นับตั้งแต่วันที่ฉันรักเธอ [ตอนที่ 32]

กระทู้สนทนา
32



    คืนหลังๆ มานี้ฉันฝันย้อนอดีตมาหาพี่บริงค์ได้ทุกครั้งเลย และทุกครั้งที่ฉันมา ก็จะมาคอยอยู่เป็นเพื่อนเขาโดยที่บางครั้งป๊าก็ปล่อยให้พวกเราอยู่กันตามลำพังสองคน พี่บริงค์อาการดีขึ้นอย่างเป็นลำดับ แฟนคลับทุกคนจึงได้โล่งใจกันไปบ้าง แต่ถึงกระนั้น...ความรักความห่วงใยที่พวกแฟนคลับมี ก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย ข่าวฉาวต่างๆ ที่ฉันเคยกลัวก็ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว มีแต่ข่าวดีที่ประกาศโครมๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับทุกสัปดาห์ถึงอาการที่ดีขึ้นจนน่าปีติ

    ตอนนี้ฉันก็โล่งใจขึ้นมากแล้วล่ะ หลังจากที่คุณหมอบอกว่าพี่บริงค์พ้นขีดอันตรายแล้ว จากที่เคยนอนพักรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นห้องพิเศษแทน แต่ว่า...คุณหมอก็ขอให้พักรักษาตัวอยู่ที่นี่ต่อ เพื่อรอดูอาการต่อไป ซึ่งพวกเราก็ไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้ว คนไข้ที่เพิ่งอาการดีขึ้น หมอคนไหนจะกล้าสั่งให้กลับบ้านล่ะ เนอะ

    “อ้ามมมม ^^” พี่บริงค์งับช้อนในมือฉันที่มีข้าวต้มร้อนๆ เข้าปากไปแล้วเขี้ยวตุ้ยๆ จะเคี้ยวอะไรนักหนาเนี่ย ข้าวต้มนะไม่ใช่ข้าวเหนียว

    “เอาหมูเยอะๆ สิ เอาข้าวน้อยๆ” เขาสั่งแกมบ่นที่ฉันเน้นข้าวมากไปหน่อย

    “ค่าๆๆ” ฉันล่ะเบื่อพ่อคนนี้จริงๆ แต่ก็ไม่ขอขัดใจอ่ะนะเพราะเขาเป็นคนป่วยนี่นา ต้องตามใจหน่อย

    “อ่ะ อ้ามมม” ฉันอ้าปากประกอบกับช้อนที่จ่อเข้าไปตรงปากเขา พี่บริงค์อ้าปากกว้างแล้วงับช้อนจนมิดก่อนจะรูดปากออกแล้วเคี้ยวๆๆ

    ก๊อกๆๆ

    “เฮือก!!!” พวกเราสองคนสะดุ้งโหยงแล้วหันไปที่ประตูทันที พลันบานประตูสีเบจก็ถูกผลักเข้ามาแล้วปรากฏผู้ชายสองคนที่เดินยิ้มแฉ่งเข้ามาพร้อมตะกร้าผลไม้ และขนมมากมายในมือ

    “แหมๆๆ สวีทอะไรกันนักหนาเนี่ย ;)” พี่โฮมทำหน้าล้อเลียนเมื่อเห็นฉันที่กำลังถือช้อนค้างกลางอากาศ พลางนำตะกร้าผลไม้ไปวางไว้ที่เคาน์เตอร์ใกล้ๆ ทีวี

    “ต้องขอโทษด้วยนะพี่บริงค์ที่เข้ามาขัดจังหวะอ่ะ อิอิ” พี่แชลมองเราสองคนแล้วยักคิ้วหลิ่วตา ส่วนพี่บริงค์ก็หัวเราะร่วน

    “นิดหน่อยน่ะ ไม่เป็นไรหรอกไอ้น้อง ^^”

