ความเดิมตอนที่แล้ว -->
http://ppantip.com/topic/34108068
********************
หลังจากวุ่นวายกับการเช่ารถหลายชั่วโมง ในที่สุดก็ออกจากสนามบินซักที
วันนี้ผมตั้งใจจะไปชมพระอาทิตย์ตกที่วัดอูลูวาตู ซึ่งตั้งอยู่บนหน้าผาทางตอนใต้ของเกาะบาหลี โดยจะแวะที่เที่ยว ‘สวนพระวิษณุ’ (Garuda Wisantu Kentana Culture Park) ก่อน
เท่าที่ลองหาข้อมูลตามกระทู้ต่าง ๆ ผมพบว่าสวนพระวิษณุเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนไทยด่ากันมากที่สุด ประมาณว่าค่าเข้าแพงแต่ข้างในไม่ค่อยมีอะไร แต่เสียงก่นด่าเหล่านี้กลับกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นของผม คืออยากรู้ว่าที่เขาบอกว่ามันไม่มีอะไร แล้วมันไม่มีอะไรยังไง ก็เลยรู้สึกว่าเอาน่า แวะไปดูความไม่มีอะไรของมันหน่อยก็แล้วกัน
แต่ก่อนอื่นผมต้องแวะเติมน้ำมันให้ยานพาหนะคู่ใจของผมก่อน ผมแวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม Pertamina เป็นปั๊มน้ำมันสีแดงที่มีอยู่ทั่วไปในบาหลี
น้ำมันที่ผมต้องใช้คือ Premium ราคาลิตรละ 6,500 รูเปียห์หรือประมาณลิตรละ 18 บาท
ห้ะ!! ลิตรละ 18 บาท!!
น้ำมันบ้านกุนี่ผสมแก๊สโซฮอล์แล้วยังราคาลิตรละ 38 บาทเลย ไม่น่าเชื่อนะครับว่าราคาน้ำมันของสองประเทศมันจะแตกต่างกันเป็นเท่าตัวขนาดนี้ นี่ถ้าเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พี่ไทยจะเอาอะไรไปสู้เขาครับเนี่ย
3G ก็แพง น้ำมันก็แพง
มีก็แต่เงินเดือนกุนี่แหละ ถูกเชียว
หลังจากเติมน้ำมันจนเต็มถัง ‘สิริ’ ซึ่งเป็นชื่อที่ผมตั้งให้ Google Map (ผมรู้นะครับว่ามันเป็นคนละสิริกับที่อยู่ใน iPhone แต่อยากตั้งชื่อนี้) ก็ได้นำทางผมไปยังสวนพระวิษณุ
ค่าเข้าชมของที่นี่แพงสมคำร่ำลือจริง ๆ ครับ ค่าจอดรถ 10,000 รูเปียห์บวกกับค่าเช่าชมอีก 80,000 รูเปียห์ รวมเป็นเงินเกือบ 300 บาท
ผมจ่ายเงินออกไปด้วยท่าทางอ่อนแรง สามชั่วโมงมานี้เงินไหลออกจากกระเป๋าไปเป็นหมื่นแล้วมั้งเนี่ย
ผมสะพายกล้องเดินเข้าไปด้านใน สวนพระวิษณุเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ใหญ่มาก มีลักษณะแตกต่างจากสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ในบาหลีตรงที่มันถูกประดิษฐ์ขึ้นมาโดยมนุษย์ ในขณะที่สถานที่อื่น ๆ ธรรมชาติจะเป็นคนสร้างสรรค์ขึ้นมาซะส่วนใหญ่ สวนพระวิษณุยังมีพื้นที่ที่สามารถขยายออกไปได้อีกมากจนดูเหมือนว่าตอนนี้ยังสร้างไม่เสร็จด้วยซ้ำ
