ผู้หญิงสองคน กับจักรยานพับ2คัน และวันหนึ่งวันที่สะหวันนะเขต ด้วยความที่เห็นรูปในเฟสบุ๊คของคนอื่นถ่ายรูปกับตึกเก่าๆ ของเมืองสะหวันนะเขต สปป.ลาว ก็เลยอยากไปสโลว์ไลฟ์ถ่ายรูปชิคๆ แบบฮิปสเตอร์กะเค้ามั่ง จึงมีความคิดอยากจะไปเมืองสะหวันฯขึ้นมาอีกครั้ง ก็เคยไปมาหลายครั้งแล้วแต่ยังไม่เคยไปเดินถ่ายรูปซะกะที แล้วจะไปยังไงให้ได้แบบใกล้ชิดย่านตึกเก่าๆและใช้งบให้น้อยที่สุด จักรยานพับเราก็มีหนิลองพับจักรยานแล้วแบกขึ้นเรือข้ามฝั่งไปสิ ลองไปดู เมืองสะหวันฯ ก็อยู่แค่ฝั่งตรงข้ามบ้านเราแค่นั้นเอง....
เราเดินทางโดยเรือโดยสารข้ามฟากที่ท่าเรือที่ตลาดอินโดจีน มุกดาหาร เรือรอบแรกออกเวลา 9.30 ค่าเรือเที่ยวละ 50 บาท เราพกพาสปอร์ตไป แต่เพื่อนเราที่ไปด้วยกันไม่ได้เอาพาสปอร์ตมา จึงต้องทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราว เสียค่าธรรมเนียม 40 บาท เราไปถึงที่ท่าเรือก็เกือบจะเก้าโมงครึ่ง เกือบจะไม่ทันเรือซะแล้ว ป้าที่นั่งอยู่ข้างหน้าท่าเรือบอกให้รีบๆเลยจ๊ะ มิเช่นนั้นจะได้ขึ้นเรือรอบต่อไป 11 โมงนะ แต่ด้วยความที่คนไม่เยอะ หรือเค้าขึ้นเรือไปหมดแล้ว พิธีการตรวจคนเข้าเมืองจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
จักรยาที่เราแบกไปเราวางรวมๆไว้กับที่วางของบนหัวเรือ
ที่นั่งข้างหน้ามีหนุ่มน้อยหันมาส่งยิ้มให้กล้องเรา
ฝั่งนั้นแหละคือเมืองสะหวันฯที่เราจะข้ามไป
ลองมองย้อนกลับมาที่เมืองมุกดาหารดูบ้าง
เราใช้เวลาลอยลำที่กลางแม่น้ำโขงประมาณสามสิบนาที ก็มาถึงที่ท่าเรือของเมืองสะหวันนะเขต
เราต้องเสียค่าจั่ม(ประทับ)ตราที่พาสปอร์ 100 บาท ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองสำหรับวันเสาร์-อาทิตย์ (50 บาท สำหรับวันธรรมดา) แต่เพื่อนเราที่ใช้บัตรผ่านแดนชั่วคราวต้องเสียค่าจั่มบัตรผ่าน 40 บาท โหววว รู้งี้ไม่เอาพาสปอร์ตมาดีกว่า แต่ๆๆๆ เพื่อนเราต้องผ่านอีกด่านนึง เก็บเพิ่มอีก 100 บาท ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นค่าอะไร ตอนนี้เริ่มรู้สึกดีแล้วที่พกพาสปอร์ตมา 5555 แล้วเราก็ไม่รีรอที่จะถามนายท่าว่าเรือรอบสุดท้ายกี่โมง ได้คำตอบคือบ่ายสามโมง พอผ่านด่านมาได้เราก็จะได้พบกับเหล่าคุณลุงสามล้อเครื่องที่มายื่นข้อเสนอให้เหมาเที่ยวในเมืองสะหวัน เราก็บอกไปไม่เป็นไรมีจักรยาน เดี๋ยวปั่นจักรยานเอาค่าา ลุงแกก็แซวเล่นๆ ว่าจักรยานหักสิปั่นได้อยู่บ้อ พวกเราเลยจัดการประกอบร่างจักรยานหักให้กลายเป็นจักรยาน โดยการช่วยเหลือจากคุณลุงพร้อมแนะนำเส้นทางให้ และยังเสนอว่าจะให้พาไปพระธาตุอิงฮังไหม๊ ถ้าปั่นจักรยานไปไกลนะ 15 kmแน่ะ เรายังยืนกรานว่าจะปั่นจักรยานเล่นๆแถวๆรอบเมืองคงไปไม่ถึงพระธาตุหรอก หลังจากขอบคุณคุณลุงเสร็จก็จับจักรยานและเริ่มปั่นออกไป
