ไม่คิดว่าจะต้องมาเล่าปัญหาตัวเองให้กับสังคมฟังเลย แต่ก็เครียดและแก้ไม่ตกมาเป็นเดือนแล้ว ขอบอกเลยว่า ร้องไห้หนักมากจริงๆ กับปัญหาที่จะเล่าต่อไปนี้
เราเองเป็นคนต่างจังหวัด เกิดต่างจังหวัด เรียนจบ ป.6 ก็เข้ากรุงเทพฯ มาตั้งแต่นั้นจนมีครอบครัว กลับต่างจังหวัดบ่อยครั้ง หาพ่อแม่พี่น้อง กระทั่งเมื่อ 6-7 ปีก่อนแม่ก็เสีย และทิ้งมรดกที่ดินไว้มากมายให้กับลูกๆ (พ่อชิงเสียชีวิตไปก่อนตอนเราเพิ่งจำความได้ ส่วนพี่อีกคนก็เสียไปเมื่อเราอยู่ ม.2) สรุปครอบครัวเราเหลือกันแค่ 5 คน มรดกที่มีถูกแบ่งออกเป็น 2 กอง กองแรกแบ่งให้ลูกเท่ากัน (5 ส่วน) ก็คิดว่ากินใช้อย่างปกติก็ไม่หมดในชาตินี้แน่นอน ส่วนกอง 2 ไม่ทันได้แบ่ง (เพราะแบ่งยาก ที่ดินผืนใหญ่มากและแม่ก็เสียไปก่อน) เลยต้องตั้งผู้จัดการมรดก
การตั้งผู้จัดการมรดกควรเริ่มตั้งแต่แม่เสียเมื่อ 6-7 ปีก่อน แต่สุดท้ายด้วยการละเลยของพี่ๆ ทำให้มรดกกองที่ 2 ก็ยังคาราคาซังไม่สามารถจะมีใครเข้าไปจัดการได้ เพราะคนนึงเข้าไปอีกคนต้องแย้งแล้วก็เกิดการแย่งกันระหว่างพี่น้อง ทะเลาะเบาะแว้งกันมาตลอด เนื่องจากพี่บางคนร้อนเงินอยากขายถูก แต่อีกคนไม่ได้เดือดร้อนก็ยื้อ ยื้อกันไปยื้อกันมาจนเวลาผ่านล่วงเลยไป 6-7 ปี
ระหว่างนั้น พี่คนนึงทนรำคาญไม่ได้ ไม่อยากมีเรื่องทะเลาะ ก็ชิงขายทรัพย์ของตัวเองแล้วหนีไปอยู่อีกแห่ง ส่วนคนที่เหลือก็มีขายทรัพย์ให้กับพี่น้องคนอื่นเอาเงินไปใช้จ่าย บางคนก็เก็บเอาไว้ทำมาหากินต่อ เราก็เช่นกัน เพราะคิดว่านี่เป็นมรดกพ่อแม่ ไม่ควรขายกินแต่เอาไปทำประโยชน์ให้ตกทอดไปถึงลูกหลานจะดีกว่า
ปัญหาคือแต่ละคนไม่มีเงินสด มีแต่ทรัพย์ที่ดิน จึงต้องกัดฟันทำงานหาเงิน ประกอบอาชีพเลี้ยงตัวกันไป จนกว่ามรดกกองที่ 2 จะตกลงกันได้ ระหว่างนี้คนที่ไม่มีเงินพอใช้ก็จะมาจี้ๆ ให้ขาย ก็ยื้อไปยื้อมา ระหว่างคนมีและคนไม่มีเพื่อจะได้ราคาสมเหตุผล
ต่อมาพี่คนที่ชิงขายมรดกตัวเองไปเดือดร้อนเงินหนัก ส่วนมรดกกองที่ 2 ก็ตกลงกันไม่ได้ หันไปหาใครก็ไม่มีที่พึ่ง เราเลยตัดสินใจตัดแบ่งมรดกที่จะเก็บไว้ให้ลูกนำไปขายเอาเงินไปช่วยพี่คนนี้ เงินส่วนหนึ่งก็นำมาประกอบอาชีพต่อไป ส่วนพี่คนอื่นก็ดูท่าว่าจะไม่มาวุ่นวายกับมรดกกองที่ 2 นี้อีกเพราะยังพอมีเงินทุน แต่ก็พยายามหาข้อสรุปถ้าขายได้ราคาดี ก็ค่อยมาตกลงกันทุกคนอีกทีว่าจะขายหรือไม่ขาย เป็นอยู่อย่างนี้ตลอด พอใครเงินหมดก็มาจี้ พอมีก็หายไป ตกลงกันไม่ได้เรื่องราคา