ทางเข้าสวนพระวิษณุ
บรรยากาศภายในสวนพระวิษณุ
ผมเดินตามนักเรียนสาว ๆ ที่มาทัศนศึกษา เข้าไปชมการแสดงนาฏศิลป์ของบาหลี น่าเป็นระบำอะไรซักอย่างซึ่งไม่ต้องถามผมนะว่ามันเรียกว่าอะไร ผมไม่รู้จริง ๆ รู้แต่ว่านักเรียนสาว ๆ ที่นี่ก็ขาวใช้ได้เหมือนกัน
ผมรู้สึกสะดุดตากับการแต่งกายของนักแสดง คือเขาจะใส่เสื้อสูง ๆ ทำให้ดูคอสั้นเหมือนน้องทรายตอนทำท่าคุณแม่ขอร้อง อย่างกะเหรี่ยงคอยาวบ้านเราจะเอาห่วงมาต่อเพื่อทำให้คอดูยาว แต่นักแสดงคนนี้พยายามใส่เสื้อสูง ๆ เพื่อให้คอดูสั้น ร่ายรำระบำไป ทำตาเหลือกไป ท่าทางเหมือนปลาดุกคอสั้นขาดออกซิเจน ผมว่ามันน่ากลัวมากกว่าน่าดูนะเนี่ย
ผมใช้เวลาประมาณ 1 นาทีครึ่งในการชมการแสดงชุดนี้ เรื่องนาฏศิลป์นี่ผมไม่อินจริง ๆ ครับ
เจอตอนกลางคืนนี่มีวิ่งอะ
ถึงแล้ว ตลาดน้ำขวัญเรียม ไม่ใช่!!
ผมใช้เวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงเดินเล่นในสวนพระวิษณุจนทั่ว นึกถึงเสียงก่นด่าของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อสถานที่แห่งนี้ คือมันก็น่าก่นด่าจริง ๆ แหละ ถึงสถานที่จะโอ่อ่าใหญ่โตแต่ข้างในไม่มีอะไรเลยครับ มีรูปปั้นพระวิษณุ (Wisanu) ขนาดใหญ่หนึ่งอัน มีรูปปั้นครุฑ (Garuda) ขนาดใหญ่อีกหนึ่งอัน มีก้อนหินที่ถูกตัดให้เป็นรูปเหลี่ยม ๆ อีกหลายอัน
อ่าห์ กุจ่ายเงินเกือบ 300 บาทเพื่อมาดูสิ่งเหล่านี้กับการแสดงตาเหลือกอีกนาทีครึ่งสินะ
ความประทับใจเดียวของผมที่มีต่อที่นี่คือน้อง ๆ ที่มาทัศนศึกษา อาจจะไม่ได้แจ่ม แจ่ แด่ม แจ่ม ว้าว เหมือนสาวไทยหรือสาวญี่ปุ่น แต่ก็มีขาว ๆ หมวย ๆ ให้เห็นอยู่เหมือนกัน
“Excuse me, can you take a picture for me?”
ผมเนียนเข้าไปขอให้สาวน้อยคนหนึ่งถ่ายรูปให้ เวลาผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ถือกล้องถ่ายรูปตัวใหญ่ก็ดูน่ารักดีเหมือนกันนะ
“One Two Three”
ผมเดินเข้าไปรับกล้องพร้อมกับกล่าวขอบคุณ
‘Excuse me, can you take a picture ‘with’ me?’
