ความเดิมตอนที่แล้ว -->
http://ppantip.com/topic/34108068
********************
“เป็นไง รูปพระอาทิตย์ตกสวยไหม”
“อ้าว ไปแหลมพรหมเทพตั้งแต่เมื่อไร ไม่เห็นบอกเลย”
แหลมพรหมเทพพ่องงง!!
ผมคุย Line เล่นกับเพื่อนระหว่างที่รถติด สิ่งหนึ่งที่บาหลีเหมือนกรุงเทพ ฯ คือมีปริมาณรถมากกว่าพื้นที่ถนน แล้วยิ่งเป็นถนนเลนเดียวแบบนี้ ลืมเรื่องการแซงไปได้เลยครับ ต่อแถวยาวยิ่งกว่าจองบัตรเข้าชมเดี่ยว 12 วันแรกซะอีก
ตามแผนเดิม ผมต้องแวะดินเนอร์แถว ๆ หาดจิมบารัน นั่งชิว ๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศริมทะเลบาหลี แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหนื่อยมาก แล้วเดี๋ยวตีสองก็ต้องออกเดินทางไปภูเขาไฟบาตูร์อีก เลยขอกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมก่อนดีกว่า
โรงแรมที่ผมจองไว้มีชื่อว่า Cityzen Renon ตั้งอยู่ในเดนพาซาร์ เมืองหลวงของบาหลี ถ้าตำแหน่งของสนามบินคือเพชรบุรี วัดอูลูวาตูคือภูเก็ต ที่พักของผมก็น่าจะอยู่แถว ๆ ฉะเชิงเทรา คืออยู่ตอนกลางของเกาะแต่ค่อนไปทางตะวันออกหน่อย ๆ สถานที่เป็นยังไงไม่รู้ บริการเป็นยังไม่รู้ รู้แต่ว่าที่นี่ราคาถูกที่สุดในเว็บ Airasiago.com ผมรู้แค่นั้นจริง ๆ
สิริพาผมลัดเลาะไปตามซอกซอยต่าง ๆ ข้อดีคือมันเป็นทางลัดทำให้ถึงที่หมายเร็วขึ้น แต่ข้อเสียคือซอกซอยพวกนั้นมันแคบ มืดและเปลี่ยวมาก ถนนเล็กยิ่งกว่าซอยแถวจรัลสนิทวงศ์ซะอีก
สิริ!! เมิงพากุออกจากซอยผีสิงนี่เดี๋ยวนี้นะ!!
หนึ่งชั่วโมงครึ่งผ่านไป สิริพาผมแวะเข้าไปในซอยตันหนึ่งครั้ง ก่อนจะพาผมถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ ผมออกมากินข้าวข้างทางด้วยความหิวโหย ก่อนจะเช็คอินเข้าห้องพัก
ข้าวหน้าเป็ดอร่อย ๆ
ห้องพักที่นี่ใหญ่โตกว่าที่ผมคิดไว้มาก คือน่าจะนอนได้ซัก 5 – 6 คนอย่างสบาย ๆ อาจจะดูเก่าหน่อยแต่ก็สะอาดสะอ้าน มีเตียงขนาดใหญ่ เครื่องปรับอากาศ ทีวี และตู้เสื้อผ้า เปิดไปอีกห้องเป็นโต๊ะกินข้าวกับตู้เย็น ส่วนอีกห้องเป็นห้องน้ำ แม่เจ้า เมิงจะใหญ่ไปไหน นี่กั้นเป็นสองห้องได้เลยนะเนี่ย
ความเสื่อมโทรมของที่นี่มีอยู่สองอย่างครับ อย่างแรกคือ ‘เครื่องทำน้ำอุ่น’ คือถ้าโดยสากลนิยมแล้ว สีฟ้าจะหมายถึงน้ำเย็น ส่วนสีแดงหมายถึงน้ำร้อน ซึ่งไม่ว่าเป็นประเทศไทยหรือประเทศไหน ๆ ก็ใช้สัญลักษณ์แบบนี้
แต่สำหรับห้องนี้ สีฟ้าคือน้ำร้อน!! สีแดงคือน้ำเย็น!!
ผมเข้าไปในห้องน้ำ ค่อย ๆ เปลื้องผ้าออกทีละชิ้น เฮ้อ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน ได้อาบน้ำเย็น ๆ ก็คงสดชื่นดี พลางเปิดก๊อกฝักบัวไปด้านสีฟ้า เตรียมตัวจะสดชื่นเต็มที่
ซ่า!!
เชี่ย!! ร้อนเชี่ย!!