บางครั้ง สรุปราคาได้แล้วพอจะขาย อีกคนก็ไม่ยอมอีก จึงต้องไปจบกันในศาล ขอตั้งผู้จัดการมรดก เราอยู่กรุงเทพฯ ต้องการจัดการเองเพราะไม่ไว้ใจพี่ๆ จึงหมดค่าใช้จ่ายไปเยอะในการวิ่งไปวิ่งมากรุงเทพฯ ต่างจังหวัด จน 3-4 เดือนกว่าจะจัดการได้ สรุปเราและพี่อีกคนได้เป็นผู้จัดการร่วมกัน มีสิทธิ์ในการจัดการมรดกกองที่ 2 นี้ทั้งหมด เราก็ดำเนินการหาผู้ซื้อ สรุปราคาตกลงกันกับพี่ๆ เรียบร้อยเป็นเอกฉันท์ เรื่องทะเลาะจึงจบไปด้วยดี ที่เหลือก็แค่หาผู้ซื้อ
พอมาช่วงนี้ พี่คนที่เราให้เงินช่วยไป (คนเดียวกับคนที่ขายมรดกไปคนแรก) ผิดพลาดเรื่องบริหารเงิน ลงทุนไปเจ๊งและเป็นหนี้ สรุปไม่มีทรัพย์เหลือแล้ว กำลังจะถูกฟ้อง ขอให้เราช่วยขายมรดกกองที่ 2 ไปในราคาถูกๆ ทีนี้เราเคยตกลงกับพี่คนอื่นๆ และพี่คนที่เป็นผู้จัดการร่วมไปว่าตั้งไว้ในราคานี้ แต่พอเจอแบบนี้เราทำตัวไม่ถูก แถมคนที่จะซื้อ รู้ข่าวว่าพี่เราร้อนเงิน ก็มากดราคาซื้อลงไปอีก
เราเข้าใจว่าทุกคนร้อนเงิน เราก็ต้องการเงิน
- ในตอนที่พี่คนแรกร้อนเงิน (คนที่เป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับเรา) ขอขายราคาต่ำ (ราคาปัจจุบันที่ถูกลดจากผู้ซื้อ) คนอื่นก็คัดค้าน พี่แกก็ยอมแล้วก็เอาทรัพย์สินตัวเองไปจำนองจัดการปัญหาส่วนตัวไปได้ แต่ก็มาจี้เรื่องขายมรดกอยู่บ่อยๆ
- พี่คนรอง ป่วยกระเสาะกระแสะ ไม่มีเงินรักษาตัว ต้องเข้าโรง'บาลทุกเดือน ก็ขอให้ขายมรดกก้อนนี้ ได้เท่าไหร่ก็เอาเพราะจะเอาเงินมารักษาตัว แต่ไม่มีคนซื้อ หรือตกลงราคากันไม่ได้ ยื้อกันไปมา สรุปพี่คนนี้ก็กู้หนี้ยืมสิน ดีที่ลูกๆ ทำมาหากินได้แล้ว พอได้ค่ายาค่าหมอจัดการปัญหาส่วนตัวไปได้ รอขายมรดกที่ตัวเองได้รับแต่ก็ยังไม่มีคนซื้อ แล้วก็รอว่าเมื่อไหร่มรดกกองรวม จะขายได้ซักที
- พี่คนรองลงมา ทำธุรกิจไม่มีเงินหมุนเวียน ก็ต้องทำโน่นทำนี่หาเงินเข้าเพื่อให้ธุรกิจตัวเองอยู่ได้ ก็เดือดร้อนกันถ้วนหน้า แกไม่มีลูกมีแต่เมีย รายจ่ายเลยไม่ค่อยมากพอรับกับรายได้บ้าง จัดการปัญหาส่วนตัวไปได้ รอขายมรดกตัวเอง แต่ก็ขายไม่ได้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้แกก็ขอให้ขายไปถูกๆ แต่ถูกเราค้านก่อน เนื่องจากเห็นว่าแกจะซื้อไว้เองแล้วเอาไปขายต่อแพงๆ เราไม่ไว้ใจ
- พี่คนต่อมา เล่นขายทรัพย์หนีไปไม่บอก แล้วเอาเงินไปบริหารจัดการผิดพลาด แล้วก็ไม่มีทรัพย์เหลือ ก็เลยเครียด ร้องขอแต่ให้ขายเร็วๆ เพราะไม่ไหวแล้ว
