พุทธวจน ! การประกอบความเพียรในอธิจิต นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

การปฎิบัติไปตามลำดับในอธิจิต

สติสัมปชัญญะ

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีสติก้าวไป มีสติถอยกลับ มีสติยืนอยู่ มีสติ
นั่งอยู่ มีสตินอน มีสติประกอบการงาน ดูกรอานนท์ นี้เป็นอนุสสติซึ่งภิกษุ
เจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ

สมาธิภาวนาที่เจริญการทำให้มากแล้ว เป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ
เป็นไฉน ?  ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้  เวทนาเกิดขึ้นก็รู้  เวทนาตั้งอยู่ก็รู้  เวทนา
ดับไปก็รู้  สัญญาเกิดขึ้นก็รู้  สัญญาตั้งอยู่ก็รู้  สัญญาดับไปก็รู้  วิตกเกิดขึ้นก็รู้
วิตกตั้งอยู่ก็รู้    วิตกดับไปก็รู้   นี้  สมาธิภาวนาที่เจริญกระทำให้มากแล้วเป็น
ไปเพื่อสติสัมปชัญญะ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์
ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า

....................................................................................................
ลำดับสมาธินิมิตร   อานาปานสติ
1.การนับ  วิตกเกิดขึ้นก็รู้
วิตกตั้งอยู่ก็รู้    วิตกดับไปก็รู้   นี้  สมาธิภาวนาที่เจริญกระทำให้มากแล้วเป็น
ไปเพื่อสติสัมปชัญญะ
ทำไมต้องนับ  เพราะการนับทำได้ง่าย ได้ตลอดทั้งวัน ทำมาก ทำง่าย  เกิดฉันทะ

2.เริ่มจับจิตโดยใช้สติสัมปชัญญะหรือขั้นกำหนดรู้กองลมทั้งปวง  เปรียบเหมือนบุรุษเอามือทั้ง ๒ จับนกใช้ความเพียรที่พอดี วิริยะของเราจักไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป

3.ขั้นตรวจตรา หรือธัมมวิจยะ หรือขั้นระงับกายสังขาร   วิมังสาของเราจักไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป

4.ขั้นปล่อยจิต หรือจักเปลื้องจิต  อุเบกขานิมิตร  ให้จิตจดจ่อเอง จิตตะของเราจักไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป
เปรียบเหมือน นกที่ถูกปล่อยเป็นอิสระ จิตเกิดฉันทะ เกิดความไม่เดือดร้อน เกิดปราโมทย์ ปิติ สุข

...............................................................................................................................................
แต่ละลำดับ มีการมนสิการอย่างไร

1.สติสัมปชัญญะ  ไปตามลำดับ
  หายใจเข้า ออก นับ 1-100   ต่อมา  
หายใจเข้าออก นับ 1-10   ต่อมา
หายใจเข้าออก  นับถอยหลัง  10-1  ต่อมา นับไปข้างหน้า หายใจเข้าออก นับ 1-10

2.เริ่มจับจิตโดยใช้สติสัมปชัญญะหรือจับนกด้วยมือ 2มือ(ขั้นกำหนดรู้กองลมทั้งปวง)
สมาธินิต
1-10
หายใจเข้าสุด เสร็จแล้วจึงนับ หายใจออกเสร็จแล้วจึงนับ  ต่างจากการนับธรรมดาที่ไม่ต้องรอ

นายช่าง
กลึงหรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ขยัน เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่า เราชักยาว
เมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักสั้น