ขอแทรกแป๊ป ก่อนจะเดินทางหนึ่งวันเพื่อนเราได้ถามเราว่า "แกมีแผนที่ยังว่าจะปั่นไปไหนอะไรยังไง" เราจึงบอกกลับไปว่า "ไม่มี ปั่นไปเรื่อยๆ อยากไปไหนก็ถามทางเอา คุยกันรู้เรื่องอยู่ 5555" ทริปปั่นมั่วซั่วเราจึงเกิดขึ้น เอาแบบพอใจจอดถ่ายรูปที่ไหนเราก็จอด กระทู้นี้เราจึงไม่สามารถแนะนำเส้นทางได้เพราะเราปั่นมั่วจริงๆ อาศัยถามทางไปเรื่อยๆ แล้วเราก็ไม่ได้แลกเงินกะใช้เงินบาทล้วนๆ
เรื่มทริปปั่นมั่วซั่วกันเลย..... ด้วยความที่แต่ก่อนลาวเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส จึงยังมีสถาปัตยกรรมเก่าๆสไตล์ฝรั่งเศสหลงเหลืออยู่
ปั่นไปซักพักก็จะเที่ยงแล้ว เริ่มอยากนั่งชิวๆ หาน้ำปั่นเย็นๆกิน จำได้ว่ามีร้าน Dao coffee จึงถามทางไป ลุงแกจึงได้แนะนำเส้นทางพร้อมกับบอกว่าถ้าปั่นไปทางนี้จะผ่านร้าน White House ซึ่งเป็นเครือเดียวกับ Dao Coffee ปั่นไปซักพักเราก็เจอแล้วร้าน White House ที่ว่า ปรึกษากับเพื่อนว่าจะเข้าไปดีไหม๊ ท่าทางน่าจะแพงนะ แล้วข้างในจะมีอะไรให้กินบ้าง มันผิดคอนเซปเรานะที่จะกินร้านข้างทาง ลังเลอยู่ตั้งนานเหลือบไปเห็นป้ายพิซซ่าอิตาเลี่ยนๆแท้ๆด้วยนะ ด้วยความที่ไม่ได้กินข้าวเช้ามา สุดท้ายจึงตกลงกันว่า เอาร้านนี้แหละ
พอเปิดดูเมนูก็อู้หูวววว แต่เอาเต๊อะลองดูก็ไม่เสียหายนะ บรรยากากาศภายในร้าน
พิชซ่ามีให้เลือกหลายหน้ามาก ทีแรกกะจะเอาอันที่ถูกสุด แต่ไล่อ่านดูเพิ่มอีก 5000 กีบจะมีเห็ดด้วย ถ้าเอาอันที่ถูกสุดจะได้กินแต่ชีทกับซอสและแป้งนะ จึงสั่งพิซซ่าไปหนึ่งถาดและเครื่องดื่มคนละแก้ว นั่งรอซักพักอาหารก็มาแล้ววววว ลุยยยเลยย
ค่าเสียหายทั้งหมดมีแปลงค่าเป็นเงินให้ทั้งกีบ บาท และดอลล่า
โดยรวมเราว่าอร่อยใช้ได้เลยหละ แป้งบางไม่เหนียวเคี้ยวง่าย บริการดี ห้องน้ำสะอาด แอร์เย็น ไวไฟเร็ว หลังตากแอร์เย็นๆได้ซักพัก ระลึกขึ้นได้ว่าขุ่นแม่ฝากซื้อกาแฟดาว จึงได้ถามทางไปร้านดาวอีกรอบจากพนักงาน (คือที่ถามไปก่อนหน้านั้นลืมไปแล้วล่ะ 55) พนักงานก็ได้วาดแผนที่ให้ แต่ด้วยความอยากรู้จึงถามต่อว่าจากนี้ไปพระธาตุอิงฮังไกลไหม๊ ได้คำตอบกลับมาว่าอีก 4 หลัก