- ส่วนเราเอง มีทรัพย์จากการตัดแบ่งมรดกไปขายเพื่อช่วยพี่คนต่อมาและเหลือบ้างนิดหน่อย และก็ต้องประกอบอาชีพ มีภาระมากพอๆ กัน
ถ้าถามว่าภาระใครมากกว่ากัน พี่ๆ ทุกคนมีลูกๆ โตกันหมดแล้ว อายุ 30+ มีพี่คนต่อมานี่แหละที่มีลูก 3 คน 2 คนแรกวัยทำงานแล้ว คนเล็กเข้ามัธยม ส่วนเรามี 2 คน อยู่อนุบาลกับประถม แถมอยู่ในกรุงเทพอีก ตอนแรกเราคิดว่าพี่คนรองลงมา จะเป็นปัญหาทำให้มรดกกองนี้ถูกปู้ยี่ปู้ยำ แต่เปล่าเลย เพราะตั้งแต่เราได้สิทธิ์ผู้จัดการมรดก แกก็ไม่เข้ามายุ่มย่ามอีก ผิดกับพี่คนต่อมา ที่เราไว้ใจ กลับกลายเป็นพี่คนนี้ ที่เป็นปัญหา
ปัญหานี้เหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่ายสำหรับเรา เราเองในฐานะผู้จัดการมรดกร่วม (ก่อนจะได้มาเป็นนี่หมดไปเยอะ เพราะความไม่โปร่งใสของพี่ๆ เราต้องหาทนายจัดการ ขึ้นลงกรุงเทพต่างจังหวัดเป็นว่าเล่น หมดไปหลาย กว่าจะเสร็จเรื่อง 3-4 เดือน ขึ้นศาลมา 3 รอบ ทั้งหมดค่าใช้จ่ายเราออกเองหมด) ก็อยากจะจัดการมรดกของพ่อแม่ให้มันได้ครบกันทุกคน และมีทุนไปจัดการปัญหาชีวิตให้ดีที่สุด แต่หากเอามาขายทิ้งขายขว้าง ได้เพียงเศษเงินมันก็ไม่น่าจะถูกต้อง
มันยุติธรรมกับเราไหม
ถ้าเราตัดปัญหาขายที่มรดกของพ่อแม่แบบถูกๆ เอาเงินไปแบ่งกันให้ครบๆ แล้วทางใครทางมัน เราก็ไม่ต้องร้องไห้หนักแบบนี้ แต่เพราะเรารักแม่มาก อยากให้พี่น้องรักกันเหมือนเดิม แต่คงเอาเวลานั้นกลับมาไม่ได้แล้ว เชื่อแน่ว่าหากทุกคนได้ทรัพย์ในกองมรดกกองนี้ไปก็ตัวใครตัวมันแน่นอน ห่วงแต่หลานๆ ที่หลายคนเราเลี้ยงมากับมือ โตมาด้วยกัน
หรือเราจะยื้อต่อไปเพื่อให้ได้คนที่ต้องการจริงๆ ในราคาสมเหตุสมผลกับที่ดินผืนนี้ แต่ไม่รู้เวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ ปัญหาส่วนตัวของพี่ๆ แต่ละคนมันทำให้ความกดดันเกิดกับเราสูงมาก (ที่ 6 ล้าน ถูกลดราคาลงมาเหลือ 4 ปัจจุบันเหลือ 3 แล้ว มันเหมาะสมไหมกับความเดือดร้อนของคนๆ เดียวแต่ทำให้คนอื่นไม่ได้สิทธิ์ไปด้วย //ราคาสมมติ)
อยากจะให้มองว่า ถ้าพี่น้องได้รับส่วนแบ่งเท่ากันแล้ว แล้วเค้าใช้มันหมดโดยตั้งใจ แล้วเรายังช่วยเหลือ เราดีเกินไปไหม แต่ถ้าเราไม่ช่วย แล้วให้เค้าจัดการปัญหาเอง หลานๆ ก็คงต้องลำบากอีก มองหน้าเราแล้วทำตาปริบๆ หาว่าเราไม่ช่วยเหลือ เราไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