ผมสะดุ้งเป็นหมาสะดิ้งน้ำร้อน น้ำร้อนจัดพุ่งออกมาจากฝักบัว ไม่ถงไม่ถามสุขภาพกุซักคำ ไข่เข่ยจะสุกกันเถอะเราก็คราวนี้ หลังจากนั้นเวลาจะอาบน้ำหรือล้างมือแต่ละทีต้องตั้งสติมาก ๆ
ฝักบัว ฟ้าร้อน แดงเย็น
แต่อ่างล้างมือ ฟ้าเย็น แดงร้อน
โอ๊ยยย!! นี่กุมาฝึกสติปัฏฐาน 4 หรือนี่!!
ส่วนความเสื่อมโทรมอีกอย่างหนึ่งคือ ‘ยาสระผมกับสบู่’
ยาสระผมที่นี่มีสีเขียวสดใสกลิ่นมะนาว ส่วนสบู่เหลวมีสีชมพูสะท้อนแสงแบบกางกางรัดรูปนักเต้นแอโรบิกกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่
นี่เมิงคิดได้ไงยาสระผมกลิ่นมะนาวกับสบู่กลิ่นสตรอว์เบอร์รี่
mix and ไม่ match กันมาก ๆ ส่วนบนเปรี้ยวแต่ส่วนล่างหวาน อาบน้ำทีไรรู้สึกว่านี่เราอยู่งานสัปดาห์ผลไม้เมืองจันท์รึเปล่า หอมกลิ่นผลไม้น่ากินมาก ๆ นี่เมิงไม่ทำยาสีฟันกลิ่นทุเรียนด้วยเลยล่ะ
อาบน้ำเสร็จก็ออกมาจัดของ เหลือบไปเห็นผ้าสีเหลืองผืนหนึ่ง
ซิบหาย!! ลืมคืนผ้าที่วัดอูลูวาตู!!
“อุ๊ย ที่บาหลีผีดุนะ”
เสียงเตือนของ ‘หนิง’ ดังขึ้นมา
********************
“อุ๊ย ที่บาหลีผีดุนะ”
‘หนิง’ จะพูดประโยคนี้แกล้งผมทุกครั้งที่ผมไปถามเรื่องบาหลี
หนิงเป็นแฟนเพื่อนผมครับ เมื่อก่อนเราสองคนทำงานอยู่ตึกเดียวกัน เห็นหน้าเห็นตากันอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ทักทายกันเพราะไม่เคยรู้จักกันอย่างเป็นทางการ ผมเคยเห็นเธอใน Facebook แวบ ๆ บ้าง ส่วนเธอก็เคยเห็นผมใน Facebook แวบ ๆ บ้าง แต่พอเจอตัวจริงก็ไม่แน่ใจว่าใช่คนเดียวกันรึเปล่า เลยได้แค่สวนกันไปสวนกันมาอยู่อย่างนั้น
จนวันหนึ่ง ผมรวบรวมความกล้า ส่งยิ้มทักทายเธอ
ผมรีบไปเล่าให้เพื่อนฟังอย่างภาคภูมิใจ
“เฮ้ย วันนี้กูยิ้มให้แฟนด้วย”
“กูเพิ่งเลิกกันเมื่อคืน”
ห่านจิก!!
หนิงจะมองกุเป็นคนยังไงเนี่ย ร้อยวันพันปีไม่เคยสนใจ แต่เมิงมายิ้มให้วันที่เขาเลิกกันเนี่ยนะ
โถ กุยิ้มซะแป้นเลย
หลังจากนั้นผมก็พยายามหลบตาหนิงมาตลอด จนตอนหลังเธอมาขอซื้อหนังสือผม ผมเลยให้เธอไปสองเล่ม ความรู้สึกผิดครั้งนั้นค่อยคลายหายไปประหนึ่งได้รับนิรโทษกรรม หลังจากนั้นเราก็เป็นเพื่อนกันเรื่อยมา
หนิงเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของผมที่ออกตัวว่าเคยไปบาหลีมาก่อน ดังนั้นช่วงที่ผมเริ่มวางแผนเที่ยว ผมก็จะถามโน่นถามนี่หนิงอยู่บ่อย ๆ แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมามักจะเป็นเรื่องราวสยองขวัญ ไม่ว่าจะเป็น
“อุ๊ย ที่บาหลีผีดุนะ”
“อุ๊ย เพื่อนเราเคยเจออะไรแปลก ๆ ที่นั่นด้วยแหละ”
“อุ๊ย เพื่อนเรานะ เปิดกระเป๋าออกมา เจอตุ๊กแกตัวเบ้อเร่อเลย”
โอ๊ยยย!! จะเล่าทำไมเนี่ย!!