ผมได้แต่คิด แล้วเดินจากไป
รูปปั้นพระวิษณุ (Wisanu) ขนาดใหญ่หนึ่งอัน
รูปปั้นครุฑ (Garuda) ขนาดใหญ่อีกหนึ่งอัน
ก้อนหินที่ถูกตัดให้เป็นรูปเหลี่ยม ๆ อีกหลายอัน ครบละ สวนพระวิษณุ
สถานีต่อไป วัดอูลูวาตู
หากเปรียบเกาะบาหลีเป็นประเทศไทย ถ้าตำแหน่งของสนามบินงูระห์ไรอยู่บริเวณคอขวดแถวเพชรบุรี ตำแหน่งของวัดอูลูวาตูก็น่าจะอยู่แถวแหลมพรหมเทพ เกาะภูเก็ต
วัดอูลูวาตู (Pura Luhur Uluwatu) เป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในบาหลี ตัววัดตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันบริเวณตอนล่างของเกาะ เนื่องจากวัดนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ทำให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมาชมพระอาทิตย์ตกกันที่วัดนี้ ผมก็เป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่กลุ่มนั้น
ผมขับรถออกจากสวนพระวิษณุ ในใจยังนึกเสียดายเงินไม่หาย แต่ก็คงโทษใครไม่ได้ เขาบอกแล้วว่าไม่มีอะไรก็ยังอยากไปรู้อีกว่ามันไม่มีอะไรยังไง ถือซะว่าเงิน 300 บาทที่เสียไปนั้นเป็นค่าอยากรู้อยากเห็นก็แล้วกัน
ผมขับรถลงใต้มุ่งหน้าสู่วัดอูลูวาตู ถนนไปวัดอูลูวาตูค่อนข้างเล็กและแคบ (ที่จริงถนนที่บาหลีก็เล็กและแคบแทบทุกเส้นแหละครับ) มีขึ้นลงเนินบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ก็ถือว่าเดินทางไม่ยาก สองฝั่งถนนก็คึกคัก รับรองว่าไม่หลงทางแน่นอน
เส้นทางไปวัดอูลูวาตู
วัดอูลูวาตูเป็นหนึ่งในหลาย ๆ วัดในบาหลีที่ต้องนุ่งโสร่งหรือผูกผ้าคาดเอวเข้าไป ใครที่จะมาเที่ยวบาหลี แนะนำให้เอาผ้าติดตัวมาด้วยผืนหนึ่งครับ ใช้นุ่งแทนโสร่ง ผ้าผืนนี้ต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะห่มได้ตั้งแต่เอวถึงตาตุ่ม สีสันก็ควรสุภาพเรียบร้อยเหมาะกับการเที่ยววัด ไม่ใช่เขียว เหลือง แดง สกาวาไรตี้มาแต่ไกล ถ้าคุณติดผ้ามาด้วยคุณจะประหยัดค่าเช่าโสร่งตามวัดต่าง ๆ ได้หลายร้อยเลย
ผมจ่ายเงิน 20,000 รูเปียห์ ผูกผ้าคาดเอว และเริ่มต้นสำรวจวัดอูลูวาตู ซึ่งน่าจะเป็นวัดฮินดูวัดแรกที่ผมมีโอกาสได้ก้าวเข้ามา
วัดนี้ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงริมทะเล นักท่องเที่ยวสามารถเดินไปตามหน้าผาเพื่อชมทัศนียภาพของทะเลบาหลีได้ ผมพยายามเดินหาจุดที่น่าจะชมพระอาทิตย์ตกได้สวยงามที่สุด
สำหรับตัววัด ผมว่าวัดที่บาหลีไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจเท่าไร ไม่ได้วิจิตรงดงามหรืออลังการงานสร้างแบบวัดในพระพุทธศาสนา วัดที่นี่เขามีไว้เพื่อประกอบพิธีกรรมจริง ๆ ไม่ได้มีไว้มาเที่ยวเล่น บางพื้นที่ก็จะถูกกันไว้สำหรับชาวฮินดูเข้ามาประกอบพิธีกรรมเท่านั้น ผมว่าคนบาหลีเขาเคร่งครัดในศาสนามากเลยนะ สมกับได้ชื่อว่าเป็นเกาะแห่งเทพเจ้าจริง ๆ
ผมนั่งรอให้เย็นย่ำลงอีกนิด แสงแดดอ่อนแรงลงอีกหน่อย เพิ่งมาอยู่บาหลีไม่กี่ชั่วโมงแต่โดนแดดเผาจนตัวจะดำเป็นนิโกรอยู่แล้ว ผมนั่งมองนักท่องเที่ยวสาวชาวญี่ปุ่น นั่งมองลิงแย่งแว่นตาฝรั่ง อืม เพลินดีเหมือนกัน
พระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำ ผมเดินไปยังหน้าผาทางด้านขวาของวัดที่ผมเล็งไว้ว่าน่าจะเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่โอเคที่สุด
ที่หน้าผานั้น
ผมเห็นวัว
เฮ้ย!! วัว!! นี่เมิงมาอยู่ริมหน้าผาได้ไงเนี่ย!!