ช่วยหาทางออกให้เราหน่อยเถอะ
ความรับผิดชอบ มรดก และพี่น้อง ร้องไห้หนักมาก
เราเองเป็นคนต่างจังหวัด เกิดต่างจังหวัด เรียนจบ ป.6 ก็เข้ากรุงเทพฯ มาตั้งแต่นั้นจนมีครอบครัว กลับต่างจังหวัดบ่อยครั้ง หาพ่อแม่พี่น้อง กระทั่งเมื่อ 6-7 ปีก่อนแม่ก็เสีย และทิ้งมรดกที่ดินไว้มากมายให้กับลูกๆ (พ่อชิงเสียชีวิตไปก่อนตอนเราเพิ่งจำความได้ ส่วนพี่อีกคนก็เสียไปเมื่อเราอยู่ ม.2) สรุปครอบครัวเราเหลือกันแค่ 5 คน มรดกที่มีถูกแบ่งออกเป็น 2 กอง กองแรกแบ่งให้ลูกเท่ากัน (5 ส่วน) ก็คิดว่ากินใช้อย่างปกติก็ไม่หมดในชาตินี้แน่นอน ส่วนกอง 2 ไม่ทันได้แบ่ง (เพราะแบ่งยาก ที่ดินผืนใหญ่มากและแม่ก็เสียไปก่อน) เลยต้องตั้งผู้จัดการมรดก
การตั้งผู้จัดการมรดกควรเริ่มตั้งแต่แม่เสียเมื่อ 6-7 ปีก่อน แต่สุดท้ายด้วยการละเลยของพี่ๆ ทำให้มรดกกองที่ 2 ก็ยังคาราคาซังไม่สามารถจะมีใครเข้าไปจัดการได้ เพราะคนนึงเข้าไปอีกคนต้องแย้งแล้วก็เกิดการแย่งกันระหว่างพี่น้อง ทะเลาะเบาะแว้งกันมาตลอด เนื่องจากพี่บางคนร้อนเงินอยากขายถูก แต่อีกคนไม่ได้เดือดร้อนก็ยื้อ ยื้อกันไปยื้อกันมาจนเวลาผ่านล่วงเลยไป 6-7 ปี
ระหว่างนั้น พี่คนนึงทนรำคาญไม่ได้ ไม่อยากมีเรื่องทะเลาะ ก็ชิงขายทรัพย์ของตัวเองแล้วหนีไปอยู่อีกแห่ง ส่วนคนที่เหลือก็มีขายทรัพย์ให้กับพี่น้องคนอื่นเอาเงินไปใช้จ่าย บางคนก็เก็บเอาไว้ทำมาหากินต่อ เราก็เช่นกัน เพราะคิดว่านี่เป็นมรดกพ่อแม่ ไม่ควรขายกินแต่เอาไปทำประโยชน์ให้ตกทอดไปถึงลูกหลานจะดีกว่า
ปัญหาคือแต่ละคนไม่มีเงินสด มีแต่ทรัพย์ที่ดิน จึงต้องกัดฟันทำงานหาเงิน ประกอบอาชีพเลี้ยงตัวกันไป จนกว่ามรดกกองที่ 2 จะตกลงกันได้ ระหว่างนี้คนที่ไม่มีเงินพอใช้ก็จะมาจี้ๆ ให้ขาย ก็ยื้อไปยื้อมา ระหว่างคนมีและคนไม่มีเพื่อจะได้ราคาสมเหตุผล
ต่อมาพี่คนที่ชิงขายมรดกตัวเองไปเดือดร้อนเงินหนัก ส่วนมรดกกองที่ 2 ก็ตกลงกันไม่ได้ หันไปหาใครก็ไม่มีที่พึ่ง เราเลยตัดสินใจตัดแบ่งมรดกที่จะเก็บไว้ให้ลูกนำไปขายเอาเงินไปช่วยพี่คนนี้ เงินส่วนหนึ่งก็นำมาประกอบอาชีพต่อไป ส่วนพี่คนอื่นก็ดูท่าว่าจะไม่มาวุ่นวายกับมรดกกองที่ 2 นี้อีกเพราะยังพอมีเงินทุน แต่ก็พยายามหาข้อสรุปถ้าขายได้ราคาดี ก็ค่อยมาตกลงกันทุกคนอีกทีว่าจะขายหรือไม่ขาย เป็นอยู่อย่างนี้ตลอด พอใครเงินหมดก็มาจี้ พอมีก็หายไป ตกลงกันไม่ได้เรื่องราคา