แม้ว่าทุกครั้งผมจะแกล้งพูดอะไรขำ ๆ ทำเป็นไม่ใส่ใจ แต่จริง ๆ แล้วโคตรกลัวเลยครับ ยิ่งผีภาคใต้ ผีมาเลย์ ผีอินโด ฯ ขึ้นชื่อว่าโคตรดุอยู่แล้ว แล้วนี่กุต้องไปคนเดียวอีกก็ยิ่งเลยเถิดไปกันใหญ่ ผมนี่งดเสพเรื่องผีเป็นเวลาหนึ่งเดือนก่อนไปบาหลีเลยนะ สี่ทุ่มครึ่งวันพุธปุ๊บ กุกดปิดทีวีปั๊บ รายการคนอวดผีไม่มีโอกาสได้เล็ดลอดเข้ามาในสายตาผมเลยแม้แต่น้อย
“อุ๊ย ที่บาหลีผีดุนะ”
คำเตือนของหนิงดังขึ้นอีกครั้ง
แค่มาคนเดียวก็น่ากลัวอยู่แล้ว นี่กุ
เอาผ้าคาดเอวของวัดมาด้วยอีกหรือนี่ ถ้าคืนนี้มีผู้หญิงชุดขาวใส่เสื้อสูงคอสั้นมาร่ายรำตาเหลือกที่ปลายเตียง เพื่อทวงคืนผ้าคาดเอว
กุจะทำยังไง!!
แค่คิด ขนก็ลุกชูชันไปทั้งตัว
ผมหยิบพระเครื่องที่ห้อยคอออกมาเพื่อหาที่พึ่งทางใจ ‘หลวงปู่แย้มปิดตา’ วัดด่านสำโรง
เอ่อ หลวงปู่ครับ รบกวนช่วยเปิดตานิดนึงครับ ช่วยคุ้มครองลูกช้างด้วยครับ ขอบคุณครับ
เวลา 01.50 น.
ไฟในห้องนอนยังคงสว่างโร่ ผมนอนถ่างตาดูหนังฝรั่งอยู่ ตัดสินใจไม่นงไม่นอนมันแล้วคืนนี้ ง่วงก็ง่วง กลัวผีก็กลัว กลัวตื่นไม่ไหวก็กลัว กลัวมันไปหมดทุกอย่าง สุดท้ายก็แหกขี้ตาอยู่จนถึงตีสอง
ทันใดนั้น ก็มีเสียงเคาะห้องดังขึ้น
ก๊อก ๆ
ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ผี พนักงานโรงแรมมาเคาะประตูเรียกต่างหาก เขาแจ้งว่าไกด์มารับแล้ว ให้ออกเดินทางได้เลย
ผมสะพายเป้ขึ้นหลัง เดินงัวเงียออกจากโรงแรม ด้านหน้ามีรถเก๋งสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ข้างในมีไกด์กับเพื่อนร่วมทริปอีก 3 ชีวิต หนุ่มสาวทั้งห้าคนออกเดินทางสู่ภูเขาไฟบาตูร์ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะบาหลี
“Hi”
ประโยคสุดท้ายที่ผมพูด ก่อนที่จะผล็อยหลับไป
********************
หากตำแหน่งของสนามบินงูระห์ไรอยู่ตรงเพชรบุรี วัดอูลูวาตูอยู่ภูเก็ต ที่พักของผมของอยู่ฉะเชิงเทรา ภูเขาไฟบาตูร์ (Gunung Batur) ก็คงอยู่แถว ๆ ขอนแก่น คือค่อนไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะ
แรกเริ่มเดิมทีนั้น ไม่มีภูเขาไฟบาตูร์อยู่ในแผนการเที่ยวของผม จนวันหนึ่งผมหยิบ A Must List ของผมขึ้นมาดู
มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นวัดวาอารามอยู่ประมาณ 19 แห่ง ตอนนั้นก็รู้สึก เฮ้ย นี่มันอาม่าทัวร์ชัด ๆ เลยพยายามหากิจกรรมที่มันได้ผจญภัยสมชายชาตรีหน่อย ปรากฏว่ามีอยู่สองกิจกรรมคือดำน้ำกับปีนภูเขาไฟ ที่จริงผมชอบดำน้ำนะแต่ก็รู้สึกว่าเดี๋ยวค่อยไปดำที่เมืองไทยเอาก็ได้ แต่ภูเขาไฟนี่สิ เกิดมาก็เคยกินแต่โอวันตินภูเขาไฟ ยังไม่เคยสัมผัสภูเขาไฟตัวเป็น ๆ มาก่อน เลยตัดสินใจเพิ่มชื่อภูเขาไฟบาตูร์ไว้ใน A Must List ด้วยอีกที่หนึ่ง