อ๋ออออ 4 หลักนี่ 4 km ใช่ไหม๊ พนักงานก็พยักหน้า แต่ก็เอะใจนะ ลุงสามล้อบอก 15 km แต่จากจุดที่เรามาจากลุงสามล้อก็คงเหลืออีก 4 km ล่ะม้างง สุดท้ายจึงปรึกษากับเพื่อนว่าไป! ตอนนี้ก็เที่ยงครึ่งอีกสองชั่วโมงครึ่งบ่ายสามโมงยังไงก็ทันเรือรอบสุดท้าย กาแฟกลับมาค่อยซื้อ แล้วก็ปั่นไปตามทางที่ถมพนักงานที่ร้านมาาาาา ปั่นไปซักพัก โหวววว มีเนินด้วยเหรอ ลงเนินแล้วมองไปข้างหน้าต้องขึ้นเนินอีกแล้วเหรอ เหนื่อยมาก นี่ก็ออกมาไกลแล้วนะ ชีวิตเริ่มไม่สโลว์ไลฟ์ก็คราวนี้แหละ จึงจอดถามทางแล้วได้คำตอบกลับมาว่า อีกประมาณ 6-7 km ช๊อคมาก จะกลับกันดีไหม๊ แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว ต้องไปต่อสิ เราโดนเพื่อนปั่นทิ้งช่วงไปเป็น km พอถึงทางเข้าน้ำตาแทบไหลแต่ความจริงมันไม่ใช่เพราะต้องไปอีก 3 km แต่อย่างน้อยก็เป็น 3 km ที่ไม่มีเนินแล้ว
ที่วงเวียนนี้ถ้าเลี้ยวไปทางซ้ายมือคือทางไปสะพานมิตรภาพ
เห็นป้ายแล้ว อย่างดีใจ
และแล้วเราก็มาถึง ขอนั่งพักซักแปปก่อนจะเข้าไป
เราเสียค่าปี้เข้าคนละ 20 บาท และผู้หญิงที่ใส่กางเกงไปต้องเปลี่ยนไปใส่ผ้าซิ่นก่อนจะเข้าไปไหว้พระธาตุ ซึ่งก็มีไว้บริการอยู่ตรงหน้าพระะาตุ ค่าบริการไม่มี มีแต่ตู้ให้หยอดบริจาคแล้วแต่จิตศรัทธา
ที่เปลี่ยนผ้าถุง
สำหรับเราที่ใส่รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อและยีนส์ ก็จะออกมาเป็นเช่นนี้ ไม่กล้าถ่ายแบบเต็มตัวเลย=="
พระธาตุอิงฮัง
เรามีเวลาอยู่ที่นี่ไม่มาก หลังไว้พระธาตุเสร็จต้องรีบปั่นกลับอย่างไว มิเช่นนั้นจะตกเรือ ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายสองโมงแล้ว 15 km:hr ขากลับเราก็โดนทิ้งห่างอีกเช่นเคย แต่เราทำความเร็วไม่ได้แล้วเมื่อยไปหมดทั้งตัว แต่ก็ปั่นเรื่อยๆไม่ได้พักเลย ระหว่างทางเจอด่านตำรวจแล้วโดนโบกด้วยแหละ เอาแล้วไงพาสปอร์ตเอกสารอยู่ในกระเป๋ากับเพื่อน (เพื่อนเห็นเราปั่นช้าจึงอาสาเปลี่ยนเป้แบกซึ่งเป้ของเรามีกล้องอยู่ด้วยจึงหนักมาก) สรุปแล้วที่ตำรวจโบกให้เราจอดก็เพื่อจะถามว่าเราซื้อจักรยามมาเท่าไหร่ อืมมมม แต่ก็โล่งอกไปที
อีก 11 km จอดถ่ายรูปแล้วถอนหายใจแปป
พอเริ่มเข้าตัวเมืองก็รีบถามทางไปท่าเรือทันที ซึ่งตอนนั้นก็บ่ายสามโมงแล้ว ต้องรีบเผื่อเรือยังไม่ออก เราถึงท่าเรือประมาณ 15.20 แล้วก็พบความจริงที่ว่า เราได้ตกเรือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว T_T ไม่เป็นไรยังมีรถกลับ แต่ต้องปั่นย้อนกลับไปที่ท่ารถอีกก็ไกลพอประมาณ