บางครั้ง สรุปราคาได้แล้วพอจะขาย อีกคนก็ไม่ยอมอีก จึงต้องไปจบกันในศาล ขอตั้งผู้จัดการมรดก เราอยู่กรุงเทพฯ ต้องการจัดการเองเพราะไม่ไว้ใจพี่ๆ จึงหมดค่าใช้จ่ายไปเยอะในการวิ่งไปวิ่งมากรุงเทพฯ ต่างจังหวัด จน 3-4 เดือนกว่าจะจัดการได้ สรุปเราและพี่อีกคนได้เป็นผู้จัดการร่วมกัน มีสิทธิ์ในการจัดการมรดกกองที่ 2 นี้ทั้งหมด เราก็ดำเนินการหาผู้ซื้อ สรุปราคาตกลงกันกับพี่ๆ เรียบร้อยเป็นเอกฉันท์ เรื่องทะเลาะจึงจบไปด้วยดี ที่เหลือก็แค่หาผู้ซื้อ
พอมาช่วงนี้ พี่คนที่เราให้เงินช่วยไป (คนเดียวกับคนที่ขายมรดกไปคนแรก) ผิดพลาดเรื่องบริหารเงิน ลงทุนไปเจ๊งและเป็นหนี้ สรุปไม่มีทรัพย์เหลือแล้ว กำลังจะถูกฟ้อง ขอให้เราช่วยขายมรดกกองที่ 2 ไปในราคาถูกๆ ทีนี้เราเคยตกลงกับพี่คนอื่นๆ และพี่คนที่เป็นผู้จัดการร่วมไปว่าตั้งไว้ในราคานี้ แต่พอเจอแบบนี้เราทำตัวไม่ถูก แถมคนที่จะซื้อ รู้ข่าวว่าพี่เราร้อนเงิน ก็มากดราคาซื้อลงไปอีก
เราเข้าใจว่าทุกคนร้อนเงิน เราก็ต้องการเงิน
- ในตอนที่พี่คนแรกร้อนเงิน (คนที่เป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับเรา) ขอขายราคาต่ำ (ราคาปัจจุบันที่ถูกลดจากผู้ซื้อ) คนอื่นก็คัดค้าน พี่แกก็ยอมแล้วก็เอาทรัพย์สินตัวเองไปจำนองจัดการปัญหาส่วนตัวไปได้ แต่ก็มาจี้เรื่องขายมรดกอยู่บ่อยๆ
- พี่คนรอง ป่วยกระเสาะกระแสะ ไม่มีเงินรักษาตัว ต้องเข้าโรง'บาลทุกเดือน ก็ขอให้ขายมรดกก้อนนี้ ได้เท่าไหร่ก็เอาเพราะจะเอาเงินมารักษาตัว แต่ไม่มีคนซื้อ หรือตกลงราคากันไม่ได้ ยื้อกันไปมา สรุปพี่คนนี้ก็กู้หนี้ยืมสิน ดีที่ลูกๆ ทำมาหากินได้แล้ว พอได้ค่ายาค่าหมอจัดการปัญหาส่วนตัวไปได้ รอขายมรดกที่ตัวเองได้รับแต่ก็ยังไม่มีคนซื้อ แล้วก็รอว่าเมื่อไหร่มรดกกองรวม จะขายได้ซักที
- พี่คนรองลงมา ทำธุรกิจไม่มีเงินหมุนเวียน ก็ต้องทำโน่นทำนี่หาเงินเข้าเพื่อให้ธุรกิจตัวเองอยู่ได้ ก็เดือดร้อนกันถ้วนหน้า แกไม่มีลูกมีแต่เมีย รายจ่ายเลยไม่ค่อยมากพอรับกับรายได้บ้าง จัดการปัญหาส่วนตัวไปได้ รอขายมรดกตัวเอง แต่ก็ขายไม่ได้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้แกก็ขอให้ขายไปถูกๆ แต่ถูกเราค้านก่อน เนื่องจากเห็นว่าแกจะซื้อไว้เองแล้วเอาไปขายต่อแพงๆ เราไม่ไว้ใจ
- พี่คนต่อมา เล่นขายทรัพย์หนีไปไม่บอก แล้วเอาเงินไปบริหารจัดการผิดพลาด แล้วก็ไม่มีทรัพย์เหลือ ก็เลยเครียด ร้องขอแต่ให้ขายเร็วๆ เพราะไม่ไหวแล้ว
