เราหลงรักหนังญี่ปุ่นและการ์ตูนญี่ปุ่นมากๆ บรรยากาศบ้านเมือง วัฒนธรรมและความสัมพันธ์ของคนญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก และเราก็เคยประทับใจในหนังญี่ปุ่นหลายๆเรื่องมาแล้ว และหากจะพูดถึงผู้กำกับหนังญี่ปุ่นในดวงใจ หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ Hirokazu Koreeda อย่างแน่นอน
Nobody Knows คือผลงานชิ้นแรกที่ผมได้รู้จักกับ Koreeda และนั่นคือหนังเรื่องแรกที่ทำให้ผมร้องไห้ในโรงหนัง จากนั้นมา ผมก็ได้ชมผลงานต่อๆมาของเค้า ทั้ง Air Doll, I Wish และ Like Father, Like Son โดยหนังของเค้ามักจะเล่าความสัมพันธ์ของคน โดยเฉพาะคนในครอบครัว
ครั้งแรกที่เราได้ยินข่าวของหนังเรื่องนี้ Our Little Sister เราแทบจะอยากกระโดดโลดเต้น เราดีใจมากที่จะได้ชมผลงานของเค้าอีกครั้ง แม้เราจะยังไม่รู้พร็อตเรื่องอะไรเลยก็ตาม
และเมื่อเราดูหนังเรื่องนี้จบ เราอิ่มมากๆ แม้เราจะรู้สึกว่าผลงานชิ้นหลังๆของ Koreeda จะค่อนข้างเป็นผลงานที่เหมือนจะเอาใจคนส่วนใหญ่ และออกจะน้ำเน่าหน่อยๆด้วยซ้ำไป แต่รายละเอียดในการเล่าความสัมพันธ์ของคน ยังเฉียบคมเช่นเดิม ในแง่ความเป็นหนัง เราไม่ได้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ดีเด่อะไร แต่เราชอบมันมาก เพราะเรื่องที่เค้าเล่ามันสื่อสารได้ดี มันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของตัวละครอย่างใกล้ชิด
การเล่าเรื่องที่ฉับไวในช่วงต้นเรื่อง และมาทอดยาวเล่าความสัมพันธ์ของตัวละครในช่วงตั้งแต่ที่ซึสุมาอาศัยอยู่กับ 3 สาวพี่น้อง มันเป็นการให้น้ำหนักที่ดีมากๆ ค่อยๆเล่าให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวละคร ทำให้เราเชื่อในเรื่องที่เค้าเล่าอย่างเต็มใจ
นักแสดงของหนังเรื่องนี้ถือว่าเด่นมาก นอกจากจะแสดงได้ดีทุกคนแล้ว ยังเล่นได้อย่างมีเสน่ห์ทุกคนด้วย โดยเฉพาะ 4 สาว ผมเชื่อว่าไปถามผู้ชายหลายๆคน ว่าชอบสาวคนไหน ก็คงได้คำตอบที่เสียงแตกมากๆ เพราะผมว่าทุกคนมีเสน่ห์ของตัวเองทุกคนเลย (ตัวผมเองก็ยังเลือกไม่ถูกเลย 55 พูดเหมือนมีสิทธิ์เลือก)
ดนตรีประกอบในหนังเรื่องนี้ก็ยอดเยี่ยมจริงๆ มันอบอุ่นน่ารักมากๆ ผมชอบดนตรีประกอบแบบนี้มากๆ ฟังแล้วสบายใจ ผ่อนคลายมากๆ
ผมชอบความสัมพันธ์ของ 3 สาวพี่น้องมากๆ ทั้ง พี่ซาจิ โยชิโนะ และ จิกะ พวกเค้าดูรักกันมากๆ เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากแม่ของพวกเค้าทิ้งพวกเค้าไป แต่สิ่งที่พอจะเดาได้ คือ พี่สาวคนโต ซาจิ น่าจะเป็นคนที่ทำหน้าที่ผู้นำครอบครัวแทน ดูแลน้องทั้ง 2 คนจนเรียนจบ มีงานทำ