ค่ารถโดยสารระหว่างประเทศ 55 บาท ซึ่งเรามาทันรถรอบ 15.30 พอดี รีบจัดการพับจักรยานเอาใส่ใต้ท้องรถแล้วรีบขึ้นไปรับแอร์เย็นๆบนรถทันที
พอรถมาถึงด่านตรวจที่สะพานมิตรภาพ ทุกคนต้องลงจากรถไปจั่มพาสปอร์ต เราเสียค่าจั่มพาสปอร์ตเพิ่มอีก 40 บาท และเพื่อนเรานอกจากจะเสียค่าจั่มบัตรผ่นแดนชั่วคราวขาออกแล้วยังต้องเสียค่าล่วงเวลาเพิ่มอีก 50 บาท เอาไว้เป็นบทเรียนคราวหน้าพกพาสปอร์ตมาด้วยนะจ๊ะ
พอผ่านด่าน ตม. เราเดินไปอีกฝั่งซึ่งมีรถมาจอดรอ พอคนขึ้นจนเต็มรถรถถึงจะออกตอนรถออกจากท่ารถคนยังขึ้นไม่เต็มรถเลย แต่พอขึ้นจากสะพานคนมาซะเต็มรถ ถ้ารู้ว่าจะตกเรือก็จะได้ไม่ต้องเสียแรงปั่นเข้าเมืองหรอก มารอรถที่สะพานเลยดีกว่า T_T นอกจากจะตกเรือแล้ว กาแฟที่แม่ฝากก็ไม่ได้ซื้อ
ถึงแล้วไทยแลนด์ที่รัก
พอถึงด่าน ตม. ที่ฝั่งไทย เราต้องลงจากรถอีกทีเพื่อไปจั่มพาสปอร์ตอีกรอบ แต่ฝั่งเราไม่เสียค่าจั่ม แถมมีช่องทางแบ่งแยกสำหรับคนไทย คนลาว คนต่างประเทศอื่นๆ เราจึงไม่ต้องไปต่อคิวยาวๆ พอผ่าน ตม เรียบร้อยแล้วเราก็เดินมาขึ้นรถอีกฝั่ง รถไปสุดสายที่ บขส มุกดาหาร เราต้องเสียค่าสกายแลปเพื่อไปเอารถที่จอดไว้ที่ท่าเรืออีก 90 บาท T_T ถึงจุดๆนี้ ไม่ขอปั่นแล้ว
สรุปค่าใช้จ่าย
ค่าเรือ 50 บาท
ค่าจั้มพาสปอร์ตขาเข้า 100 บาท
ค่าอาหาร 235 บาท (หารสองแล้ว)
ค่าน้ำดื่มที่หน้าพระธาตู 30 บาท
หยอดตู้บริจาคผ้าซิ่น 20 บาท
ค่ารถโดยสารระหว่างประเทศ 55 บาท
ค่าจั้มพาสปอร์ตขาออก 40 บาท
ค่าสามล้อเครื่อง 45 บาท (หารสองแล้ว)
----------------รวม 575 บาท------------------------
ขอบคุณที่อ่านกระทู้เรามาจนถึงตอนนี้ ถ้ามีข้อผิดพลาดอย่างไรเราก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
เมื่อฉันแบกจักรยานขึ้นเรือไปปั่นที่เมืองสะหวันฯ
ผู้หญิงสองคน กับจักรยานพับ2คัน และวันหนึ่งวันที่สะหวันนะเขต ด้วยความที่เห็นรูปในเฟสบุ๊คของคนอื่นถ่ายรูปกับตึกเก่าๆ ของเมืองสะหวันนะเขต สปป.ลาว ก็เลยอยากไปสโลว์ไลฟ์ถ่ายรูปชิคๆ แบบฮิปสเตอร์กะเค้ามั่ง จึงมีความคิดอยากจะไปเมืองสะหวันฯขึ้นมาอีกครั้ง ก็เคยไปมาหลายครั้งแล้วแต่ยังไม่เคยไปเดินถ่ายรูปซะกะที แล้วจะไปยังไงให้ได้แบบใกล้ชิดย่านตึกเก่าๆและใช้งบให้น้อยที่สุด จักรยานพับเราก็มีหนิลองพับจักรยานแล้วแบกขึ้นเรือข้ามฝั่งไปสิ ลองไปดู เมืองสะหวันฯ ก็อยู่แค่ฝั่งตรงข้ามบ้านเราแค่นั้นเอง....