การขึ้นภูเขาไฟที่นี่จะต้องมีไกด์พาขึ้นไปด้วย ผมจึงตัดสินใจซื้อโปรแกรม Volcano Batur & Sunrise Trekking Tour ของ Pineh Bali Tours ไม่รู้ว่าราคาถูกกว่าที่อื่นหรือไม่ ไม่รู้ว่าบริการดีกว่าที่อื่นรึเปล่า พอดีหาใน Google แล้วมันขึ้นชื่อนี้เป็นที่แรกก็เลยเลือกที่นี่ครับ แต่ผมว่าเขาก็บริการดีนะ มีรถรับส่งถึงโรงแรมด้วย ราคาอยู่ที่คนละ 40 ดอลลาร์ ถือว่าไม่ถูกหรือแพงจนเกินไป
ผมสลบไสลอยู่บนรถเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมง ในที่สุดพวกเราก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านบริเวณตีนเขา ซึ่งพวกเราจะแวะกินข้าวเช้ากันที่นี่ (กินข้าวเช้ากันตอนตีสี่หรือตีสามในเวลาไทย) ผมเดินงัวเงียตามคนอื่น ๆ ไป จากตาที่เคยตี่ ตอนนี้กลายเป็นตี๊ตี่ไปเรียบร้อยแล้ว
“Hi, I am Oui from Thailand”
ผมทักทายเพื่อน ๆ อีกสามคนอย่างเป็นทางการ หลังจากที่เมื่อกี้เสียมารยาทนั่งหลับตลอดสองชั่วโมงที่ผ่านมา
“Hi, I am Sakti and this is my friend. We are from Jakarta.
ชายหนุ่มแนะนำตัวเองกับแฟนสาว พวกเขามาจากจากาตาร์ เมืองหลวงของประเทศอินโดนีเซีย ผมไม่รู้ว่าชื่อเขาออกเสียงว่าอะไร ผมขออนุญาตเรียก Sakti ว่า ‘สันติ’ นะครับ ส่วนแฟนของเขาก็ไม่รู้ชื่ออะไร ผมขอเรียกเธอว่า ‘อ้อย’ ละกัน
นอกจาก ‘สันติ’ และ ‘อ้อย’ แล้ว ยังมีสาวชาวฟิลิปปินส์อีกคน ชื่ออะไรลอง ๆ นี่แหละ ขออนุญาตเรียกเธอว่า ‘ลองกอง’ ก็แล้วกัน ต้องขอโทษทั้งสามด้วยที่ผมจำเป็นต้องตั้งชื่อใหม่ให้ ชื่อพวกเขาออกเสียงยากมาก ผมก็ออกเสียงไม่ถูกเหมือนกัน ต้องขออภัย ‘สันติ’ ‘อ้อย’ และ ‘ลองกอง’ มาใน ณ ที่นี้
“โห มีทั้งคนไทย คนฟิลิปปินส์และคนอินโดนีเซีย เอ๊ะ นี่พวกเรามาประชุมอาเซียนรึเปล่าเนี่ย”
ผมกล่าวติดตลก แต่ไม่มีใครตลกกับผม เล่นเงียบกันจนได้ยินเสียงลมพัดแบบนี้ ผมก็เสีย self ไปเหมือนกัน
สิบนาทีต่อมา พี่ไกด์ก็เอาอาหารเช้ามาเสิร์ฟซึ่งประกอบด้วยแพนเค้กกล้วยหอมหนึ่งจานกับกาแฟถ้วยเล็ก ๆ อีกห้าถ้วย ถ้วยแรกเป็น Bali Coffee กาแฟดำหอมกรุ่นแต่กากกาแฟเยอะมาก จนอยากจะถามพี่ไกด์ว่า เอ๊ะ นี่เมิงลืมกรองให้กุรึเปล่า ถ้วยที่สองเป็น Vanilla Coffee หอมหวานละมุนอุ่นละไม ถ้วยที่สามเรียกว่า Coconut Coffee อันนี้ยอมรับว่าเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก เป็นกาแฟที่หอมกลิ่นมะพร้าว หวานมันดี ส่วนอีกสองถ้วยเป็นชา Lemon Tea กับ Ginger Tea พอดีผมไม่ชอบกินชาก็ให้เพื่อน ๆ เอาไปแบ่งกัน ซึ่งผมมีความเกรงใจมาก สั่งกาแฟมากินคนเดียวถึงห้าถ้วย หลังจากกินเสร็จ พวกเราก็ขึ้นรถ เดินทางต่อไปยังตีนภูเขาไฟบาตูร์
To be continued
บาหลีไม่มีเธอ: พิชิตภูเขาไฟ (ตอนที่ 8) -->
http://ppantip.com/topic/34112028
*** ติดตามเรื่องราวสนุก ๆ ได้ที่เพจ นายอุ๊ย!! นะครับ -->
https://www.facebook.com/lovenaioui ***
บาหลีไม่มีเธอ: คืนหลอนในบาหลี (ตอนที่ 7)
“เป็นไง รูปพระอาทิตย์ตกสวยไหม”
“อ้าว ไปแหลมพรหมเทพตั้งแต่เมื่อไร ไม่เห็นบอกเลย”
แหลมพรหมเทพพ่องงง!!