คือถ้าผมเจอละมั่งหรือเลียงผา มันก็ยังโอเค ภาพสัตว์กับ background ดูเข้ากัน คงไม่รู้สึกแปลกใจอะไร แต่นี่ภาพที่ผมเห็นคือวัวสามสี่ตัวกำลังแทะต้นไม้ใบหญ้ากันอย่างสนุกสนาน มีฉากหลังเป็นท้องทะเลและหน้าผาสูงชัน เคยเห็นแต่วัวในฟาร์มโชคชัย ไม่เคยเห็นวัวในอิริยาบถนี้มาก่อน
ข้าง ๆ ฝูงวัว เป็นชายหญิงกลุ่มหนึ่งใส่ชุดสีเหลืองกำลังนั่งสมาธิกันอยู่ ดูจากท่าทางแล้วน่าจะกำลังประกอบพิธีกรรมรับพลังจากธรรมชาติ ท้องทะเล หรืออะไรซักอย่าง (ที่ไม่น่าจะใช่วัว) แต่ละคนหลับตาพริ้ม หน้าตาเคลิ้มชวนฝัน นั่งซึมซับพลังงานกันอย่างขะมักเขม้นข้าง ๆ ฝูงวัวที่กำลังแทะต้นไม้กันอย่างเมามัน นอกจากวัวแล้วก็ยังมีลิงฝูงใหญ่ หยอกล้อแย่งชิงของนักท่องเที่ยวกันอย่างน่ารักน่าชัง
กุจะแกล้งใครดีน้า
ขอพลังจงสถิตอยู่กับท่าน
วัวผา?
ผมเดินไปตรงปลายสุดของหน้าผา ตรงนั้นมีคู่รักชาวอินโด ฯ หนึ่งคู่กับคู่รักชาวต่างชาติอีกหนึ่งคู่นั่งอยู่ ทั้งสี่คนหันมามองผม คงสงสัยว่าไอ้นี่มันมาทำอะไรในสถานที่โรแมนติกแบบนี้คนเดียว ผมนั่งมองพระอาทิตย์สีแดงค่อย ๆ คล้อยต่ำ ข้าง ๆ มีคู่รักนั่งเกาะกุมมือกัน บรรยากาศดีจนอยากชวนลิงตัวเมียแถวนั้นมานั่งเป็นเพื่อน
บรรยากาศโรแมนติก จนกระทั่งคู่รักชาวจีนคู่หนึ่งเดินมา
เท่านั้นแหละ บรรยากาศของวัดอูลูวาตูก็เปลี่ยนไปเป็นวัดเล่งเน่ยยี่ที่เยาวราชแทน คู่รักชาวจีนหยอกล้อกันเสียงดังมาก เสียงดังประหนึ่ง ‘อิม อชิตะ’ ตะโกนคุยกับ ‘ตั๊ก บริบูรณ์’
นี่เมิงนั่งอยู่ใกล้กันแค่นี้ เมิงจะตะโกนหาเตี่ยที่เซี่ยงไฮ้เรอะ!!
