นพันพวงเพราะไปบนกับท่านเอาไว้ว่า หากถูกรางวัลที่หนึ่งจะมาถวาย แล้วก็ถูกจริง ๆ เรื่องนี้ใคร ๆ เขารู้กันทั่ว
หญิงสาวกวาดตาดูหวยบนแผง เมื่อวานคนรู้จักกันไปขอหวยกับเจ้าแม่วังทองท่านก็บอกมาสี่ห้าเลข หล่อนแบ่งปันบอกหมายเลขให้สีดา ก่อนพูดเชิงให้สำนึกบุญคุณ
“นี่เห็นว่าชอบพอกันนะ โฮ้ย ฉันรอท่านเข้าทรงตั้งนาน ไอ้พวกนั้นก็ถามท่านอยู่ได้เรื่องทำเสน่หาแฝด ไอ้เรารึก็รอขอหวย รอจนมืดค่ำกว่าจะได้กลับบ้าน”
สีดายิ้มให้คนพูด นี่ถ้าเธอถูกหวยเข้าจริง ๆ หล่อนคงมาขอแบ่งเปอร์เซ็น
“เอาเก้าหกก็ได้ป้า นี่ก็ใกล้เวลาหวยออกเต็มที ฉันคงไปหาซื้อเลขเด็ดไม่ทันละ เฮ้อ พึ่งมีเงินมาซื้อเมื่อกี้นี่เอง”
หญิงสาวบ่นงึมงำ แม่ค้าหวยดึงแผ่นสลากเลขท้ายเก้าหกให้หญิงสาวแล้วรับแบงก์พันจากเธอมาดู
“แหม ไปล่ำซำมาจากไหนยะหล่อน เล่นแบงก์พันเชียวนะ”
หญิงขายสลากแซวยิ้มๆลูบธนบัตรใบนั้นไปมา หล่อนทำท่าชะงักก่อนยกขึ้นส่องดู แม่ค้าชราเหลือบมองหน้าสีดาแวบหนึ่ง เอื้อมมือไปเปิดหลอดไฟแบล็กไลท์ที่ติดไว้ใต้โต๊ะ เอาธนบัตรใบนั้นส่องดูใต้แสงไฟ
“แบงก์ปลอม”
เธอโยนธนบัตรใบนั้นลงบนแผงสลาก
“เอาหวยชั้นคืนมาแล้วเอาแบงก์ปลอมแกไปไกล ๆ ม่ายงั้นชั้นแจ้งตำรวจ”
สีดาตกใจ ตัวเย็นวาบ
“ล้อกันเล่นหรือเปล่า จะเป็นแบงก์ปลอมได้ไงก็ฉันพึ่งได้มาตะกี้”
หญิงสาวเอะอะ คืนสลากให้โดยดีเมื่อได้ยินคำว่าตำรวจ แม่ค้ารีบคว้าหมับ แล้วผลักธนบัตรใบนั้นมาให้เธอ
“แกจะได้มันมายังไงฉันไม่รู้ แต่แบงค์นี่พอส่องกับแสงไฟฉันไม่เห็นเส้นใยเรืองแสงแดง ๆ เหลือง ๆ กะสีน้ำเงิน ตัวเลขก็ไม่เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีส้มเรืองแสง”
หญิงแม่ค้าสลากโบกมือวุ่น
“ฉันรู้แต่ว่ามันเป็นแบงค์ปลอม”
เรื่องสั้น สะท้อนปัญหาสังคม "ลวง"
โดย...ล. วิลิศมาหรา
เมื่อความชั่วมาเจอกัน สิ่งเลวร้ายจึงบังเกิด ชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร
สีดาใส่แบงค์สีเทาสามใบนั้นลงในกระเป๋าถือใบเล็กที่คล้องแขนอยู่ สายตามองตามผู้หญิงวัยกลางคนร่างอ้วนใหญ่ในชุดเสื้อกางเกงสีสด ซึ่งกำลังตะเกียกตะกายหาทางขึ้นรถแท็กซี่ที่โบกได้อย่างทุลักทุเลด้วยความขบขันแกมสมเพช หญิงสาวร่างแบบบางนึกในใจว่า หญิงอ้วนคงกินจุมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งเมื่อตอนเด็ก ๆ ถ้าอ้วนท้วนก็คงน่ารักดีสำหรับคนเป็นพ่อแม่ แต่พอโตขึ้นท่าทางหล่อนคงยังปล่อยตามใจปากตัวเองจนรูปร่างอ้วนใหญ่เอาปานนี้ ช่างไม่นำพาว่าความอ้วนนั้นเป็นศัตรูกับความงามของผู้หญิงเอาเสียเลย