    “=_=lll” ทั้งสองหนุ่มมีสีหน้าอย่างนี้ พี่โฮมเดินหน้ามุ่ยเข้ามายืนเกาะขอบเตียง

    “ปากอย่างนี้มันน่าจะให้อยู่ต่ออีกสักพักนะ” พี่โฮมพูดอย่างเคืองๆ

    “ไม่เอาหรอก คิดถึงบ้านจะตาย อยากกลับไปนอนบ้านนน T^T” พี่บริงค์ครวญ

    “เหรอออ อยากกลับไปนอนบ้าน รึอยากกลับ...ไปนอนกับนิกิมกันแน่ ;]” ทีนี้ก็เป็นตาของพี่ทั้งสองที่หัวเราะหึๆ เราสองคนหันมามองหน้ากันโดยบังเอิญแล้วก็ต่างคนต่างรีบหันหน้าหนีเพราะโคตรเขิน O///O

    “แน่ะๆๆ พูดจี้ใจล่ะซี้ รู้ทันหรอกน่าไอ้แผนสูง” พี่โฮมจี้ไปที่ตรงอกซ้ายของพี่บริงค์แรงๆ อย่างหมั่นไส้จนเจ้าตัวร้องลั่น

    “โอ๊ยยย เจ็บๆๆ” คนทำกัดปากยิ้มๆ อย่างนึกหมั่นไส้ไม่หายก่อนจะยอมดึงมือกลับแล้วขยี้ผมเจ้าตัวแทน

    “หืยยยย หมั่นไส้! อิจฉา! อยากมีบ้างโว้ยยย นางฟ้าของช้านนน~ >O<” พี่โฮมคำรามลั่นห้องก่อนจะหันมามองฉันสลับกับมองพี่บริงค์แล้วเชิดใส่

    “เชอะ!”

    “อะไรมาเชอะมาชะ ก็ไม่อยากมีเองช่วยไม่ได้ มัวแต่หวงน้องสาวจนน้องเขาแทบจะชำเลืองมองหนุ่มที่ไหนไม่ได้แล่ว” พี่บริงค์พูดกลั้วหัวเราะ ส่วนคนที่ถูกต่อว่าก็หน้ามุ่ยขึ้นมาทันที

    “เขายังไม่ถึงเวลาที่จะต้องมีแฟนต่างหากล่ะ ช่วงนี้เป็นวัยที่ต้องเรียนต้องศึกษา เรื่องแฟนไว้ค่อยให้พี่ชายมีก่อนแล้วน้องสาวค่อยมีทีหลัง ฮะๆๆ ^O^”

    “โห ไม่ค่อยอ่ะ” พวกเราโห่ร้องเสียงระงม เจ้าตัวยักไหล่หัวเราะอิอิอย่างน่าตบ เอ้ย! น่าหมั่นไส้ก็พอมั้ง = =lll

    “ฮัดเช่ย!!!”

    “อุ้ย! O_O//” พวกเราสามคนสะดุ้งไปตามๆ กันเมื่ออยู่ดีๆ พี่บริงค์ก็จามออกมาเสียงดังลั่นแบบไม่ให้ใครได้ตั้งตัวทัน เขาเอามือกุมจมูกอยู่อย่างนั้นก่อนจะแบออกดู ฉันเบิกตากว้างเมื่อเห็นอะไรเลอะอยู่ที่จมูกและปากของเขา เจ้าตัวและพี่ๆ อีกสองคนก็เบิกตากว้างไม่แพ้กัน

    “เลือด...” พี่บริงค์พูดเสียงเบาหวิวในขณะที่ตาก็จ้องมองเลือดในมือไม่กระพริบ ฉันที่ตั้งสติได้รีบไปดึงกระดาษทิชชู่มาเช็ดปากเช็ดจมูกให้เขาทันที แต่ว่านะ ยิ่งเช็ดก็ยิ่งเลอะ ให้เขาไปล้างหน้าดีกว่า

    “ป่ะ ไปล้างหน้าดีกว่าพี่บริงค์” ฉันประคองร่างเขาที่กำลังอึ้งให้ลงมาจากเตียงแล้วพาเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ พี่แกเล่นแต่นิ่งอึ้งมองเงาหน้าตัวเองในกระจกแล้วก็ได้แต่นิ่งงัน นั่นจึงเป็นหน้าที่ของฉันที่จะต้องเป็นคนล้างหน้าให้เขาแทนจนเกลี้ยงแล้วเช็ดหน้าให้จนสะอาดกลับไปเป็นเหมือนเดิม แล้วจึงค่อยๆ ประคองพาเขาออกมาเพื่อกลับไปนอนบนเตียงอย่างเดิม พอออกมาฉันก็เห็นแต่พี่แชลที่รีบปรี่เข้ามาหาด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นกังวล ส่วนพี่โฮม...