แม้เราจะเห็น พี่ซาจิ กับ โยชิโนะ เหมือนจะทะเลาะกันบ่อยๆ มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน แต่เราก็ยังรับรู้ได้ว่า เค้าทั้ง 2 รักกันมาก โดยเฉพาะฉากเล็กๆที่ผมประทับใจมาก คือ ฉากที่พี่ซาจิ กับ โยชิโนะ ทะเลาะกัน จนกระทั่ง โยชิโนะ เดินหนีเข้าไปอาบน้ำ แต่ดันไปเจอตัวจิ้งโกร่งอยู่ในห้องน้ำ จนต้องตะโกนให้พี่ซาจิ เข้ามาช่วย มันดูอบอุ่นน่ารักสุดๆในซีนนี้ และพี่ซาจิก็รีบลุกไปช่วยในทันทีที่โยชิโนะร้องเรียก ซีนนี้ทำเอาผมนั่งอมยิ้มตายไปเลย
ฉากที่ผมประทับใจสุดในเรื่องนี้ คือ 2 ฉากที่เกี่ยวเนื่องกัน ได้แก่ ฉากที่โยชิโนะรีบออกจากบ้านไปทำงาน เพราะตื่นสาย แล้วตอนวิ่งออกจากบ้าน พี่ซาจิ ตะโกนตามหลังไปว่า "ระวังลื่นล้มนะ" ซึ่งฉากนี้ยังเฉยๆ แต่มาทำผมน้ำตาซึมในฉากที่พี่ซาจิ กำลังจะวิ่งกลับไปที่บ้านเพื่อไปเอาเหล้าบ๊วยมาให้แม่ที่สถานีรถไฟ แล้วแม่ตะโกนบอกพี่ซาจิว่า "ระวังลื่นล้มนะ" เช่นกัน มันทำให้ผมรับรู้ว่า ความรู้สึกเป็นห่วงคนที่เรารักจริงๆเป็นเช่นไร ซึ่งผมคิดเอาเองว่า ที่พี่ซาจิบอกโยชิโนะแบบนั้น ก็น่าจะมาจากที่แม่ของเค้าคอยบอกประโยคนั้น แก่ลูกๆของเขาเสมอตอนเด็กๆ
ผมชอบประเด็น ความรู้สึกผิดของตัวละครอย่างซึสุ ที่รู้สึกว่าแม่ของตัวเองทำผิดที่เค้าไปแย่งพ่อของครอบครัว 3 พี่น้องมา ทั้งที่นั่นไม่ใช่ความผิดของตัวเอง เหตุการณ์มันเกิดขึ้นก่อนที่ซึสุจะลืมตามองโลกด้วยซ้ำ แม้ภาพภายนอกจะเห็นว่า ซึสุมาอยู่กับครอบครัวนี้ได้อย่างอบอุ่น แต่ลึกๆแล้ว ก็ยังมีบางสิ่งที่ซึสุไม่เปิดเผยให้ทั้ง 3 สาวรับรู้ โดยเฉพาะในเรื่องความทรงจำเกี่ยวกับพ่อ เพราะกลัวว่าจะไปทำร้ายความรู้สึกของพี่ๆ แต่ในช่วงเวลาที่ซึสุเหมือนจะปิดตัวเองอยู่ เค้าก็กลับมีโอกาสได้เข้าร่วมทีมฟุตบอลของโรงเรียนและได้มารู้จักกับฟุตะ ซึ่งมันคือ Puppy Love ของทั้ง 2 คน มันน่ารักมากๆ ทั้งฉากที่ปั่นจักรยานไปดูอุโมงค์ซากุระ และฉากร่ำลากันในคืนวันงานเทศกาลดอกไม้ไฟ
พี่ซาจิ ก็น่าจะเป็นคนที่เข้าใจเหตุการณ์นี้ดี เนื่องจาก เค้าก็ไปรักกับผู้ชายที่มีภรรยาแล้วเช่นกัน พี่ซาจิก็ฝืนใจตัวเองไม่ได้ เรื่องความรักมันห้ามกันไม่ได้ แต่พี่ซาจิก็พยายามควบคุมไม่ให้ความสัมพันธ์ของเค้าไปทำร้ายครอบครัวของผู้ชายคนนั้น เรื่องนี้มันละเอียดอ่อนมาก ถ้าจะมองว่าผิดก็มองได้ ถ้าจะมองว่าไม่ผิด ก็มองได้เช่นกัน
เหตุการณ์หลายๆอย่างในชีวิตที่มันเกิดขึ้น เราไม่สามารถไปบอกได้ว่ามันดีหรือไม่ดี แต่สิ่งที่สอนให้เราเรียนรู้อยู่เสมอ ก็คือ เมื่อสิ่งใดที่มันเกิดขึ้นไปแล้ว เราควรยอมรับมัน เรามีหน้าที่ยอมรับ ทำความเข้าใจ และก้าวเดินต่อไป เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้ แต่เราก็สามารถเลือกได้เองว่า เราจะมีความสุขกับปัจจุบันขณะนี้ หรือ จมอยู่กับความทุกข์กับเหตุการณ์ในอดีต ไม่มีใครบังคับเราได้ทั้งนั้น
ผมชอบประโยคที่พี่ซาจิบอกกับซึสุ ในตอนที่ทำกับข้าวด้วยกันว่า "เรื่องที่เกิดขึ้น มันไม่มีใครผิดหรอก" มันเป็นประโยคสั้นๆ แต่มันก็ทำให้เราเข้าใจชีวิตได้มากขึ้นอีกเยอะเลย