หญิงสาวรุ่นยืนมองจนแท็กซี่คันนั้นแล่นลับตาไปแล้ว จึงหยิบแบงค์พันหนึ่งในสามใบ ออกจากกระเป๋ามาถือไว้ในมือ สร้อยเส้นใหญ่ของหญิงอ้วนถูกเขว้างทิ้งไปในพงหญ้าข้างทางไร้ความใยดี สีดาจุดยิ้มมุมปากเมื่อนึกภาพใบหน้าอวบอูมนั้นเวลาเอาทองที่ได้จากการแลกกันกับเธอไปขาย
“ทองลายสวยจังเลยหนูจ๋า ลายนี้เจ๊ยังไม่มี”
ก่อนหน้านี้ หญิงแปลกหน้าร่างอ้วนชมสร้อยคอทองคำบนลำคอของเธอ หล่อนยิ้มระรื่น ลูบหลังไหล่สีดาอย่างรักใคร่เอ็นดูพลางจ้องสร้อยเส้นเล็กบนคอหญิงสาวรุ่นน้องเขม็ง หล่อนเปิดกระเป๋าถือหนังจระเข้ใบใหญ่ หยิบใบละพันออกมาปึกหนึ่ง กรีดนิ้วส่งสามใบแรกให้
“เจ๊ให้หนูอีกสามพันนอกจากทองสองบาทนั่น เพราะหนูเป็นคนเห็นก่อน เส้นที่คอหนูนี่คงแค่บาทเดียวใช่ไหมจ๊ะ”
สีดาอิดเอื้อนนิดหน่อยพอเป็นพิธี ก่อนถอดสร้อยของตัวเองส่งให้สาวรุ่นพี่ หญิงสาวรุ่นน้องเหมือนสำนึกบุญคุณยกมือไหว้หญิงอ้วนนอบน้อม ความจริงเธอก็รู้สึกขอบคุณจริง ๆ นั่นแหละ หญิงอ้วนแปลกหน้าคนนี้เข้ามาได้ถูกจังหวะ สีดากำลังเดือดร้อนต้องการใช้เงินอยู่พอดี
เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาสองสาวต่างวัยพบกันตรงหน้าปากซอยโดยบังเอิญ สีดากำลังจะเดินเลี้ยวออกถนนใหญ่เพื่อไปตลาดหาซื้อของกิน สาวใหญ่คนนี้สวนมาพอดี คล้อยหลังหญิงอ้วนคนนั้นไปสองสามก้าว สีดาก็สังเกตเห็นวัตถุสีทองเหลืองอร่ามแตะตาอยู่ในพงหญ้าข้างทาง
“เจ๊ ๆ ทองตกแน่ะ”
สาวรุ่นพี่หันขวับ ยกสองมืออวบอ้วนขึ้นทาบอก อวดประกายแหวนเพชรแหวนทองที่สวมอยู่เกือบครบทุกนิ้ว กับสร้อยคอทองคำเส้นใหญ่บนลำคอหนาสั้นล้อแสงแดดบ่ายวูบวาบ ร่างอวบใหญ่รีบก้มลงหยิบสร้อยคอทองข้างพงหญ้าขึ้นมาเดาะดูน้ำหนัก เหลียวซ้ายแลขวาแล้วรีบเดินตุ้บตั้บมาหาหญิงสาวรุ่นน้อง
“ไม่ต่ำกว่าสองบาทแน่ ๆ”
พอเข้ามาชิดหญิงคนนั้นทำเอียงหน้ามากระซิบ กำสร้อยทองเส้นเขื่องในมือแน่น
“โชคดีของเราสองคนจริงๆ ไม่มีใครอยู่แถวนี้เสียด้วย”
หล่อนยิ้มจนตาหยี
“อ้าวหนูนึกว่าเจ๊ทำหล่น”
“ไม่ใช่หรอก ของเจ๊อยู่นี่”
เธอเอามือคลำสร้อยบนลำคอ พูดด้วยหน้าตาตื่นเต้น ขยับตัวเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นอีกก่อนทำท่ากระซิบกระซาบ
“มันเป็นลาภของเราน่ะคุณน้อง ในเมื่อเราเจอพร้อมกันเรามาแบ่งกันครึ่ง ๆ ดีมั้ย”