ผมคุย Line เล่นกับเพื่อนระหว่างที่รถติด สิ่งหนึ่งที่บาหลีเหมือนกรุงเทพ ฯ คือมีปริมาณรถมากกว่าพื้นที่ถนน แล้วยิ่งเป็นถนนเลนเดียวแบบนี้ ลืมเรื่องการแซงไปได้เลยครับ ต่อแถวยาวยิ่งกว่าจองบัตรเข้าชมเดี่ยว 12 วันแรกซะอีก
ตามแผนเดิม ผมต้องแวะดินเนอร์แถว ๆ หาดจิมบารัน นั่งชิว ๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศริมทะเลบาหลี แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหนื่อยมาก แล้วเดี๋ยวตีสองก็ต้องออกเดินทางไปภูเขาไฟบาตูร์อีก เลยขอกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมก่อนดีกว่า
โรงแรมที่ผมจองไว้มีชื่อว่า Cityzen Renon ตั้งอยู่ในเดนพาซาร์ เมืองหลวงของบาหลี ถ้าตำแหน่งของสนามบินคือเพชรบุรี วัดอูลูวาตูคือภูเก็ต ที่พักของผมก็น่าจะอยู่แถว ๆ ฉะเชิงเทรา คืออยู่ตอนกลางของเกาะแต่ค่อนไปทางตะวันออกหน่อย ๆ สถานที่เป็นยังไงไม่รู้ บริการเป็นยังไม่รู้ รู้แต่ว่าที่นี่ราคาถูกที่สุดในเว็บ Airasiago.com ผมรู้แค่นั้นจริง ๆ
สิริพาผมลัดเลาะไปตามซอกซอยต่าง ๆ ข้อดีคือมันเป็นทางลัดทำให้ถึงที่หมายเร็วขึ้น แต่ข้อเสียคือซอกซอยพวกนั้นมันแคบ มืดและเปลี่ยวมาก ถนนเล็กยิ่งกว่าซอยแถวจรัลสนิทวงศ์ซะอีก
สิริ!! เมิงพากุออกจากซอยผีสิงนี่เดี๋ยวนี้นะ!!
หนึ่งชั่วโมงครึ่งผ่านไป สิริพาผมแวะเข้าไปในซอยตันหนึ่งครั้ง ก่อนจะพาผมถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ ผมออกมากินข้าวข้างทางด้วยความหิวโหย ก่อนจะเช็คอินเข้าห้องพัก
ห้องพักที่นี่ใหญ่โตกว่าที่ผมคิดไว้มาก คือน่าจะนอนได้ซัก 5 – 6 คนอย่างสบาย ๆ อาจจะดูเก่าหน่อยแต่ก็สะอาดสะอ้าน มีเตียงขนาดใหญ่ เครื่องปรับอากาศ ทีวี และตู้เสื้อผ้า เปิดไปอีกห้องเป็นโต๊ะกินข้าวกับตู้เย็น ส่วนอีกห้องเป็นห้องน้ำ แม่เจ้า เมิงจะใหญ่ไปไหน นี่กั้นเป็นสองห้องได้เลยนะเนี่ย
ความเสื่อมโทรมของที่นี่มีอยู่สองอย่างครับ อย่างแรกคือ ‘เครื่องทำน้ำอุ่น’ คือถ้าโดยสากลนิยมแล้ว สีฟ้าจะหมายถึงน้ำเย็น ส่วนสีแดงหมายถึงน้ำร้อน ซึ่งไม่ว่าเป็นประเทศไทยหรือประเทศไหน ๆ ก็ใช้สัญลักษณ์แบบนี้
แต่สำหรับห้องนี้ สีฟ้าคือน้ำร้อน!! สีแดงคือน้ำเย็น!!
ผมเข้าไปในห้องน้ำ ค่อย ๆ เปลื้องผ้าออกทีละชิ้น เฮ้อ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน ได้อาบน้ำเย็น ๆ ก็คงสดชื่นดี พลางเปิดก๊อกฝักบัวไปด้านสีฟ้า เตรียมตัวจะสดชื่นเต็มที่
ซ่า!!
เชี่ย!! ร้อนเชี่ย!!