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
Our Little Sister - เรื่องที่มันเกิดขึ้น มันไม่มีใครผิดหรอก (Spoil)
Nobody Knows คือผลงานชิ้นแรกที่ผมได้รู้จักกับ Koreeda และนั่นคือหนังเรื่องแรกที่ทำให้ผมร้องไห้ในโรงหนัง จากนั้นมา ผมก็ได้ชมผลงานต่อๆมาของเค้า ทั้ง Air Doll, I Wish และ Like Father, Like Son โดยหนังของเค้ามักจะเล่าความสัมพันธ์ของคน โดยเฉพาะคนในครอบครัว
ครั้งแรกที่เราได้ยินข่าวของหนังเรื่องนี้ Our Little Sister เราแทบจะอยากกระโดดโลดเต้น เราดีใจมากที่จะได้ชมผลงานของเค้าอีกครั้ง แม้เราจะยังไม่รู้พร็อตเรื่องอะไรเลยก็ตาม
และเมื่อเราดูหนังเรื่องนี้จบ เราอิ่มมากๆ แม้เราจะรู้สึกว่าผลงานชิ้นหลังๆของ Koreeda จะค่อนข้างเป็นผลงานที่เหมือนจะเอาใจคนส่วนใหญ่ และออกจะน้ำเน่าหน่อยๆด้วยซ้ำไป แต่รายละเอียดในการเล่าความสัมพันธ์ของคน ยังเฉียบคมเช่นเดิม ในแง่ความเป็นหนัง เราไม่ได้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ดีเด่อะไร แต่เราชอบมันมาก เพราะเรื่องที่เค้าเล่ามันสื่อสารได้ดี มันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของตัวละครอย่างใกล้ชิด
การเล่าเรื่องที่ฉับไวในช่วงต้นเรื่อง และมาทอดยาวเล่าความสัมพันธ์ของตัวละครในช่วงตั้งแต่ที่ซึสุมาอาศัยอยู่กับ 3 สาวพี่น้อง มันเป็นการให้น้ำหนักที่ดีมากๆ ค่อยๆเล่าให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวละคร ทำให้เราเชื่อในเรื่องที่เค้าเล่าอย่างเต็มใจ
นักแสดงของหนังเรื่องนี้ถือว่าเด่นมาก นอกจากจะแสดงได้ดีทุกคนแล้ว ยังเล่นได้อย่างมีเสน่ห์ทุกคนด้วย โดยเฉพาะ 4 สาว ผมเชื่อว่าไปถามผู้ชายหลายๆคน ว่าชอบสาวคนไหน ก็คงได้คำตอบที่เสียงแตกมากๆ เพราะผมว่าทุกคนมีเสน่ห์ของตัวเองทุกคนเลย (ตัวผมเองก็ยังเลือกไม่ถูกเลย 55 พูดเหมือนมีสิทธิ์เลือก)
ดนตรีประกอบในหนังเรื่องนี้ก็ยอดเยี่ยมจริงๆ มันอบอุ่นน่ารักมากๆ ผมชอบดนตรีประกอบแบบนี้มากๆ ฟังแล้วสบายใจ ผ่อนคลายมากๆ
ผมชอบความสัมพันธ์ของ 3 สาวพี่น้องมากๆ ทั้ง พี่ซาจิ โยชิโนะ และ จิกะ พวกเค้าดูรักกันมากๆ เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากแม่ของพวกเค้าทิ้งพวกเค้าไป แต่สิ่งที่พอจะเดาได้ คือ พี่สาวคนโต ซาจิ น่าจะเป็นคนที่ทำหน้าที่ผู้นำครอบครัวแทน ดูแลน้องทั้ง 2 คนจนเรียนจบ มีงานทำ
แม้เราจะเห็น พี่ซาจิ กับ โยชิโนะ เหมือนจะทะเลาะกันบ่อยๆ มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน แต่เราก็ยังรับรู้ได้ว่า เค้าทั้ง 2 รักกันมาก โดยเฉพาะฉากเล็กๆที่ผมประทับใจมาก คือ ฉากที่พี่ซาจิ กับ โยชิโนะ ทะเลาะกัน จนกระทั่ง โยชิโนะ เดินหนีเข้าไปอาบน้ำ แต่ดันไปเจอตัวจิ้งโกร่งอยู่ในห้องน้ำ จนต้องตะโกนให้พี่ซาจิ เข้ามาช่วย มันดูอบอุ่นน่ารักสุดๆในซีนนี้ และพี่ซาจิก็รีบลุกไปช่วยในทันทีที่โยชิโนะร้องเรียก ซีนนี้ทำเอาผมนั่งอมยิ้มตายไปเลย