สีดารีบส่ายหน้าปฏิเสธเหมือนไม่อยากยุ่งด้วย
“ไม่ล่ะ เจ๊เอาไปเถอะ หรือจะแจ้งตำรวจให้ตามหาเจ้าของดี”
“ต๊าย ขืนทำแบบนั้นก็โดนคนหัวเราะเยาะเอาน่ะสิ นี่มันเป็นโชคของเรานะหนู เจ๊ไม่เอาคนเดียวหรอก น่าเกลียด”
หล่อนทำท่าคิดนิดหนึ่งแล้วตาหยีนั้นก็เบิกโตขึ้นเหมือนนึกอะไรได้
“เอางี้สิ หนูเอาสร้อยเส้นเล็กของหนูมาให้เจ๊ก็ได้ แล้วเอาทองสองบาทเส้นนี้ไปเลย สร้อยทองเจ๊มีแล้วเยอะแยะ แต่ยังไม่มีลายแบบที่หนูใส่ บอกตรง ๆ ว่าอยากได้”
มันช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่นักตกทองอย่างหญิงอ้วนจะตาฟางจนมองไม่ออกว่าสร้อยของสีดาเป็นทองชุบ
เมื่อนักตกทองร่างอ้วนจากไปแล้ว สีดาจึงกำแบงค์สีเทาใบนั้นสาวเท้าเข้าไปหาแม่ค้าขายลอตเตอรี่เจ้าประจำด้วยท่าทางมุ่งมั่น สายตาหญิงสาวเต็มไปด้วยความคาดหวังกับเจ้ากระดาษแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแผ่นเล็ก ๆ ที่เรียงกันเป็นตับอยู่บนแผงกระดาษเหนือโต๊ะไม้นั่น
หลายวันแล้วที่ทั้งหล่อนกับสามีพากันวิตกกังวลกับเงินไม่กี่ร้อยที่เหลืออยู่ในบ้าน พยายามยืดอายุเจ้าแบงกค์ใบละร้อยไม่ให้แตกออกเป็นแบงค์ย่อย ๆ ให้ง่ายเกินไป เพราะถ้าแตกแล้วมันก็จะหมดลงในเวลาอันรวดเร็ว จนกระทั่งเขาและเธอถึงกับต้องยอมพากันอดมื้อกินมื้อ พอถึงเวลาต้องกินก็หากินข้าวถุงแกงถุงเพราะมันช่วยประหยัดเงินดี หรือไม่ก็กินบะหมี่สำเร็จรูป หาผักบุ้งที่ขึ้นอยู่แถวริมคลองหลังห้องเช่ามาใส่เพิ่มปริมาณ ก็พออิ่มท้องไปได้อีกมื้อ นี่ขนาดยังไม่มีลูกมีเต้ากับเขานะ ถ้าเธอไม่คุมกำเนิดปล่อยให้มีเจ้าตัวเล็กโผล่ออกมาร่วมแชร์ความลำบากหิวโหยอีกคนคงดูไม่จืด
ยรรยงสามีของสีดาทำงานเป็นช่างทองรายได้ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ ถ้าผู้คนพอมีเงินการงานรุ่งเรืองดี เธอก็พลอยได้ของกำนัลเล็กน้อย ๆ จากสามี อย่างเช่นเจ้าสร้อยเส้นเล็ก ๆ หนักไม่ถึงบาทที่เขาทำมาให้
“ลายสุโขทัยแบบนี้หายากนะ เก็บรักษาดี ๆ อย่าเอาของพี่ไปขายล่ะ”
เขาบอกยิ้ม ๆ เธอหอมแก้มขอบคุณเขาฟอดใหญ่ที่เขายังมีแก่ใจขวยขวายหาเครื่องประดับมีค่าบ้างมาให้ ทดแทนของเก่าที่ขายกินจนหมดเกลี้ยงทั้งสร้อยทั้งแหวน ซึ่งของพวกนั้นเป็นของหมั้นตอนแต่งงานกันสมัยยังอยู่บ้านนอก เธอรู้ว่ามันถึงคราวจำเป็นจริง ๆ จึงต้องจำใจขายไป สีดาประทับใจสามีที่ยังพยายามใส่ใจความรู้สึกของเธอ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นของปลอมก็เถอะ ยรรยงฝีมือดี ทองชุบที่เขาทำให้เธอเหมือนจริงมากจนดูไม่ออก ได้ใส่ไม่ให้คอโล่งเวลาสวมเสื้อคอกว้าง พอกันเสียงนินทาจากญาติ ๆ เวลากลับไปเยี่ยมบ้านที่บ้านนอก