เราเดินทางโดยเรือโดยสารข้ามฟากที่ท่าเรือที่ตลาดอินโดจีน มุกดาหาร เรือรอบแรกออกเวลา 9.30 ค่าเรือเที่ยวละ 50 บาท เราพกพาสปอร์ตไป แต่เพื่อนเราที่ไปด้วยกันไม่ได้เอาพาสปอร์ตมา จึงต้องทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราว เสียค่าธรรมเนียม 40 บาท เราไปถึงที่ท่าเรือก็เกือบจะเก้าโมงครึ่ง เกือบจะไม่ทันเรือซะแล้ว ป้าที่นั่งอยู่ข้างหน้าท่าเรือบอกให้รีบๆเลยจ๊ะ มิเช่นนั้นจะได้ขึ้นเรือรอบต่อไป 11 โมงนะ แต่ด้วยความที่คนไม่เยอะ หรือเค้าขึ้นเรือไปหมดแล้ว พิธีการตรวจคนเข้าเมืองจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
จักรยาที่เราแบกไปเราวางรวมๆไว้กับที่วางของบนหัวเรือ
ที่นั่งข้างหน้ามีหนุ่มน้อยหันมาส่งยิ้มให้กล้องเรา
ฝั่งนั้นแหละคือเมืองสะหวันฯที่เราจะข้ามไป
ลองมองย้อนกลับมาที่เมืองมุกดาหารดูบ้าง
เราใช้เวลาลอยลำที่กลางแม่น้ำโขงประมาณสามสิบนาที ก็มาถึงที่ท่าเรือของเมืองสะหวันนะเขต
เราต้องเสียค่าจั่ม(ประทับ)ตราที่พาสปอร์ 100 บาท ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองสำหรับวันเสาร์-อาทิตย์ (50 บาท สำหรับวันธรรมดา) แต่เพื่อนเราที่ใช้บัตรผ่านแดนชั่วคราวต้องเสียค่าจั่มบัตรผ่าน 40 บาท โหววว รู้งี้ไม่เอาพาสปอร์ตมาดีกว่า แต่ๆๆๆ เพื่อนเราต้องผ่านอีกด่านนึง เก็บเพิ่มอีก 100 บาท ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นค่าอะไร ตอนนี้เริ่มรู้สึกดีแล้วที่พกพาสปอร์ตมา 5555 แล้วเราก็ไม่รีรอที่จะถามนายท่าว่าเรือรอบสุดท้ายกี่โมง ได้คำตอบคือบ่ายสามโมง พอผ่านด่านมาได้เราก็จะได้พบกับเหล่าคุณลุงสามล้อเครื่องที่มายื่นข้อเสนอให้เหมาเที่ยวในเมืองสะหวัน เราก็บอกไปไม่เป็นไรมีจักรยาน เดี๋ยวปั่นจักรยานเอาค่าา ลุงแกก็แซวเล่นๆ ว่าจักรยานหักสิปั่นได้อยู่บ้อ พวกเราเลยจัดการประกอบร่างจักรยานหักให้กลายเป็นจักรยาน โดยการช่วยเหลือจากคุณลุงพร้อมแนะนำเส้นทางให้ และยังเสนอว่าจะให้พาไปพระธาตุอิงฮังไหม๊ ถ้าปั่นจักรยานไปไกลนะ 15 kmแน่ะ เรายังยืนกรานว่าจะปั่นจักรยานเล่นๆแถวๆรอบเมืองคงไปไม่ถึงพระธาตุหรอก หลังจากขอบคุณคุณลุงเสร็จก็จับจักรยานและเริ่มปั่นออกไป