ผมสะดุ้งเป็นหมาสะดิ้งน้ำร้อน น้ำร้อนจัดพุ่งออกมาจากฝักบัว ไม่ถงไม่ถามสุขภาพกุซักคำ ไข่เข่ยจะสุกกันเถอะเราก็คราวนี้ หลังจากนั้นเวลาจะอาบน้ำหรือล้างมือแต่ละทีต้องตั้งสติมาก ๆ
ฝักบัว ฟ้าร้อน แดงเย็น
แต่อ่างล้างมือ ฟ้าเย็น แดงร้อน
โอ๊ยยย!! นี่กุมาฝึกสติปัฏฐาน 4 หรือนี่!!
ส่วนความเสื่อมโทรมอีกอย่างหนึ่งคือ ‘ยาสระผมกับสบู่’
ยาสระผมที่นี่มีสีเขียวสดใสกลิ่นมะนาว ส่วนสบู่เหลวมีสีชมพูสะท้อนแสงแบบกางกางรัดรูปนักเต้นแอโรบิกกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่
นี่เมิงคิดได้ไงยาสระผมกลิ่นมะนาวกับสบู่กลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ mix and ไม่ match กันมาก ๆ ส่วนบนเปรี้ยวแต่ส่วนล่างหวาน อาบน้ำทีไรรู้สึกว่านี่เราอยู่งานสัปดาห์ผลไม้เมืองจันท์รึเปล่า หอมกลิ่นผลไม้น่ากินมาก ๆ นี่เมิงไม่ทำยาสีฟันกลิ่นทุเรียนด้วยเลยล่ะ
อาบน้ำเสร็จก็ออกมาจัดของ เหลือบไปเห็นผ้าสีเหลืองผืนหนึ่ง
ซิบหาย!! ลืมคืนผ้าที่วัดอูลูวาตู!!
“อุ๊ย ที่บาหลีผีดุนะ”
เสียงเตือนของ ‘หนิง’ ดังขึ้นมา
“อุ๊ย ที่บาหลีผีดุนะ”
‘หนิง’ จะพูดประโยคนี้แกล้งผมทุกครั้งที่ผมไปถามเรื่องบาหลี
หนิงเป็นแฟนเพื่อนผมครับ เมื่อก่อนเราสองคนทำงานอยู่ตึกเดียวกัน เห็นหน้าเห็นตากันอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ทักทายกันเพราะไม่เคยรู้จักกันอย่างเป็นทางการ ผมเคยเห็นเธอใน Facebook แวบ ๆ บ้าง ส่วนเธอก็เคยเห็นผมใน Facebook แวบ ๆ บ้าง แต่พอเจอตัวจริงก็ไม่แน่ใจว่าใช่คนเดียวกันรึเปล่า เลยได้แค่สวนกันไปสวนกันมาอยู่อย่างนั้น
จนวันหนึ่ง ผมรวบรวมความกล้า ส่งยิ้มทักทายเธอ
ผมรีบไปเล่าให้เพื่อนฟังอย่างภาคภูมิใจ
“เฮ้ย วันนี้กูยิ้มให้แฟนด้วย”
“กูเพิ่งเลิกกันเมื่อคืน”
ห่านจิก!!
หนิงจะมองกุเป็นคนยังไงเนี่ย ร้อยวันพันปีไม่เคยสนใจ แต่เมิงมายิ้มให้วันที่เขาเลิกกันเนี่ยนะ
โถ กุยิ้มซะแป้นเลย
หลังจากนั้นผมก็พยายามหลบตาหนิงมาตลอด จนตอนหลังเธอมาขอซื้อหนังสือผม ผมเลยให้เธอไปสองเล่ม ความรู้สึกผิดครั้งนั้นค่อยคลายหายไปประหนึ่งได้รับนิรโทษกรรม หลังจากนั้นเราก็เป็นเพื่อนกันเรื่อยมา
หนิงเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของผมที่ออกตัวว่าเคยไปบาหลีมาก่อน ดังนั้นช่วงที่ผมเริ่มวางแผนเที่ยว ผมก็จะถามโน่นถามนี่หนิงอยู่บ่อย ๆ แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมามักจะเป็นเรื่องราวสยองขวัญ ไม่ว่าจะเป็น
“อุ๊ย ที่บาหลีผีดุนะ”
“อุ๊ย เพื่อนเราเคยเจออะไรแปลก ๆ ที่นั่นด้วยแหละ”
“อุ๊ย เพื่อนเรานะ เปิดกระเป๋าออกมา เจอตุ๊กแกตัวเบ้อเร่อเลย”
โอ๊ยยย!! จะเล่าทำไมเนี่ย!!