สามีรั้งร่างเธอมากอด เอาจมูกซุกไซร้แก้มนวลหยอกล้อ หญิงสาวหัวเราะขำคำพูดสามี บอกเขาไปว่า
“รับรองดาไม่ขายทองเส้นนี้กินแน่ ๆ จ้ะพี่”
พอเดินมาถึงแผงลอตเตอรี่ สีดากวาดตามองหาเลขเด็ดที่คนเขากำลังโจษกันว่าเป็นหวยล็อค เธออยากได้สักใบสองใบเผื่อถูกรางวัล ถ้าถูกที่หนึ่งก็ได้ตั้งสี่ล้านสองใบก็แปดล้าน มันมากพอที่จะทำให้ความฝันอยากมีบ้านอยู่เป็นของตัวเองเป็นจริงเสียที ไม่ต้องคอยหลบหน้ายายเจ๊เจ้าของห้องเช่าเก่าโทรมที่ตามทวงค่าเช่าเช้าเย็น เพราะสองสามีภรรยาติดค้างเอาไว้หลายงวด ยรรยงจะได้มีร้านทำทองเป็นของตัวเองไม่ต้องรับจ้างคนอื่นทำ ส่วนเธอก็จะเปิดร้านตัดเสื้อใหญ่โต หาจักรเย็บผ้ารุ่นใหม่อีกสักคันแทนตัวเดิมที่ขายไปเอาเงินมาซื้อข้าวกินเสียแล้ว
หญิงสาวฝันหวานคิดไปถึงการเก็บรักษาเงิน เธอสงสัยว่าเงินล้านนี่มันจะเยอะขนาดไหนนะ คงเป็นฟ่อน ๆ เต็มกระเป๋าถือใบเล็กของเธอ ที่ผ่านมาเคยจับเงินมากที่สุดแค่หลักพันไม่ถึงหมื่น หญิงสาวฟุ้งซ่านต่อไปอีกว่า ถ้าถูกที่หนึ่งจริงเห็นทีต้องพึ่งธนาคารดีที่สุด แค่เดินเข้าไปหาผู้จัดการบอกเขาว่าถูกรางวัลเดี๋ยวเขาก็บริการให้เอง เคยได้ยินคนเขาพูดกันทำนองนี้ แต่ถ้าพลาดรางวัลใหญ่ ยังไง ๆ ก็ขอให้ถูกเลขท้ายสองตัวก็ยังดี ถึงยามเข้าตาจนไม่มีจะกิน สำหรับสีดาแล้วเงินหลักสิบหลักร้อยก็มีค่ามหาศาลทั้งนั้น
กลิ่นอาหารจากแผงขายอาหารข้างแผงลอตเตอรี่โชยมาแตะจมูก สีดากลืนน้ำลาย เดี๋ยวเถอะเธอจะซื้อผัดเผ็ดปลาดุกของโปรด ซื้อหมูย่างและยำอีกสองสามอย่างไปให้ยรรยงแกล้มเบียร์ จะสอยเป็ดพะโล้ที่แขวนโชว์ในตู้กระจกนั่นไปทั้งตัว
แม่ค้าลอตเตอรี่เป็นหญิงแก่คราวแม่ คุ้นเคยกันดี เมื่อเห็นเธอจด ๆ จ้อง ๆ ก็ถามขึ้นอย่างรู้ใจ
“หา เก้าศูนย์ อยู่เหรอ หมดเกลี้ยงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เลขนี้คนหากันจัง เห็นว่าเป็นเลขเด็ดพระอาจารย์เซียนหวยที่ท่านนั่งทางในเห็น แล้วบอกลูกศิษย์ลูกหาท่านมา เอาเก้าหกไหมล่ะเหลืออยู่ใบ”
หญิงชรากระวีกระวาดยกแผงกระดาษหนึ่งในหลายแผงที่มีใบหวยเหลือติดอยู่สองสามใบมาวางให้ดู
“ว้า เสียดายจัง ฉันก็กำลังหาเลขนี้อยู่พอดี ฉันเลี้ยงของฉันมานาน พอดีหลับฝันเห็นพ่อปู่ท่านบอกใบ้ว่าเป็นเลขนี้เสียด้วย”