คู่รักชาวจีนเดินจากไป บรรยากาศกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง
พระอาทิตย์ดวงกลมโตสีแดงคล้อยต่ำจนถึงเส้นขอบฟ้า และค่อย ๆ จมลงสู่ใต้ผืนน้ำ วัดอูลูวาตูบนหน้าผาสูงชันมีฉากหลังเป็นผืนทะเลทอดไกลสุดสายตา ท้องฟ้าสีชมพู ลมพัดเย็น มีเสียงคลื่นกระทบฝั่งเป็นดนตรีประกอบ
‘หนึ่งในเกาะที่โรแมนติกที่สุดในโลก’ มันเป็นแบบนี้นี่เอง
“ไว้คราวหน้าเรามาด้วยกันนะ ^^”
ผมบอก
เออ กุบอกใครวะ
พระอาทิตย์ดวงกลมโตสีแดงคล้อยต่ำจนถึงเส้นขอบฟ้า และค่อย ๆ จมลงสู่ใต้ผืนน้ำ
วัดอูลูวาตู
To be continued
บาหลีไม่มีเธอ: คืนหลอนในบาหลี (ตอนที่ 7) -->
http://ppantip.com/topic/34109219
*** ติดตามเรื่องราวสนุก ๆ ได้ที่เพจ นายอุ๊ย!! นะครับ -->
https://www.facebook.com/lovenaioui ***
บาหลีไม่มีเธอ: วัดอูลูวาตู (ตอนที่ 6)
หลังจากวุ่นวายกับการเช่ารถหลายชั่วโมง ในที่สุดก็ออกจากสนามบินซักที
วันนี้ผมตั้งใจจะไปชมพระอาทิตย์ตกที่วัดอูลูวาตู ซึ่งตั้งอยู่บนหน้าผาทางตอนใต้ของเกาะบาหลี โดยจะแวะที่เที่ยว ‘สวนพระวิษณุ’ (Garuda Wisantu Kentana Culture Park) ก่อน
เท่าที่ลองหาข้อมูลตามกระทู้ต่าง ๆ ผมพบว่าสวนพระวิษณุเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนไทยด่ากันมากที่สุด ประมาณว่าค่าเข้าแพงแต่ข้างในไม่ค่อยมีอะไร แต่เสียงก่นด่าเหล่านี้กลับกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นของผม คืออยากรู้ว่าที่เขาบอกว่ามันไม่มีอะไร แล้วมันไม่มีอะไรยังไง ก็เลยรู้สึกว่าเอาน่า แวะไปดูความไม่มีอะไรของมันหน่อยก็แล้วกัน
แต่ก่อนอื่นผมต้องแวะเติมน้ำมันให้ยานพาหนะคู่ใจของผมก่อน ผมแวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม Pertamina เป็นปั๊มน้ำมันสีแดงที่มีอยู่ทั่วไปในบาหลี
น้ำมันที่ผมต้องใช้คือ Premium ราคาลิตรละ 6,500 รูเปียห์หรือประมาณลิตรละ 18 บาท
ห้ะ!! ลิตรละ 18 บาท!!
น้ำมันบ้านกุนี่ผสมแก๊สโซฮอล์แล้วยังราคาลิตรละ 38 บาทเลย ไม่น่าเชื่อนะครับว่าราคาน้ำมันของสองประเทศมันจะแตกต่างกันเป็นเท่าตัวขนาดนี้ นี่ถ้าเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พี่ไทยจะเอาอะไรไปสู้เขาครับเนี่ย
3G ก็แพง น้ำมันก็แพง
มีก็แต่เงินเดือนกุนี่แหละ ถูกเชียว
หลังจากเติมน้ำมันจนเต็มถัง ‘สิริ’ ซึ่งเป็นชื่อที่ผมตั้งให้ Google Map (ผมรู้นะครับว่ามันเป็นคนละสิริกับที่อยู่ใน iPhone แต่อยากตั้งชื่อนี้) ก็ได้นำทางผมไปยังสวนพระวิษณุ