ฉากที่ผมประทับใจสุดในเรื่องนี้ คือ 2 ฉากที่เกี่ยวเนื่องกัน ได้แก่ ฉากที่โยชิโนะรีบออกจากบ้านไปทำงาน เพราะตื่นสาย แล้วตอนวิ่งออกจากบ้าน พี่ซาจิ ตะโกนตามหลังไปว่า "ระวังลื่นล้มนะ" ซึ่งฉากนี้ยังเฉยๆ แต่มาทำผมน้ำตาซึมในฉากที่พี่ซาจิ กำลังจะวิ่งกลับไปที่บ้านเพื่อไปเอาเหล้าบ๊วยมาให้แม่ที่สถานีรถไฟ แล้วแม่ตะโกนบอกพี่ซาจิว่า "ระวังลื่นล้มนะ" เช่นกัน มันทำให้ผมรับรู้ว่า ความรู้สึกเป็นห่วงคนที่เรารักจริงๆเป็นเช่นไร ซึ่งผมคิดเอาเองว่า ที่พี่ซาจิบอกโยชิโนะแบบนั้น ก็น่าจะมาจากที่แม่ของเค้าคอยบอกประโยคนั้น แก่ลูกๆของเขาเสมอตอนเด็กๆ
ผมชอบประเด็น ความรู้สึกผิดของตัวละครอย่างซึสุ ที่รู้สึกว่าแม่ของตัวเองทำผิดที่เค้าไปแย่งพ่อของครอบครัว 3 พี่น้องมา ทั้งที่นั่นไม่ใช่ความผิดของตัวเอง เหตุการณ์มันเกิดขึ้นก่อนที่ซึสุจะลืมตามองโลกด้วยซ้ำ แม้ภาพภายนอกจะเห็นว่า ซึสุมาอยู่กับครอบครัวนี้ได้อย่างอบอุ่น แต่ลึกๆแล้ว ก็ยังมีบางสิ่งที่ซึสุไม่เปิดเผยให้ทั้ง 3 สาวรับรู้ โดยเฉพาะในเรื่องความทรงจำเกี่ยวกับพ่อ เพราะกลัวว่าจะไปทำร้ายความรู้สึกของพี่ๆ แต่ในช่วงเวลาที่ซึสุเหมือนจะปิดตัวเองอยู่ เค้าก็กลับมีโอกาสได้เข้าร่วมทีมฟุตบอลของโรงเรียนและได้มารู้จักกับฟุตะ ซึ่งมันคือ Puppy Love ของทั้ง 2 คน มันน่ารักมากๆ ทั้งฉากที่ปั่นจักรยานไปดูอุโมงค์ซากุระ และฉากร่ำลากันในคืนวันงานเทศกาลดอกไม้ไฟ
พี่ซาจิ ก็น่าจะเป็นคนที่เข้าใจเหตุการณ์นี้ดี เนื่องจาก เค้าก็ไปรักกับผู้ชายที่มีภรรยาแล้วเช่นกัน พี่ซาจิก็ฝืนใจตัวเองไม่ได้ เรื่องความรักมันห้ามกันไม่ได้ แต่พี่ซาจิก็พยายามควบคุมไม่ให้ความสัมพันธ์ของเค้าไปทำร้ายครอบครัวของผู้ชายคนนั้น เรื่องนี้มันละเอียดอ่อนมาก ถ้าจะมองว่าผิดก็มองได้ ถ้าจะมองว่าไม่ผิด ก็มองได้เช่นกัน
เหตุการณ์หลายๆอย่างในชีวิตที่มันเกิดขึ้น เราไม่สามารถไปบอกได้ว่ามันดีหรือไม่ดี แต่สิ่งที่สอนให้เราเรียนรู้อยู่เสมอ ก็คือ เมื่อสิ่งใดที่มันเกิดขึ้นไปแล้ว เราควรยอมรับมัน เรามีหน้าที่ยอมรับ ทำความเข้าใจ และก้าวเดินต่อไป เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้ แต่เราก็สามารถเลือกได้เองว่า เราจะมีความสุขกับปัจจุบันขณะนี้ หรือ จมอยู่กับความทุกข์กับเหตุการณ์ในอดีต ไม่มีใครบังคับเราได้ทั้งนั้น
ผมชอบประโยคที่พี่ซาจิบอกกับซึสุ ในตอนที่ทำกับข้าวด้วยกันว่า "เรื่องที่เกิดขึ้น มันไม่มีใครผิดหรอก" มันเป็นประโยคสั้นๆ แต่มันก็ทำให้เราเข้าใจชีวิตได้มากขึ้นอีกเยอะเลย
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/