ขอแทรกแป๊ป ก่อนจะเดินทางหนึ่งวันเพื่อนเราได้ถามเราว่า "แกมีแผนที่ยังว่าจะปั่นไปไหนอะไรยังไง" เราจึงบอกกลับไปว่า "ไม่มี ปั่นไปเรื่อยๆ อยากไปไหนก็ถามทางเอา คุยกันรู้เรื่องอยู่ 5555" ทริปปั่นมั่วซั่วเราจึงเกิดขึ้น เอาแบบพอใจจอดถ่ายรูปที่ไหนเราก็จอด กระทู้นี้เราจึงไม่สามารถแนะนำเส้นทางได้เพราะเราปั่นมั่วจริงๆ อาศัยถามทางไปเรื่อยๆ แล้วเราก็ไม่ได้แลกเงินกะใช้เงินบาทล้วนๆ
เรื่มทริปปั่นมั่วซั่วกันเลย..... ด้วยความที่แต่ก่อนลาวเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส จึงยังมีสถาปัตยกรรมเก่าๆสไตล์ฝรั่งเศสหลงเหลืออยู่
ปั่นไปซักพักก็จะเที่ยงแล้ว เริ่มอยากนั่งชิวๆ หาน้ำปั่นเย็นๆกิน จำได้ว่ามีร้าน Dao coffee จึงถามทางไป ลุงแกจึงได้แนะนำเส้นทางพร้อมกับบอกว่าถ้าปั่นไปทางนี้จะผ่านร้าน White House ซึ่งเป็นเครือเดียวกับ Dao Coffee ปั่นไปซักพักเราก็เจอแล้วร้าน White House ที่ว่า ปรึกษากับเพื่อนว่าจะเข้าไปดีไหม๊ ท่าทางน่าจะแพงนะ แล้วข้างในจะมีอะไรให้กินบ้าง มันผิดคอนเซปเรานะที่จะกินร้านข้างทาง ลังเลอยู่ตั้งนานเหลือบไปเห็นป้ายพิซซ่าอิตาเลี่ยนๆแท้ๆด้วยนะ ด้วยความที่ไม่ได้กินข้าวเช้ามา สุดท้ายจึงตกลงกันว่า เอาร้านนี้แหละ
พอเปิดดูเมนูก็อู้หูวววว แต่เอาเต๊อะลองดูก็ไม่เสียหายนะ บรรยากากาศภายในร้าน
พิชซ่ามีให้เลือกหลายหน้ามาก ทีแรกกะจะเอาอันที่ถูกสุด แต่ไล่อ่านดูเพิ่มอีก 5000 กีบจะมีเห็ดด้วย ถ้าเอาอันที่ถูกสุดจะได้กินแต่ชีทกับซอสและแป้งนะ จึงสั่งพิซซ่าไปหนึ่งถาดและเครื่องดื่มคนละแก้ว นั่งรอซักพักอาหารก็มาแล้ววววว ลุยยยเลยย
ค่าเสียหายทั้งหมดมีแปลงค่าเป็นเงินให้ทั้งกีบ บาท และดอลล่า
โดยรวมเราว่าอร่อยใช้ได้เลยหละ แป้งบางไม่เหนียวเคี้ยวง่าย บริการดี ห้องน้ำสะอาด แอร์เย็น ไวไฟเร็ว หลังตากแอร์เย็นๆได้ซักพัก ระลึกขึ้นได้ว่าขุ่นแม่ฝากซื้อกาแฟดาว จึงได้ถามทางไปร้านดาวอีกรอบจากพนักงาน (คือที่ถามไปก่อนหน้านั้นลืมไปแล้วล่ะ 55) พนักงานก็ได้วาดแผนที่ให้ แต่ด้วยความอยากรู้จึงถามต่อว่าจากนี้ไปพระธาตุอิงฮังไกลไหม๊ ได้คำตอบกลับมาว่าอีก 4 หลัก อ๋ออออ 4 หลักนี่ 4 km ใช่ไหม๊ พนักงานก็พยักหน้า แต่ก็เอะใจนะ ลุงสามล้อบอก 15 km แต่จากจุดที่เรามาจากลุงสามล้อก็คงเหลืออีก 4 km ล่ะม้างง สุดท้ายจึงปรึกษากับเพื่อนว่าไป! ตอนนี้ก็เที่ยงครึ่งอีกสองชั่วโมงครึ่งบ่ายสามโมงยังไงก็ทันเรือรอบสุดท้าย กาแฟกลับมาค่อยซื้อ แล้วก็ปั่นไปตามทางที่ถมพนักงานที่ร้านมาาาาา ปั่นไปซักพัก โหวววว มีเนินด้วยเหรอ ลงเนินแล้วมองไปข้างหน้าต้องขึ้นเนินอีกแล้วเหรอ เหนื่อยมาก นี่ก็ออกมาไกลแล้วนะ ชีวิตเริ่มไม่สโลว์ไลฟ์ก็คราวนี้แหละ จึงจอดถามทางแล้วได้คำตอบกลับมาว่า อีกประมาณ 6-7 km ช๊อคมาก จะกลับกันดีไหม๊ แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว ต้องไปต่อสิ เราโดนเพื่อนปั่นทิ้งช่วงไปเป็น km พอถึงทางเข้าน้ำตาแทบไหลแต่ความจริงมันไม่ใช่เพราะต้องไปอีก 3 km แต่อย่างน้อยก็เป็น 3 km ที่ไม่มีเนินแล้ว
ที่วงเวียนนี้ถ้าเลี้ยวไปทางซ้ายมือคือทางไปสะพานมิตรภาพ
เห็นป้ายแล้ว อย่างดีใจ
และแล้วเราก็มาถึง ขอนั่งพักซักแปปก่อนจะเข้าไป
เราเสียค่าปี้เข้าคนละ 20 บาท และผู้หญิงที่ใส่กางเกงไปต้องเปลี่ยนไปใส่ผ้าซิ่นก่อนจะเข้าไปไหว้พระธาตุ ซึ่งก็มีไว้บริการอยู่ตรงหน้าพระะาตุ ค่าบริการไม่มี มีแต่ตู้ให้หยอดบริจาคแล้วแต่จิตศรัทธา
ที่เปลี่ยนผ้าถุง
สำหรับเราที่ใส่รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อและยีนส์ ก็จะออกมาเป็นเช่นนี้ ไม่กล้าถ่ายแบบเต็มตัวเลย=="
พระธาตุอิงฮัง
เรามีเวลาอยู่ที่นี่ไม่มาก หลังไว้พระธาตุเสร็จต้องรีบปั่นกลับอย่างไว มิเช่นนั้นจะตกเรือ ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายสองโมงแล้ว 15 km:hr ขากลับเราก็โดนทิ้งห่างอีกเช่นเคย แต่เราทำความเร็วไม่ได้แล้วเมื่อยไปหมดทั้งตัว แต่ก็ปั่นเรื่อยๆไม่ได้พักเลย ระหว่างทางเจอด่านตำรวจแล้วโดนโบกด้วยแหละ เอาแล้วไงพาสปอร์ตเอกสารอยู่ในกระเป๋ากับเพื่อน (เพื่อนเห็นเราปั่นช้าจึงอาสาเปลี่ยนเป้แบกซึ่งเป้ของเรามีกล้องอยู่ด้วยจึงหนักมาก) สรุปแล้วที่ตำรวจโบกให้เราจอดก็เพื่อจะถามว่าเราซื้อจักรยามมาเท่าไหร่ อืมมมม แต่ก็โล่งอกไปที