    “พี่โฮมไปเรียกหมอมาให้แล้ว เดี๋ยวก็คงมา” เขาคงอ่านสายตาฉันออกสินะ

    ก๊อกๆๆ

    “อ๊ะ สงสัยจะมาแล้ว” พวกเราสามคนหันไปมองกันที่ประตูก่อนบานประตูใหญ่จะเปิดออกพร้อมร่างของคุณหมอ กับพยาบาลสาวอีกสามคน และพี่โฮมที่เดินตามเข้ามา

    “คุณจามเป็นเลือดหรือครับ?”

    “เอ่อ...ครับ มันออกมาทั้งทางปากทั้งจมูกเลยครับหมอ” พี่บริงค์ขมวดคิ้วพูดเสียงเครียด เขาไม่เข้าใจในตัวเองว่าทำไมถึงได้จามเป็นเลือดอย่างนี้ ฉันเองก็เครียด ทุกคนก็เครียด คุณหมอก็ขมวดคิ้ว

    “ถ้าอย่างนั้น...คงต้องรอดูอาการอีกสักสองสามวันนะครับคุณบริงค์ เพราะถ้าเกิดว่าคุณยังมีอาการจามเป็นเลือดอยู่อีก หมอคงต้องพาคุณไปเอ็กซเรย์ แต่ว่าถ้าหลังจากนี้อาการนั้นไม่มีให้เห็นอีก ก็คงไม่มีอะไรต้องน่าเป็นห่วงหรอกครับ” คุณหมอยิ้มเย็นๆ พวกเราจึงค่อยโล่งใจไปเปราะหนึ่ง เพราะแค่จามเป็นเลือด ฉันก็ว่ามันคงเกิดมาจากเส้นเลือดฝอยแตกละมั้ง

    “ครับ ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”

    “ถ้าไม่มีอะไรแล้วหมอต้องขอตัวก่อนนะครับ ถ้าเกิดมีอาการอะไรอย่างอื่นผิดปกติอีกก็เรียกหมอได้ทุกเมื่อเลยนะครับ”

    “ครับ ขอบคุณมากครับคุณหมอ” พี่บริงค์ไหว้หมอรุ่นใหญ่คนนั้น ส่วนพวกเราก็ยกมือไหว้ไปตามกัน หมอรุ่นใหญ่รับไหว้พวกเราก่อนจะเดินออกไปพร้อมนางพยาบาลสามคนนั้น

    “พี่บริงค์...” ฉันคราง มองหน้าเขาอย่างกังวล พี่บริงค์หันมามองฉันแล้วยิ้มบางๆ พลางยกมือขึ้นขยี้ผมฉันอย่างอ่อนโยน

    “ไม่ต้องเครียดๆ ก็คงแค่เลือดกำเดาแหละน่า ^^” ถึงเขาจะทำเป็นแบบไม่แคร์ไม่ใคร่สนใจ แต่พวกเราอีกสามคนรู้ดีว่าเขาคิดมากแค่ไหน แต่พวกเราก็เลือกที่จะเงียบไว้ไม่ขอพูด ต่างคนต่างคิด สี่คนสี่ความคิดที่ไม่มีใครรู้แก่กัน

    “นี่ อะไรกัน ทำหน้าแบบนั้นไม่ไหวเลยนะ ยิ้มหน่อยสิ ยิ้มมม ” เจ้าตัวหันไปทำหน้ายิ้มบานแฉ่งให้ทุกคนเมื่อเห็นบรรยากาศมันอึมครึมพิกล พวกเราจึงฝืนยิ้มแห้งๆ ออกมาเพื่อให้เขาได้สบายใจ แต่ดูท่าพี่บริงค์คงรู้ว่าพวกเรารู้สึกยังไงอยู่จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ

    “น่า~ อย่างน้อยบริงค์คนนี้ก็ไม่ตายวันนี้หรอก สัญญา ^^”

    “พี่บริงค์! / ไอ้บริงค์!” เราสามคนตวาดลั่นก่อนจะลงไม้ลงมือตีแขนตบหัวเขาอย่างไม่ชอบใจ โดยเฉพาะพี่แชลที่ถึงกับบีบคอแล้วเขย่าคอพี่บริงค์ไปมาแรงๆ

    “ถ้าขืนยังปากแมวอีกนะ ผมนี่แหละ...จะฆ่าพี่ให้ตายเอง! ย้ากกก” ว่าพลางเขย่าคอเจ้าตัวไปมาไม่หยุด

    “อ้าก นายจะฆ่าพี่จริงๆ เหรอเนี่ย > <lll”

    “ก็เออน่ะสิ! หึ!” พี่แชลปล่อยคอไอ้คนปากเสียแรงๆ เพราะเคืองโกรธที่เขาดันพูดอะไรเป็นลางไม่ดีออกมาให้พวกเราได้เครียดกันอีก

    “เฮ้อ” ฉันมองพี่บริงค์ที่ไอแค่กๆ เพราะสำลักลมหายใจตัวเอง แล้วส่ายหน้าไปมาด้วยความระอากับปากมะแมวของพี่แก แทนที่จะทำให้พวกเราสบายใจขึ้นอีกนิด กลับจุดไฟความคิดเดิมให้ลุกโชนขึ้นมาอีก พี่บริงค์นะพี่บริงค์... ฉันถอนใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้น

    “จะไปไหนอ่ะนิกิม?” ฉันชะงัก ก่อนจะหันกลับไปมองเจ้าของเสียงแล้วเกิดพูดไม่ออกขึ้นมากะทันหัน ฉันได้แต่มองเขาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มัน...ทั้งโกรธ ทั้งกังวล และกลัวมากๆ กลัวว่าคำพูดของเขาก่อนหน้านี้จะมีวันเกิดขึ้นในไม่ช้า ฉันผู้เป็นคนมาจากอนาคตย่อมรู้ดีว่าเขา...จะ...

    แหมะ

    “เฮ้ย นิกิม! ร้องไห้ทำไม” พี่บริงค์ทำท่าจะลุกลงจากเตียงเพื่อจะมาหาฉันแต่ฉันก็รีบปาดน้ำตาทิ้งแล้วพูดตัดบทเสียงเครือ

    “อยากไปหาอะไรกินหน่อยน่ะ เดี๋ยวมานะ”

    ปัง!

    ฉันรีบออกไปจากห้องนี้ทันที โดยที่ตัวเองก็ยังคงอยู่ในคราบเด็กชายใส่แว่นหน้าหวานเหมือนทุกครั้ง แฟนคลับที่นั่งออนั่งเฝ้ากันอยู่หน้าห้องมองฉันก่อนจะเมินไปทางอื่นเพราะฉันไม่ใช่หนึ่งในสามคนนั้นที่พวกหล่อนปลื้มซะหน่อย ก็แค่...ญาติห่างๆ ที่มีหน้าที่ดูแลเขาเท่านั้น ใช่...เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อฉันและต่อพี่บริงค์ ป๊าจึงบอกพวกนักข่าวไปว่าฉันคือน้องชายของพี่บริงค์ที่มีหน้าที่ดูแลพี่เขา ทุกคนรวมทั้งนักข่าวพวกนั้นจึงได้เชื่อกันสนิทใจ และไม่ลงข่าวเสียๆ หายๆ อีก(ว่าพี่แกเป็นเกย์)

    ฉันเดินออกไปจากตรงนั้นท่ามกลางแฟนคลับของวง x’s-Q ที่ยังคงมานอนมานั่งเฝ้านักร้องในดวงใจอยู่ที่หน้าห้องคนไข้จำนวนไม่น้อยไปกว่าเดิมเลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่