แม้ว่าทุกครั้งผมจะแกล้งพูดอะไรขำ ๆ ทำเป็นไม่ใส่ใจ แต่จริง ๆ แล้วโคตรกลัวเลยครับ ยิ่งผีภาคใต้ ผีมาเลย์ ผีอินโด ฯ ขึ้นชื่อว่าโคตรดุอยู่แล้ว แล้วนี่กุต้องไปคนเดียวอีกก็ยิ่งเลยเถิดไปกันใหญ่ ผมนี่งดเสพเรื่องผีเป็นเวลาหนึ่งเดือนก่อนไปบาหลีเลยนะ สี่ทุ่มครึ่งวันพุธปุ๊บ กุกดปิดทีวีปั๊บ รายการคนอวดผีไม่มีโอกาสได้เล็ดลอดเข้ามาในสายตาผมเลยแม้แต่น้อย
“อุ๊ย ที่บาหลีผีดุนะ”
คำเตือนของหนิงดังขึ้นอีกครั้ง
แค่มาคนเดียวก็น่ากลัวอยู่แล้ว นี่กุเอาผ้าคาดเอวของวัดมาด้วยอีกหรือนี่ ถ้าคืนนี้มีผู้หญิงชุดขาวใส่เสื้อสูงคอสั้นมาร่ายรำตาเหลือกที่ปลายเตียง เพื่อทวงคืนผ้าคาดเอว
กุจะทำยังไง!!
แค่คิด ขนก็ลุกชูชันไปทั้งตัว
ผมหยิบพระเครื่องที่ห้อยคอออกมาเพื่อหาที่พึ่งทางใจ ‘หลวงปู่แย้มปิดตา’ วัดด่านสำโรง
เอ่อ หลวงปู่ครับ รบกวนช่วยเปิดตานิดนึงครับ ช่วยคุ้มครองลูกช้างด้วยครับ ขอบคุณครับ
เวลา 01.50 น.
ไฟในห้องนอนยังคงสว่างโร่ ผมนอนถ่างตาดูหนังฝรั่งอยู่ ตัดสินใจไม่นงไม่นอนมันแล้วคืนนี้ ง่วงก็ง่วง กลัวผีก็กลัว กลัวตื่นไม่ไหวก็กลัว กลัวมันไปหมดทุกอย่าง สุดท้ายก็แหกขี้ตาอยู่จนถึงตีสอง
ทันใดนั้น ก็มีเสียงเคาะห้องดังขึ้น
ก๊อก ๆ
ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ผี พนักงานโรงแรมมาเคาะประตูเรียกต่างหาก เขาแจ้งว่าไกด์มารับแล้ว ให้ออกเดินทางได้เลย
ผมสะพายเป้ขึ้นหลัง เดินงัวเงียออกจากโรงแรม ด้านหน้ามีรถเก๋งสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ข้างในมีไกด์กับเพื่อนร่วมทริปอีก 3 ชีวิต หนุ่มสาวทั้งห้าคนออกเดินทางสู่ภูเขาไฟบาตูร์ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะบาหลี
“Hi”
ประโยคสุดท้ายที่ผมพูด ก่อนที่จะผล็อยหลับไป
หากตำแหน่งของสนามบินงูระห์ไรอยู่ตรงเพชรบุรี วัดอูลูวาตูอยู่ภูเก็ต ที่พักของผมของอยู่ฉะเชิงเทรา ภูเขาไฟบาตูร์ (Gunung Batur) ก็คงอยู่แถว ๆ ขอนแก่น คือค่อนไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะ
แรกเริ่มเดิมทีนั้น ไม่มีภูเขาไฟบาตูร์อยู่ในแผนการเที่ยวของผม จนวันหนึ่งผมหยิบ A Must List ของผมขึ้นมาดู มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นวัดวาอารามอยู่ประมาณ 19 แห่ง ตอนนั้นก็รู้สึก เฮ้ย นี่มันอาม่าทัวร์ชัด ๆ เลยพยายามหากิจกรรมที่มันได้ผจญภัยสมชายชาตรีหน่อย ปรากฏว่ามีอยู่สองกิจกรรมคือดำน้ำกับปีนภูเขาไฟ ที่จริงผมชอบดำน้ำนะแต่ก็รู้สึกว่าเดี๋ยวค่อยไปดำที่เมืองไทยเอาก็ได้ แต่ภูเขาไฟนี่สิ เกิดมาก็เคยกินแต่โอวันตินภูเขาไฟ ยังไม่เคยสัมผัสภูเขาไฟตัวเป็น ๆ มาก่อน เลยตัดสินใจเพิ่มชื่อภูเขาไฟบาตูร์ไว้ใน A Must List ด้วยอีกที่หนึ่ง