ค่าเข้าชมของที่นี่แพงสมคำร่ำลือจริง ๆ ครับ ค่าจอดรถ 10,000 รูเปียห์บวกกับค่าเช่าชมอีก 80,000 รูเปียห์ รวมเป็นเงินเกือบ 300 บาท
ผมจ่ายเงินออกไปด้วยท่าทางอ่อนแรง สามชั่วโมงมานี้เงินไหลออกจากกระเป๋าไปเป็นหมื่นแล้วมั้งเนี่ย
ผมสะพายกล้องเดินเข้าไปด้านใน สวนพระวิษณุเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ใหญ่มาก มีลักษณะแตกต่างจากสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ในบาหลีตรงที่มันถูกประดิษฐ์ขึ้นมาโดยมนุษย์ ในขณะที่สถานที่อื่น ๆ ธรรมชาติจะเป็นคนสร้างสรรค์ขึ้นมาซะส่วนใหญ่ สวนพระวิษณุยังมีพื้นที่ที่สามารถขยายออกไปได้อีกมากจนดูเหมือนว่าตอนนี้ยังสร้างไม่เสร็จด้วยซ้ำ
ผมเดินตามนักเรียนสาว ๆ ที่มาทัศนศึกษา เข้าไปชมการแสดงนาฏศิลป์ของบาหลี น่าเป็นระบำอะไรซักอย่างซึ่งไม่ต้องถามผมนะว่ามันเรียกว่าอะไร ผมไม่รู้จริง ๆ รู้แต่ว่านักเรียนสาว ๆ ที่นี่ก็ขาวใช้ได้เหมือนกัน
ผมรู้สึกสะดุดตากับการแต่งกายของนักแสดง คือเขาจะใส่เสื้อสูง ๆ ทำให้ดูคอสั้นเหมือนน้องทรายตอนทำท่าคุณแม่ขอร้อง อย่างกะเหรี่ยงคอยาวบ้านเราจะเอาห่วงมาต่อเพื่อทำให้คอดูยาว แต่นักแสดงคนนี้พยายามใส่เสื้อสูง ๆ เพื่อให้คอดูสั้น ร่ายรำระบำไป ทำตาเหลือกไป ท่าทางเหมือนปลาดุกคอสั้นขาดออกซิเจน ผมว่ามันน่ากลัวมากกว่าน่าดูนะเนี่ย
ผมใช้เวลาประมาณ 1 นาทีครึ่งในการชมการแสดงชุดนี้ เรื่องนาฏศิลป์นี่ผมไม่อินจริง ๆ ครับ
ผมใช้เวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงเดินเล่นในสวนพระวิษณุจนทั่ว นึกถึงเสียงก่นด่าของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อสถานที่แห่งนี้ คือมันก็น่าก่นด่าจริง ๆ แหละ ถึงสถานที่จะโอ่อ่าใหญ่โตแต่ข้างในไม่มีอะไรเลยครับ มีรูปปั้นพระวิษณุ (Wisanu) ขนาดใหญ่หนึ่งอัน มีรูปปั้นครุฑ (Garuda) ขนาดใหญ่อีกหนึ่งอัน มีก้อนหินที่ถูกตัดให้เป็นรูปเหลี่ยม ๆ อีกหลายอัน
อ่าห์ กุจ่ายเงินเกือบ 300 บาทเพื่อมาดูสิ่งเหล่านี้กับการแสดงตาเหลือกอีกนาทีครึ่งสินะ
ความประทับใจเดียวของผมที่มีต่อที่นี่คือน้อง ๆ ที่มาทัศนศึกษา อาจจะไม่ได้แจ่ม แจ่ แด่ม แจ่ม ว้าว เหมือนสาวไทยหรือสาวญี่ปุ่น แต่ก็มีขาว ๆ หมวย ๆ ให้เห็นอยู่เหมือนกัน
“Excuse me, can you take a picture for me?”
ผมเนียนเข้าไปขอให้สาวน้อยคนหนึ่งถ่ายรูปให้ เวลาผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ถือกล้องถ่ายรูปตัวใหญ่ก็ดูน่ารักดีเหมือนกันนะ
“One Two Three”
ผมเดินเข้าไปรับกล้องพร้อมกับกล่าวขอบคุณ
‘Excuse me, can you take a picture ‘with’ me?’