- ส่วนเราเอง มีทรัพย์จากการตัดแบ่งมรดกไปขายเพื่อช่วยพี่คนต่อมาและเหลือบ้างนิดหน่อย และก็ต้องประกอบอาชีพ มีภาระมากพอๆ กัน
ถ้าถามว่าภาระใครมากกว่ากัน พี่ๆ ทุกคนมีลูกๆ โตกันหมดแล้ว อายุ 30+ มีพี่คนต่อมานี่แหละที่มีลูก 3 คน 2 คนแรกวัยทำงานแล้ว คนเล็กเข้ามัธยม ส่วนเรามี 2 คน อยู่อนุบาลกับประถม แถมอยู่ในกรุงเทพอีก ตอนแรกเราคิดว่าพี่คนรองลงมา จะเป็นปัญหาทำให้มรดกกองนี้ถูกปู้ยี่ปู้ยำ แต่เปล่าเลย เพราะตั้งแต่เราได้สิทธิ์ผู้จัดการมรดก แกก็ไม่เข้ามายุ่มย่ามอีก ผิดกับพี่คนต่อมา ที่เราไว้ใจ กลับกลายเป็นพี่คนนี้ ที่เป็นปัญหา
ปัญหานี้เหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่ายสำหรับเรา เราเองในฐานะผู้จัดการมรดกร่วม (ก่อนจะได้มาเป็นนี่หมดไปเยอะ เพราะความไม่โปร่งใสของพี่ๆ เราต้องหาทนายจัดการ ขึ้นลงกรุงเทพต่างจังหวัดเป็นว่าเล่น หมดไปหลาย กว่าจะเสร็จเรื่อง 3-4 เดือน ขึ้นศาลมา 3 รอบ ทั้งหมดค่าใช้จ่ายเราออกเองหมด) ก็อยากจะจัดการมรดกของพ่อแม่ให้มันได้ครบกันทุกคน และมีทุนไปจัดการปัญหาชีวิตให้ดีที่สุด แต่หากเอามาขายทิ้งขายขว้าง ได้เพียงเศษเงินมันก็ไม่น่าจะถูกต้อง
มันยุติธรรมกับเราไหม
ถ้าเราตัดปัญหาขายที่มรดกของพ่อแม่แบบถูกๆ เอาเงินไปแบ่งกันให้ครบๆ แล้วทางใครทางมัน เราก็ไม่ต้องร้องไห้หนักแบบนี้ แต่เพราะเรารักแม่มาก อยากให้พี่น้องรักกันเหมือนเดิม แต่คงเอาเวลานั้นกลับมาไม่ได้แล้ว เชื่อแน่ว่าหากทุกคนได้ทรัพย์ในกองมรดกกองนี้ไปก็ตัวใครตัวมันแน่นอน ห่วงแต่หลานๆ ที่หลายคนเราเลี้ยงมากับมือ โตมาด้วยกัน
หรือเราจะยื้อต่อไปเพื่อให้ได้คนที่ต้องการจริงๆ ในราคาสมเหตุสมผลกับที่ดินผืนนี้ แต่ไม่รู้เวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ ปัญหาส่วนตัวของพี่ๆ แต่ละคนมันทำให้ความกดดันเกิดกับเราสูงมาก (ที่ 6 ล้าน ถูกลดราคาลงมาเหลือ 4 ปัจจุบันเหลือ 3 แล้ว มันเหมาะสมไหมกับความเดือดร้อนของคนๆ เดียวแต่ทำให้คนอื่นไม่ได้สิทธิ์ไปด้วย //ราคาสมมติ)
อยากจะให้มองว่า ถ้าพี่น้องได้รับส่วนแบ่งเท่ากันแล้ว แล้วเค้าใช้มันหมดโดยตั้งใจ แล้วเรายังช่วยเหลือ เราดีเกินไปไหม แต่ถ้าเราไม่ช่วย แล้วให้เค้าจัดการปัญหาเอง หลานๆ ก็คงต้องลำบากอีก มองหน้าเราแล้วทำตาปริบๆ หาว่าเราไม่ช่วยเหลือ เราไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
ช่วยหาทางออกให้เราหน่อยเถอะ