การขึ้นภูเขาไฟที่นี่จะต้องมีไกด์พาขึ้นไปด้วย ผมจึงตัดสินใจซื้อโปรแกรม Volcano Batur & Sunrise Trekking Tour ของ Pineh Bali Tours ไม่รู้ว่าราคาถูกกว่าที่อื่นหรือไม่ ไม่รู้ว่าบริการดีกว่าที่อื่นรึเปล่า พอดีหาใน Google แล้วมันขึ้นชื่อนี้เป็นที่แรกก็เลยเลือกที่นี่ครับ แต่ผมว่าเขาก็บริการดีนะ มีรถรับส่งถึงโรงแรมด้วย ราคาอยู่ที่คนละ 40 ดอลลาร์ ถือว่าไม่ถูกหรือแพงจนเกินไป
ผมสลบไสลอยู่บนรถเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมง ในที่สุดพวกเราก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านบริเวณตีนเขา ซึ่งพวกเราจะแวะกินข้าวเช้ากันที่นี่ (กินข้าวเช้ากันตอนตีสี่หรือตีสามในเวลาไทย) ผมเดินงัวเงียตามคนอื่น ๆ ไป จากตาที่เคยตี่ ตอนนี้กลายเป็นตี๊ตี่ไปเรียบร้อยแล้ว
“Hi, I am Oui from Thailand”
ผมทักทายเพื่อน ๆ อีกสามคนอย่างเป็นทางการ หลังจากที่เมื่อกี้เสียมารยาทนั่งหลับตลอดสองชั่วโมงที่ผ่านมา
“Hi, I am Sakti and this is my friend. We are from Jakarta.
ชายหนุ่มแนะนำตัวเองกับแฟนสาว พวกเขามาจากจากาตาร์ เมืองหลวงของประเทศอินโดนีเซีย ผมไม่รู้ว่าชื่อเขาออกเสียงว่าอะไร ผมขออนุญาตเรียก Sakti ว่า ‘สันติ’ นะครับ ส่วนแฟนของเขาก็ไม่รู้ชื่ออะไร ผมขอเรียกเธอว่า ‘อ้อย’ ละกัน
นอกจาก ‘สันติ’ และ ‘อ้อย’ แล้ว ยังมีสาวชาวฟิลิปปินส์อีกคน ชื่ออะไรลอง ๆ นี่แหละ ขออนุญาตเรียกเธอว่า ‘ลองกอง’ ก็แล้วกัน ต้องขอโทษทั้งสามด้วยที่ผมจำเป็นต้องตั้งชื่อใหม่ให้ ชื่อพวกเขาออกเสียงยากมาก ผมก็ออกเสียงไม่ถูกเหมือนกัน ต้องขออภัย ‘สันติ’ ‘อ้อย’ และ ‘ลองกอง’ มาใน ณ ที่นี้
“โห มีทั้งคนไทย คนฟิลิปปินส์และคนอินโดนีเซีย เอ๊ะ นี่พวกเรามาประชุมอาเซียนรึเปล่าเนี่ย”
ผมกล่าวติดตลก แต่ไม่มีใครตลกกับผม เล่นเงียบกันจนได้ยินเสียงลมพัดแบบนี้ ผมก็เสีย self ไปเหมือนกัน
สิบนาทีต่อมา พี่ไกด์ก็เอาอาหารเช้ามาเสิร์ฟซึ่งประกอบด้วยแพนเค้กกล้วยหอมหนึ่งจานกับกาแฟถ้วยเล็ก ๆ อีกห้าถ้วย ถ้วยแรกเป็น Bali Coffee กาแฟดำหอมกรุ่นแต่กากกาแฟเยอะมาก จนอยากจะถามพี่ไกด์ว่า เอ๊ะ นี่เมิงลืมกรองให้กุรึเปล่า ถ้วยที่สองเป็น Vanilla Coffee หอมหวานละมุนอุ่นละไม ถ้วยที่สามเรียกว่า Coconut Coffee อันนี้ยอมรับว่าเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก เป็นกาแฟที่หอมกลิ่นมะพร้าว หวานมันดี ส่วนอีกสองถ้วยเป็นชา Lemon Tea กับ Ginger Tea พอดีผมไม่ชอบกินชาก็ให้เพื่อน ๆ เอาไปแบ่งกัน ซึ่งผมมีความเกรงใจมาก สั่งกาแฟมากินคนเดียวถึงห้าถ้วย หลังจากกินเสร็จ พวกเราก็ขึ้นรถ เดินทางต่อไปยังตีนภูเขาไฟบาตูร์
To be continued
บาหลีไม่มีเธอ: พิชิตภูเขาไฟ (ตอนที่ 8) --> http://ppantip.com/topic/34112028
*** ติดตามเรื่องราวสนุก ๆ ได้ที่เพจ นายอุ๊ย!! นะครับ --> https://www.facebook.com/lovenaioui ***