ผมได้แต่คิด แล้วเดินจากไป
สถานีต่อไป วัดอูลูวาตู
หากเปรียบเกาะบาหลีเป็นประเทศไทย ถ้าตำแหน่งของสนามบินงูระห์ไรอยู่บริเวณคอขวดแถวเพชรบุรี ตำแหน่งของวัดอูลูวาตูก็น่าจะอยู่แถวแหลมพรหมเทพ เกาะภูเก็ต
วัดอูลูวาตู (Pura Luhur Uluwatu) เป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในบาหลี ตัววัดตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันบริเวณตอนล่างของเกาะ เนื่องจากวัดนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ทำให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมาชมพระอาทิตย์ตกกันที่วัดนี้ ผมก็เป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่กลุ่มนั้น
ผมขับรถออกจากสวนพระวิษณุ ในใจยังนึกเสียดายเงินไม่หาย แต่ก็คงโทษใครไม่ได้ เขาบอกแล้วว่าไม่มีอะไรก็ยังอยากไปรู้อีกว่ามันไม่มีอะไรยังไง ถือซะว่าเงิน 300 บาทที่เสียไปนั้นเป็นค่าอยากรู้อยากเห็นก็แล้วกัน
ผมขับรถลงใต้มุ่งหน้าสู่วัดอูลูวาตู ถนนไปวัดอูลูวาตูค่อนข้างเล็กและแคบ (ที่จริงถนนที่บาหลีก็เล็กและแคบแทบทุกเส้นแหละครับ) มีขึ้นลงเนินบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ก็ถือว่าเดินทางไม่ยาก สองฝั่งถนนก็คึกคัก รับรองว่าไม่หลงทางแน่นอน
วัดอูลูวาตูเป็นหนึ่งในหลาย ๆ วัดในบาหลีที่ต้องนุ่งโสร่งหรือผูกผ้าคาดเอวเข้าไป ใครที่จะมาเที่ยวบาหลี แนะนำให้เอาผ้าติดตัวมาด้วยผืนหนึ่งครับ ใช้นุ่งแทนโสร่ง ผ้าผืนนี้ต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะห่มได้ตั้งแต่เอวถึงตาตุ่ม สีสันก็ควรสุภาพเรียบร้อยเหมาะกับการเที่ยววัด ไม่ใช่เขียว เหลือง แดง สกาวาไรตี้มาแต่ไกล ถ้าคุณติดผ้ามาด้วยคุณจะประหยัดค่าเช่าโสร่งตามวัดต่าง ๆ ได้หลายร้อยเลย
ผมจ่ายเงิน 20,000 รูเปียห์ ผูกผ้าคาดเอว และเริ่มต้นสำรวจวัดอูลูวาตู ซึ่งน่าจะเป็นวัดฮินดูวัดแรกที่ผมมีโอกาสได้ก้าวเข้ามา
วัดนี้ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงริมทะเล นักท่องเที่ยวสามารถเดินไปตามหน้าผาเพื่อชมทัศนียภาพของทะเลบาหลีได้ ผมพยายามเดินหาจุดที่น่าจะชมพระอาทิตย์ตกได้สวยงามที่สุด
สำหรับตัววัด ผมว่าวัดที่บาหลีไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจเท่าไร ไม่ได้วิจิตรงดงามหรืออลังการงานสร้างแบบวัดในพระพุทธศาสนา วัดที่นี่เขามีไว้เพื่อประกอบพิธีกรรมจริง ๆ ไม่ได้มีไว้มาเที่ยวเล่น บางพื้นที่ก็จะถูกกันไว้สำหรับชาวฮินดูเข้ามาประกอบพิธีกรรมเท่านั้น ผมว่าคนบาหลีเขาเคร่งครัดในศาสนามากเลยนะ สมกับได้ชื่อว่าเป็นเกาะแห่งเทพเจ้าจริง ๆ
ผมนั่งรอให้เย็นย่ำลงอีกนิด แสงแดดอ่อนแรงลงอีกหน่อย เพิ่งมาอยู่บาหลีไม่กี่ชั่วโมงแต่โดนแดดเผาจนตัวจะดำเป็นนิโกรอยู่แล้ว ผมนั่งมองนักท่องเที่ยวสาวชาวญี่ปุ่น นั่งมองลิงแย่งแว่นตาฝรั่ง อืม เพลินดีเหมือนกัน
พระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำ ผมเดินไปยังหน้าผาทางด้านขวาของวัดที่ผมเล็งไว้ว่าน่าจะเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่โอเคที่สุด
ที่หน้าผานั้น
ผมเห็นวัว
เฮ้ย!! วัว!! นี่เมิงมาอยู่ริมหน้าผาได้ไงเนี่ย!!