3.ขั้นตรวจตรา หรือธัมมวิจยะ ระงับกายสังขาร   วิมังสาของเราจักไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป
หยุดนับเพราะต้องการลดกำลังความเพียรลงไม่ให้จิตลำบากเกินไป
หายใจเข้า เสร็จแล้วจึงรู้  หายใจออกเสร้จแล้วจึงรู้
สมาธินิมิต
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เปรียบเหมือนหมู่มหาชนได้ทราบข่าวว่า
มีนางงามในชนบทพึงประชุมกัน ก็นางงามในชนบทนั้น
น่าดูอย่างยิ่งในการฟ้อนรำ น่าดูอย่างยิ่งในการขับร้อง
หมู่มหาชนได้ทราบข่าวว่า นางงามในชนบทจะฟ้อนรำขับร้อง
พึงประชุมกันยิ่งขึ้นกว่าประมาณ
ครั้งนั้น บุรุษผู้อยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย
ปรารถนาความสุข เกลียดทุกข์
พึงมากล่าวกะหมู่มหาชนนั้นอย่างนี้ว่า
“บุรุษผู้เจริญ ! ท่านพึงนำภาชนะน้ำมันอันเต็มเปี่ยมนี้
ไปในระหว่างที่ประชุมใหญ่กับนางงามในชนบท
และจักมีบุรุษเงื้อดาบตามบุรุษผู้นำหม้อน้ำมันนั้นไปข้างหลัง ๆ
บอกว่า ท่านจักทำน้ำมันนั้นหกแม้หน่อยหนึ่งในที่ใด
ศีรษะของท่านจักขาดตกลงไปในที่นั้นทีเดียว” .
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อ
นั้นเป็นอย่างไร ? บุรุษผู้นั้นจะไม่ใส่ใจภาชนะน้ำมัน
โน้น แล้วพึงประมาทในภายนอกเทียวหรือ.
“ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เราทำอุปมานี้ เพื่อให้เข้าใจ
เนื้อความนี้ชัดขึ้น เนื้อความในข้อนี้มีอย่างนี้แล คำว่า
ภาชนะน้ำมันอันเต็มเปี่ยม เป็นชื่อของ กายคตาสติ.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้
เธอทั้งหลายพึงทำการศึกษาอย่างนี้ว่า
กายคตาสติ จักเป็นของอันเราเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้ว กระทำให้เป็นดังยาน
กระทำให้เป็นที่ตั้ง กระทำไม่หยุด สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เธอทั้งหลายพึงทำการศึกษาอย่างนี้.

4.ขั้นปล่อยจิต หรือจักเปลื้องจิต  อุเบกขานิมิตร  ให้จิตจดจ่อเอง จิตตะของเราจักไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป
เปรียบเหมือน นกที่ถูกปล่อยเป็นอิสระ จิตเกิดฉันทะ เกิดความไม่เดือดร้อน เกิดปราโมทย์ ปิติ สุข

สมาธินิต
จิตไม่ถึงความฟุ้งซ่าน จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จ
และบรรลุผลวิเศษอย่างไร
เปรียบเหมือนต้นไม้ที่เขาวางไว้ ณ ภาคพื้นที่เรียบ บุรุษเอาเลื่อยเลื่อยต้นไม้นั้น
สติของบุรุษย่อมเข้าไปตั้งอยู่ด้วยสามารถแห่งฟันเลื่อยซึ่งถูกที่ต้นไม้
บุรุษนั้นไม่ได้ใส่ใจถึงฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไป  ฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไปไม่ปรากฏ
ก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จ และบรรลุผลวิเศษ
ความเนื่องกันเป็นนิมิต เหมือนต้นไม้ที่เขาวางไว้ ณ ภาคพื้นที่เรียบ
ลมเข้าออก เหมือนฟันเลื่อย

                                                ดูกรอานนท์   !     ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความ        
                                                 เพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย เมื่อเธอพิจารณาเห็นกายใน
                                             กายอยู่ ความเร่าร้อนมีกายเป็นอารมณ์เกิดขึ้นในกายก็ดี ความหดหู่แห่งจิตเกิดขึ้นก็ดี จิตฟุ้งซ่าน
                                                                                 ไปในภายนอกก็ดี

                                                  

                                            ภิกษุนั้น !     พึงตั้งจิตไว้ให้มั่นในนิมิต อันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสอย่างใด
                                            อย่างหนึ่ง เมื่อเธอตั้งจิตไว้มั่นในนิมิต อันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่
                                           ปราโมทย์ย่อมเกิด


                                            เมื่อเธอปราโมทย์ ปีติย่อมเกิด เมื่อเธอมีใจประกอบด้วยปีติ กายย่อมระงับ
                                              เธอมีกายระงับแล้ว ย่อมเสวยสุข เมื่อเธอมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น เธอย่อมพิจารณา
                                            เห็น  อย่างนี้ว่าเราตั้งจิตไว้เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นสำเร็จแก่เราแล้ว บัดนี้เราจะคุมจิตไว้



                                                                                   เธอคุมจิตไว้
                                          และไม่ตรึก ไม่ตรอง ย่อมรู้ชัดว่า เราไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีสติ ในภายใน เป็นผู้มีความสุข
                                                                                            ดังนี้.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่