สีดาบ่นอย่างเสียดาย พ่อปู่ที่ว่าคือรูปปั้นฤาษีที่ชาวบ้านแถวนั้นเคารพบูชา รูปปั้นที่ว่าสูงประมาณศอกหนึ่ง ใครไม่รู้เอาท่านมาทิ้งไว้ในซอยแล้วมีคนเก็บเอาไปตั้งไว้ข้างรั้วบ้านหลังหนึ่ง ไม่นานคนที่อยู่บ้านหลังนั้นก็ร่ำลือกันว่าถูกหวยรางวัลใหญ่ และพ่อปู่ยังเข้าประทับทรงป้าเจ้าของบ้าน ที่แต่เดิมป้าแกก็เป็นร่างทรงของเจ้าแม่วังทองอยู่ก่อนแล้ว ถึงกับสร้างศาลาหลังย่อมกันแดดกันฝนให้พ่อปู่ไว้ในบ้านอีกด้วย ต่อมาก็เล่าต่อ ๆ กันว่า ถ้าใครไปเซ่นสรวงกราบไหว้ พ่อปู่มักให้โชคให้ลาภ เคยมีคนเอาพวงมาลัยมาถวายท่านเป็นพันพวงเพราะไปบนกับท่านเอาไว้ว่า หากถูกรางวัลที่หนึ่งจะมาถวาย แล้วก็ถูกจริง ๆ เรื่องนี้ใคร ๆ เขารู้กันทั่ว
หญิงสาวกวาดตาดูหวยบนแผง เมื่อวานคนรู้จักกันไปขอหวยกับเจ้าแม่วังทองท่านก็บอกมาสี่ห้าเลข หล่อนแบ่งปันบอกหมายเลขให้สีดา ก่อนพูดเชิงให้สำนึกบุญคุณ
“นี่เห็นว่าชอบพอกันนะ โฮ้ย ฉันรอท่านเข้าทรงตั้งนาน ไอ้พวกนั้นก็ถามท่านอยู่ได้เรื่องทำเสน่หาแฝด ไอ้เรารึก็รอขอหวย รอจนมืดค่ำกว่าจะได้กลับบ้าน”
สีดายิ้มให้คนพูด นี่ถ้าเธอถูกหวยเข้าจริง ๆ หล่อนคงมาขอแบ่งเปอร์เซ็น
“เอาเก้าหกก็ได้ป้า นี่ก็ใกล้เวลาหวยออกเต็มที ฉันคงไปหาซื้อเลขเด็ดไม่ทันละ เฮ้อ พึ่งมีเงินมาซื้อเมื่อกี้นี่เอง”
หญิงสาวบ่นงึมงำ แม่ค้าหวยดึงแผ่นสลากเลขท้ายเก้าหกให้หญิงสาวแล้วรับแบงก์พันจากเธอมาดู
“แหม ไปล่ำซำมาจากไหนยะหล่อน เล่นแบงก์พันเชียวนะ”
หญิงขายสลากแซวยิ้มๆลูบธนบัตรใบนั้นไปมา หล่อนทำท่าชะงักก่อนยกขึ้นส่องดู แม่ค้าชราเหลือบมองหน้าสีดาแวบหนึ่ง เอื้อมมือไปเปิดหลอดไฟแบล็กไลท์ที่ติดไว้ใต้โต๊ะ เอาธนบัตรใบนั้นส่องดูใต้แสงไฟ
“แบงก์ปลอม”
เธอโยนธนบัตรใบนั้นลงบนแผงสลาก
“เอาหวยชั้นคืนมาแล้วเอาแบงก์ปลอมแกไปไกล ๆ ม่ายงั้นชั้นแจ้งตำรวจ”
สีดาตกใจ ตัวเย็นวาบ
“ล้อกันเล่นหรือเปล่า จะเป็นแบงก์ปลอมได้ไงก็ฉันพึ่งได้มาตะกี้”
หญิงสาวเอะอะ คืนสลากให้โดยดีเมื่อได้ยินคำว่าตำรวจ แม่ค้ารีบคว้าหมับ แล้วผลักธนบัตรใบนั้นมาให้เธอ
“แกจะได้มันมายังไงฉันไม่รู้ แต่แบงค์นี่พอส่องกับแสงไฟฉันไม่เห็นเส้นใยเรืองแสงแดง ๆ เหลือง ๆ กะสีน้ำเงิน ตัวเลขก็ไม่เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีส้มเรืองแสง”
หญิงแม่ค้าสลากโบกมือวุ่น
“ฉันรู้แต่ว่ามันเป็นแบงค์ปลอม”