คือถ้าผมเจอละมั่งหรือเลียงผา มันก็ยังโอเค ภาพสัตว์กับ background ดูเข้ากัน คงไม่รู้สึกแปลกใจอะไร แต่นี่ภาพที่ผมเห็นคือวัวสามสี่ตัวกำลังแทะต้นไม้ใบหญ้ากันอย่างสนุกสนาน มีฉากหลังเป็นท้องทะเลและหน้าผาสูงชัน เคยเห็นแต่วัวในฟาร์มโชคชัย ไม่เคยเห็นวัวในอิริยาบถนี้มาก่อน
ข้าง ๆ ฝูงวัว เป็นชายหญิงกลุ่มหนึ่งใส่ชุดสีเหลืองกำลังนั่งสมาธิกันอยู่ ดูจากท่าทางแล้วน่าจะกำลังประกอบพิธีกรรมรับพลังจากธรรมชาติ ท้องทะเล หรืออะไรซักอย่าง (ที่ไม่น่าจะใช่วัว) แต่ละคนหลับตาพริ้ม หน้าตาเคลิ้มชวนฝัน นั่งซึมซับพลังงานกันอย่างขะมักเขม้นข้าง ๆ ฝูงวัวที่กำลังแทะต้นไม้กันอย่างเมามัน นอกจากวัวแล้วก็ยังมีลิงฝูงใหญ่ หยอกล้อแย่งชิงของนักท่องเที่ยวกันอย่างน่ารักน่าชัง
ผมเดินไปตรงปลายสุดของหน้าผา ตรงนั้นมีคู่รักชาวอินโด ฯ หนึ่งคู่กับคู่รักชาวต่างชาติอีกหนึ่งคู่นั่งอยู่ ทั้งสี่คนหันมามองผม คงสงสัยว่าไอ้นี่มันมาทำอะไรในสถานที่โรแมนติกแบบนี้คนเดียว ผมนั่งมองพระอาทิตย์สีแดงค่อย ๆ คล้อยต่ำ ข้าง ๆ มีคู่รักนั่งเกาะกุมมือกัน บรรยากาศดีจนอยากชวนลิงตัวเมียแถวนั้นมานั่งเป็นเพื่อน
บรรยากาศโรแมนติก จนกระทั่งคู่รักชาวจีนคู่หนึ่งเดินมา
เท่านั้นแหละ บรรยากาศของวัดอูลูวาตูก็เปลี่ยนไปเป็นวัดเล่งเน่ยยี่ที่เยาวราชแทน คู่รักชาวจีนหยอกล้อกันเสียงดังมาก เสียงดังประหนึ่ง ‘อิม อชิตะ’ ตะโกนคุยกับ ‘ตั๊ก บริบูรณ์’
นี่เมิงนั่งอยู่ใกล้กันแค่นี้ เมิงจะตะโกนหาเตี่ยที่เซี่ยงไฮ้เรอะ!!
คู่รักชาวจีนเดินจากไป บรรยากาศกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง
พระอาทิตย์ดวงกลมโตสีแดงคล้อยต่ำจนถึงเส้นขอบฟ้า และค่อย ๆ จมลงสู่ใต้ผืนน้ำ วัดอูลูวาตูบนหน้าผาสูงชันมีฉากหลังเป็นผืนทะเลทอดไกลสุดสายตา ท้องฟ้าสีชมพู ลมพัดเย็น มีเสียงคลื่นกระทบฝั่งเป็นดนตรีประกอบ
‘หนึ่งในเกาะที่โรแมนติกที่สุดในโลก’ มันเป็นแบบนี้นี่เอง
“ไว้คราวหน้าเรามาด้วยกันนะ ^^”
ผมบอก
เออ กุบอกใครวะ
To be continued
บาหลีไม่มีเธอ: คืนหลอนในบาหลี (ตอนที่ 7) --> http://ppantip.com/topic/34109219
*** ติดตามเรื่องราวสนุก ๆ ได้ที่เพจ นายอุ๊ย!! นะครับ --> https://www.facebook.com/lovenaioui ***