อีก 11 km จอดถ่ายรูปแล้วถอนหายใจแปป
พอเริ่มเข้าตัวเมืองก็รีบถามทางไปท่าเรือทันที ซึ่งตอนนั้นก็บ่ายสามโมงแล้ว ต้องรีบเผื่อเรือยังไม่ออก เราถึงท่าเรือประมาณ 15.20 แล้วก็พบความจริงที่ว่า เราได้ตกเรือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว T_T ไม่เป็นไรยังมีรถกลับ แต่ต้องปั่นย้อนกลับไปที่ท่ารถอีกก็ไกลพอประมาณ
ค่ารถโดยสารระหว่างประเทศ 55 บาท ซึ่งเรามาทันรถรอบ 15.30 พอดี รีบจัดการพับจักรยานเอาใส่ใต้ท้องรถแล้วรีบขึ้นไปรับแอร์เย็นๆบนรถทันที
พอรถมาถึงด่านตรวจที่สะพานมิตรภาพ ทุกคนต้องลงจากรถไปจั่มพาสปอร์ต เราเสียค่าจั่มพาสปอร์ตเพิ่มอีก 40 บาท และเพื่อนเรานอกจากจะเสียค่าจั่มบัตรผ่นแดนชั่วคราวขาออกแล้วยังต้องเสียค่าล่วงเวลาเพิ่มอีก 50 บาท เอาไว้เป็นบทเรียนคราวหน้าพกพาสปอร์ตมาด้วยนะจ๊ะ
พอผ่านด่าน ตม. เราเดินไปอีกฝั่งซึ่งมีรถมาจอดรอ พอคนขึ้นจนเต็มรถรถถึงจะออกตอนรถออกจากท่ารถคนยังขึ้นไม่เต็มรถเลย แต่พอขึ้นจากสะพานคนมาซะเต็มรถ ถ้ารู้ว่าจะตกเรือก็จะได้ไม่ต้องเสียแรงปั่นเข้าเมืองหรอก มารอรถที่สะพานเลยดีกว่า T_T นอกจากจะตกเรือแล้ว กาแฟที่แม่ฝากก็ไม่ได้ซื้อ
ถึงแล้วไทยแลนด์ที่รัก
พอถึงด่าน ตม. ที่ฝั่งไทย เราต้องลงจากรถอีกทีเพื่อไปจั่มพาสปอร์ตอีกรอบ แต่ฝั่งเราไม่เสียค่าจั่ม แถมมีช่องทางแบ่งแยกสำหรับคนไทย คนลาว คนต่างประเทศอื่นๆ เราจึงไม่ต้องไปต่อคิวยาวๆ พอผ่าน ตม เรียบร้อยแล้วเราก็เดินมาขึ้นรถอีกฝั่ง รถไปสุดสายที่ บขส มุกดาหาร เราต้องเสียค่าสกายแลปเพื่อไปเอารถที่จอดไว้ที่ท่าเรืออีก 90 บาท T_T ถึงจุดๆนี้ ไม่ขอปั่นแล้ว
สรุปค่าใช้จ่าย
ค่าเรือ 50 บาท
ค่าจั้มพาสปอร์ตขาเข้า 100 บาท
ค่าอาหาร 235 บาท (หารสองแล้ว)
ค่าน้ำดื่มที่หน้าพระธาตู 30 บาท
หยอดตู้บริจาคผ้าซิ่น 20 บาท
ค่ารถโดยสารระหว่างประเทศ 55 บาท
ค่าจั้มพาสปอร์ตขาออก 40 บาท
ค่าสามล้อเครื่อง 45 บาท (หารสองแล้ว)
----------------รวม 575 บาท------------------------
ขอบคุณที่อ่านกระทู้เรามาจนถึงตอนนี้ ถ้ามีข้อผิดพลาดอย่างไรเราก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย