“สิทธิของผู้หญิงนั้นศักดิ์สิทธิ์
และสิทธินั้นจะต้องได้รับการปกปักษ์รักษา”
จากแนวความคิด อิสลาม เป็นศาสนาที่จำกัดอิสรภาพ และกีดกันสิทธิสตรีเพศออกจากการมีส่วนร่วมทางสังคม รวมถึงแนวคิดจากชาติตะวันตกที่(เพิ่ง)ให้ความสำคัญเกี่ยวกับสิทธิสตรี ความเท่าเทียมทางเพศ โดยส่งเสริมให้สตรีมีความรู้ ความสามารถ และโอกาสทางสังคมเท่าเทียมเพศชาย แล้วสร้างมุมมองใหม่ให้แก่โลกมุสลิมว่าเป็นศาสนาที่มีวิถีการปฏิบัติต่อสตรีเพศอย่างโหดร้ายทารุณ สิ่งเหล่านี้หลายท่านคงได้รับรู้หรือเข้าใจเองบ้าง จากหนังสือบ้าง อาจารย์ผู้สอน หรือข่าวสารตามสื่อต่างๆ เกี่ยวกับสิทธิสตรีในอิสลาม ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นข้อมูลที่บิดเบือนจากความเป็นจริงทั้งสิ้น
เมื่อได้รับรู้ข้อมูลมาจากแหล่งใดก็ตาม เราเคยตั้งคำถามบ้างหรือไม่ ว่า หนังสือที่เรากำลังอ่านกันอยู่นั้น ผู้เขียนหนังสือมีอคติมากน้อยเพียงใด และมีข้อเท็จจริงเพียงพอหรือไม่ หรือแม้แต่อาจารย์ผู้สอนก็ตาม หลายๆครั้งเมื่อกล่าวถึงสิทธิสตรี พวกท่านมักจะยกตัวอย่างสตรีในประเทศมุสลิมตะวันออกกลาง “พวกเธอมักถูกกดขี่ทั้งความคิดและการกระทำ” คำถามที่มักจะพบได้บ่อยครั้งเกี่ยวกับสิทธิสตรีในอิสลาม คือ ทำไมสตรีมุสลิมต้องแต่งกายมิดชิด ต้องปิดหน้าปิดตา ทั้งๆที่โลกภายนอกให้สิทธิเสรีภาพแก่สตรีอย่างเต็มที่ในเรื่องการแต่งกายและเรื่องอื่นๆ แล้วทำไมพวกเธอต้องอยู่กับบ้านกับเรือนทั้งวัน ไม่ไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆและสังคมภายนอกบ้างหรือ ทำไมถึงต้องยอมให้สามีของพวกเธอมีภรรยาได้ถึงสี่คน แล้วพวกเธอจะมีสามีสี่คนเหมือนสามีไม่ได้บ้างหรือ เราลองตั้งคำถามดูซิว่า สิ่งที่อาจารย์สอนเรามา ความรู้ของท่านมาจากผู้รู้ในอิสลามโดยตรงหรือไม่ หรือถูกสั่งสอนมาจากอาจารย์ของเขาอีกต่อหนึ่ง ถ้าเป็นเช่นนั้น แน่นอนความจริงจะค่อยๆบิดเบือนจากความถูกต้องไปเรื่อยๆ เนื่องจากครูอาจารย์มีบทบาทความสำคัญต่อการถ่ายทอดความรู้ รวมถึงอิทธิพลจากสื่อทางโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต มีความน่าเชื่อถือได้จริงหรือ เราอย่าลืมว่าภายในแวดวงของสื่ออยู่ภายใต้ระบบของทุนนิยม ความรู้ความจริงอาจไม่สำคัญเท่ากับกำไรหรือผลประโยชน์ที่ได้มาเพื่อเลี้ยงปากท้องของพวกเขา ซึ่งทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้มีคนสนใจในข่าวที่ตนนำเสนอให้ได้มากที่สุด ถึงแม้ความจริงจะเป็นคนละเรื่องกับสิ่งที่ได้นำเสนอไป เช่น ข่าวเรื่องสตรีมุสลิมถูกใช้แรงงานในประเทศตะวันออกกลางอย่างทาส แต่ไม่เคยถามพวกเธอว่ายินดีหรือพอใจหรือไม่ที่ต้องใช้แรงงานเพื่อมาเลี้ยงดูครอบครัว ต้องซักผ้า ล้างจานชาม ให้การอบรมแก่ลูก ทั้งที่ต้องใส่เสื้อผ้ามิดชิด ปิดหน้าปิดตาอยู่ตลอดเวลา หากเธอพอใจแล้ว เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะต้องไปล่วงละเมิดการงานของพวกเธอ
หากท่านผู้อ่านได้เรียนรู้ในศาสนาอิสลามอย่างลึกซึ้งแล้ว ความสงสัยทั้งหลายคงหมดไป เพราะหลายๆเรื่องในศาสนาอิสลามนั้นลึกซึ้งและมีเหตุผลละเอียดอ่อนเกินกว่าการใช้สามัญสำนึกทั่วไปในการตัดสินใจได้ เนื่องจากศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งจิตวิญญาณ มีคัมภีร์อัล-กุรอาน รวมถึงแบบอย่างของท่านศาสดามูฮำหมัด (ซ.ล.) เป็นแนวทางหลักในการดำเนินชีวิต ดังเช่น เรื่องสิทธิสตรีในอิสลาม ที่เราต้องมาทำความเข้าใจอย่างจริงจัง ตลอดจนผลกระทบจากการที่มีสิทธิเสรีภาพมากเกินไป ซึ่งไม่ว่าจะเพศหญิงหรือเพศชาย จนเกินเลยจากกรอบแห่งศีลธรรม หลงลืมหลักการที่ศาสนาได้บัญญัติไว้
เรา – ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม ย่อมมีหลักเกณฑ์ของศาสนานั้นคอยควบคุมเราไม่ไห้ประพฤติหรือกระทำอะไรเกินเลยจากศีลธรรมที่ได้วางไว้ แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป-ยุคโลกาภิวัตน์ เทคโนโลยีเข้ามาแทนที่สัจธรรมทางศาสนา ความดีจึงลดความสำคัญลงไป กรอบแห่งศีลธรรมถูกฉีกออกเหตุเพราะความล้าสมัย ลัทธิทุนนิยมมาแทนที่ความพอเพียง ปากท้องสำคัญกว่าสิ่งใด ปัญหาสังคมหลายๆ อย่างจึงปรากฏชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาชญากรรม ฆาตรกรรม การตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมของเด็ก และปัญหาครอบครัว ฯลฯ จากปัญหาเล็กๆน้อยๆ ขยายใหญ่กลายเป็นปัญหาระดับชาติ ปัญหาเหล่านี้อยู่ใกล้ชิดตัวเรา และสามารถสัมผัสโดยไม่อาจปฏิเสธได้ ซึ่งสาเหตุของปัญหามาจากการมีสิทธิเสรีภาพแห่งสากลแบบสุดโต่ง แน่นอนว่าต้องแตกต่างจากสิทธิเสรีภาพในศาสนาอิสลามอย่างสิ้นเชิง
ในอดีต สิทธิสตรีเป็นอย่างไร
ในอดีตของประชาชาติต่างๆ ดังเช่น ชาวโรมันโบราณได้บัญญัติว่า หญิงคือทาสของชาย พวกเธอคือสิ่งมีชีวิตที่ไร้วิญญาณ ในเอเธนส์พวกเธอจะถูกซื้อขายดั่งเป็นงานหัตถกรรมของความชั่วร้าย อินเดียโบราณเชื่อว่า เชื้อโรค พิษงู หรือไฟนั้นดีกว่าสตรี ชีวิตของพวกเธอจะจบลงเมื่อชีวิตของสามีสิ้นสุดลง ส่วนในยุโรปเมื่อครั้งในอดีตเชื่อว่า สตรีคือ สิ่งยั่วยุ พวกเขาเชื่อว่า ฮาวา(อีฟ)ล่อลวงอาดัมให้กินผลไม้ต้องห้าม พวกอังกฤษโบราณห้ามสตรีอ่านคัมภีร์ไบเบิ้ล แต่ศาสนาอิสลามสอนให้ทั้งหญิงและชายอ่านคัมภีร์อัล-กุรอาน และไม่ใช่ฮาวา(อีฟ)ที่ชักชวนอาดัมให้ฝ่าฝืน แต่เป็นเพราะทั้งสองคนต่างตัดสินใจร่วมกันที่จะฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) อิสลามจึงสอนผู้ศรัทธาทั้งชายและหญิงให้ช่วยเหลือดูแลกันในการงานแห่งความดี
สตรีในทัศนะของศาสนาอิสลาม
และบรรดามุมิน(ผู้ศรัทธา)ชาย และบรรดามุมิน(ผู้ศรัทธา)หญิงนั้น บางส่วนของพวกเขาต่างเป็นผู้ช่วยเหลืออีกบางส่วน ซึ่งพวกเขาจะใช้ให้ปฏิบัติในสิ่งที่ชอบและห้ามปรามในสิ่งที่ไม่ชอบ และพวกเขาจะดำรงไว้ซึ่งการละหมาดและจ่ายซากาต(การให้ทาน) และภักดีต่ออัลลอฮฺ และรอซูล(ศาสนทูตหรือศาสดา)ของพระองค์ ชนเหล่านี้แหละอัลลอฮฺ จะทรงเอ็นดูเมตตาแก่พวกเขาแท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ (ซูเราะฮฺ อัต-เตาบะฮฺ อายะฮฺ ๙:๗๑)
อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงโปรดเอ็นดูเมตตาแก่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหญิงและชาย อย่างเสมอภาคอันทำให้ผู้หญิงประชาชาติอื่นๆ ทำการเรียกร้องสิทธิของตนเอง เพื่อให้ได้สิทธิเหมือนกับที่มุสลีมะฮฺ (สตรีในอิสลาม)ได้รับในอิสลาม บรรดาสตรีจำนวนมากจึงเข้ารับอิสลาม ในปัจจุบันนี้เราไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้ว่ามีการละเมิดสิทธิสตรีและการกดขี่อิสรภาพของสตรี เช่นในประเทศอุตสาหกรรมหรือประเทศที่มุ่งเน้นความสำเร็จทางเศรษฐกิจที่ใช้สตรีเป็นสินค้าหรือบริการ เพื่อต่อการเงินตราต่างประเทศ หรือไว้รับรองคนของตนในขณะที่อิสลามห้ามกดดันทาสหญิงให้ไปเป็นโสเภณี
ดังนั้น เมื่อทาสยังเป็นไม่ได้ และผู้เป็นไทก็ยิ่งต้องเป็นไปไม่ได้ สตรีจำนวนมากเมื่อมีอายุมากขึ้น และไม่สามารถให้สิ่งอันพึงปรารถนาทางร่างกายได้ พวกเธอจะถูกโดดเดี่ยวในบ้าน หรือสถานพยาบาล ศาสนาอิสลามห้ามทำการใดประหนึ่งแขวนนางไว้ สามีของนางต้องรับผิดชอบพวกนางอย่างดีที่สุด และไม่สามารถเปลี่ยนภรรยาเพียงเพื่อสนองความต้องการทางอารมณ์ เพราะอัลลอฮฺ (ซ.บ.)ไม่รักผู้ที่มักมากทางอารมณ์ และพระองค์ยังสั่งว่า การไม่ชอบภรรยาของตนเหมือนกับการไม่ชอบสิ่งที่ดีที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงประทานให้ แม้กระทั่งในเรื่องของการหย่าร้างฝ่ายชายต้องเลี้ยงดูฝ่ายหญิงและให้ค่าครองชีพแก่นาง โดยขณะที่ในประเทศตะวันตก บางกรณีฝ่ายหญิงต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูฝ่ายชายหลังการหย่าด้วย พวกเขาบอกว่า หญิงชายเท่าเทียมกันทุกเรื่อง
อิสลามให้สิทธิชายและหญิงเท่าเทียมกัน แต่หน้าที่แตกต่างกัน เพศหญิงได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นแม่ เป็นป้า เป็นพี่ เป็นน้องสาว ซึ่งเป็นหน้าที่ที่เพศชายไม่มีวันทำได้ เพราะมีหน้าที่แตกต่างกัน
ท่านศาสดามูฮำหมัด (ซ.ล.) ได้สอนว่า “สวรรค์อยู่ใต้ฝ่าเท้ามารดา” คำนี้สอนให้ชายและหญิงปฏิบัติต่อมารดาให้ดี เพราะสภาพของมารดาหรือสตรีต้องอยู่ในสภาพที่มีเกียรติและได้รับการปกป้องอย่างดี เราถึงจะพบสวรรค์ใต้ฝ่าเท้ามารดา เพราะหากเราปฏิบัติไม่ดีต่อสตรี ผู้มีหน้าที่เป็นแม่หรือแม่บุญธรรม ไม่เหมือนกับที่ท่านศาสดาได้สั่งเอาไว้ เราอาจไม่มีโอกาสพบสรวงสวรรค์ได้ แน่นอนขุมนรกคือที่พักพึงของผู้ที่ละเมิด
อบูฮุรอยเราะหฺ รายงาน ชายคนหนึ่ง ได้เข้าพบท่านศาสดามูฮำหมัด (ซ.ล.) และถามว่า “ท่านศาสนทูต(ศาสดา)ของอัลลอฮฺ ใครกันน่ะที่ฉันควรทำดีด้วยอย่างที่สุด” ท่านศาสดามูฮำหมัด (ซ.ล.)ได้ตอบว่า “ มารดาของท่าน” และเขาก็ถามต่อไปว่า “แล้วใครอีก” ท่านศาสดามูฮำหมัด (ซ.ล.) ตอบว่า “มารดาของท่าน” แล้วเข้าก็ถามอีก ท่านศาสดามูฮำหมัด (ซ.ล.) จึงตอบว่า “บิดาของท่าน” (รายงานโดย บุคคอรีและมุสลิม)
จะเห็นได้ว่า ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ(คือท่านศาสดามูฮำหมัด (ซ.ล.)) ได้ย้ำให้ผู้ศรัทธาทำดีต่อแม่ของเขามากที่สุดสามอันดับแรก แล้วอันดับที่สี่ถึงจะเป็นบิดาของเขา นั้นเป็นการสอนให้มนุษย์ซึ้งกับความรักของแม่ บุญคุณของแม่ และความอาทรของแม่ที่มีต่อลูกตลอดชีวิตของพวกนาง และในทำนองเดียวกันก็ให้แม่มีความภูมิใจที่ได้เป็นแม่และทำหน้าที่แม่อย่างดีที่สุด
การดูแลบิดามารดาให้ดีเท่ากับการทำญิฮาด (การต่อสู้ในหนทางของศาสนา) ดังนั้น สถานสงเคราะห์คนชราสำหรับมุสลิมผู้สูงอายุนั้นไม่มีความจำเป็น เว้นแต่ว่ามุสลิมจะลืมหรือละเลยคำสอนของท่านศาสดามูฮำหมัด (ซ.ล.)ไปแล้ว
อิบนุ ดินาร รายงานว่า ชายคนหนึ่งจากชาวเบดูอิน ได้พบกับอับดุลลอฮฺ บิน อุมัร ในระหว่างทางมักกะฮฺ อับดุลลอฮฺทักทายเขา และให้เขาขึ้นขี่ลาของอับดุลลอฮฺ และให้ผ้าคลุมศีรษะที่ใช้คลุมหัวเขาอยู่ให้แก่เขาด้วย ชายชาวเบดูอินคนนี้เป็นที่รักชอบพอของอุมัร บิน คอตต๊อบ ผู้เป็นบิดา แล้วอับดุลลอฮฺได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านศาสดามูฮำหมัด (ซ.ล.) พูดว่า : การกระทำที่ดีสุดในส่วนของบุตรคือการดูแลอย่างเมตตาแก่ผู้ที่เป็นที่รักยิ่งของบิดาของเขา
ศาสนาอิสลามสอนให้ทำดีมีเมตตาต่อสตรี เด็ก คนชราและญาติสนิทมิตรสหาย ผู้เดินทาง และสรรพสิ่งที่อัลลอฮฺ (ซ.ล.) ทรงสร้างขึ้น อันเป็นกฎแห่งสากลโลก เพื่อผดุงความเสมอภาคและยุติธรรมแก่มวลมนุษยชาติ ตลอดกาลนาน
สิทธิสตรีในอิสลาม
ในศาสนาอิสลามมองว่าผู้ชายและผู้หญิงต่างมีเกียรติศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกัน อัล-กุรอ่าน ได้กล่าวถึงความเท่าเทียมดังกล่าวไว้ในหลายๆ โองการในอัล-กุรอาน (อายะฮ์) ได้แก่
“ผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้น เราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขาที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยทำไว้” (๑๖: ๙๗)
“ผู้ใดที่กระทำความชั่ว เขาจะไม่ได้รับการตอบแทน เว้นแต่เยี่ยงเช่นนั้น และผู้ใดกระทำความดีจากเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม และเขาเป็นผู้ศรัทธาด้วย ชนเหล่านั้นแหละพวกเขาจะได้เข้าสวนสวรรค์ จะได้รับปัจจัยยังชีพในนั้น โดยปราศจากการคำนวณ” (๔๐: ๔๐)
“แท้จริงบรรดาผู้นอบน้อมชายและหญิง บรรดาผู้ศรัทธาชายและหญิง บรรดาผู้ภักดีชายและหญิง บรรดาผู้สัตย์จริงชายและหญิง บรรดาผู้อดทนชายและหญิง บรรดาผู้ถ่อมตัวชายและหญิง บรรดาผู้บริจาคทานชายและหญิง บรรดาผู้ถือศีลอดชายและหญิง บรรดาผู้รักษาอวัยวะเพศของพวกเขาที่เป็นชายและหญิงบรรดาผู้รำลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมากที่เป็นชายและหญิงนั้น อัลลอฮฺได้ทรงเตรียมไว้สำหรับพวกเขาแล้ว ซึ่งการอภัยโทษและรางวัลอันใหญ่หลวง” (๓๓: ๓๕)
และมีรายงานว่า ท่านศาสดามูฮำหมัด (ซ.ล.) กล่าวไว้ว่า “มนุษย์ทุกคนต่างมีความเท่าเทียมกัน (ท่านเปรียบเทียมความเท่าเทียมดังกล่าวดั่งก้านของหวี) คนอาหรับไม่ได้ดีกว่าคนที่ไม่ใช่อาหรับ คนผิวขาวไม่ได้ดีกว่าคนผิวดำ และผู้ชายไม่ได้ดีกว่าผู้หญิง ผู้ที่เป็นที่ชื่นชอบ ณ ที่อัลลอฮ (ซ.บ.) นั้นได้แก่ผู้ที่เกรงกลัวพระองค์และประกอบในคุณความดี”
สิทธิสตรีในอิสลามอันแท้จริง โดยปราศจากความเชื่อท้องถิ่น หรือเจือปนประเพณีท้องถิ่นเดิม
และสิทธินั้นจะต้องได้รับการปกปักษ์รักษา”
จากแนวความคิด อิสลาม เป็นศาสนาที่จำกัดอิสรภาพ และกีดกันสิทธิสตรีเพศออกจากการมีส่วนร่วมทางสังคม รวมถึงแนวคิดจากชาติตะวันตกที่(เพิ่ง)ให้ความสำคัญเกี่ยวกับสิทธิสตรี ความเท่าเทียมทางเพศ โดยส่งเสริมให้สตรีมีความรู้ ความสามารถ และโอกาสทางสังคมเท่าเทียมเพศชาย แล้วสร้างมุมมองใหม่ให้แก่โลกมุสลิมว่าเป็นศาสนาที่มีวิถีการปฏิบัติต่อสตรีเพศอย่างโหดร้ายทารุณ สิ่งเหล่านี้หลายท่านคงได้รับรู้หรือเข้าใจเองบ้าง จากหนังสือบ้าง อาจารย์ผู้สอน หรือข่าวสารตามสื่อต่างๆ เกี่ยวกับสิทธิสตรีในอิสลาม ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นข้อมูลที่บิดเบือนจากความเป็นจริงทั้งสิ้น
เมื่อได้รับรู้ข้อมูลมาจากแหล่งใดก็ตาม เราเคยตั้งคำถามบ้างหรือไม่ ว่า หนังสือที่เรากำลังอ่านกันอยู่นั้น ผู้เขียนหนังสือมีอคติมากน้อยเพียงใด และมีข้อเท็จจริงเพียงพอหรือไม่ หรือแม้แต่อาจารย์ผู้สอนก็ตาม หลายๆครั้งเมื่อกล่าวถึงสิทธิสตรี พวกท่านมักจะยกตัวอย่างสตรีในประเทศมุสลิมตะวันออกกลาง “พวกเธอมักถูกกดขี่ทั้งความคิดและการกระทำ” คำถามที่มักจะพบได้บ่อยครั้งเกี่ยวกับสิทธิสตรีในอิสลาม คือ ทำไมสตรีมุสลิมต้องแต่งกายมิดชิด ต้องปิดหน้าปิดตา ทั้งๆที่โลกภายนอกให้สิทธิเสรีภาพแก่สตรีอย่างเต็มที่ในเรื่องการแต่งกายและเรื่องอื่นๆ แล้วทำไมพวกเธอต้องอยู่กับบ้านกับเรือนทั้งวัน ไม่ไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆและสังคมภายนอกบ้างหรือ ทำไมถึงต้องยอมให้สามีของพวกเธอมีภรรยาได้ถึงสี่คน แล้วพวกเธอจะมีสามีสี่คนเหมือนสามีไม่ได้บ้างหรือ เราลองตั้งคำถามดูซิว่า สิ่งที่อาจารย์สอนเรามา ความรู้ของท่านมาจากผู้รู้ในอิสลามโดยตรงหรือไม่ หรือถูกสั่งสอนมาจากอาจารย์ของเขาอีกต่อหนึ่ง ถ้าเป็นเช่นนั้น แน่นอนความจริงจะค่อยๆบิดเบือนจากความถูกต้องไปเรื่อยๆ เนื่องจากครูอาจารย์มีบทบาทความสำคัญต่อการถ่ายทอดความรู้ รวมถึงอิทธิพลจากสื่อทางโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต มีความน่าเชื่อถือได้จริงหรือ เราอย่าลืมว่าภายในแวดวงของสื่ออยู่ภายใต้ระบบของทุนนิยม ความรู้ความจริงอาจไม่สำคัญเท่ากับกำไรหรือผลประโยชน์ที่ได้มาเพื่อเลี้ยงปากท้องของพวกเขา ซึ่งทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้มีคนสนใจในข่าวที่ตนนำเสนอให้ได้มากที่สุด ถึงแม้ความจริงจะเป็นคนละเรื่องกับสิ่งที่ได้นำเสนอไป เช่น ข่าวเรื่องสตรีมุสลิมถูกใช้แรงงานในประเทศตะวันออกกลางอย่างทาส แต่ไม่เคยถามพวกเธอว่ายินดีหรือพอใจหรือไม่ที่ต้องใช้แรงงานเพื่อมาเลี้ยงดูครอบครัว ต้องซักผ้า ล้างจานชาม ให้การอบรมแก่ลูก ทั้งที่ต้องใส่เสื้อผ้ามิดชิด ปิดหน้าปิดตาอยู่ตลอดเวลา หากเธอพอใจแล้ว เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะต้องไปล่วงละเมิดการงานของพวกเธอ
หากท่านผู้อ่านได้เรียนรู้ในศาสนาอิสลามอย่างลึกซึ้งแล้ว ความสงสัยทั้งหลายคงหมดไป เพราะหลายๆเรื่องในศาสนาอิสลามนั้นลึกซึ้งและมีเหตุผลละเอียดอ่อนเกินกว่าการใช้สามัญสำนึกทั่วไปในการตัดสินใจได้ เนื่องจากศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งจิตวิญญาณ มีคัมภีร์อัล-กุรอาน รวมถึงแบบอย่างของท่านศาสดามูฮำหมัด (ซ.ล.) เป็นแนวทางหลักในการดำเนินชีวิต ดังเช่น เรื่องสิทธิสตรีในอิสลาม ที่เราต้องมาทำความเข้าใจอย่างจริงจัง ตลอดจนผลกระทบจากการที่มีสิทธิเสรีภาพมากเกินไป ซึ่งไม่ว่าจะเพศหญิงหรือเพศชาย จนเกินเลยจากกรอบแห่งศีลธรรม หลงลืมหลักการที่ศาสนาได้บัญญัติไว้
เรา – ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม ย่อมมีหลักเกณฑ์ของศาสนานั้นคอยควบคุมเราไม่ไห้ประพฤติหรือกระทำอะไรเกินเลยจากศีลธรรมที่ได้วางไว้ แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป-ยุคโลกาภิวัตน์ เทคโนโลยีเข้ามาแทนที่สัจธรรมทางศาสนา ความดีจึงลดความสำคัญลงไป กรอบแห่งศีลธรรมถูกฉีกออกเหตุเพราะความล้าสมัย ลัทธิทุนนิยมมาแทนที่ความพอเพียง ปากท้องสำคัญกว่าสิ่งใด ปัญหาสังคมหลายๆ อย่างจึงปรากฏชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาชญากรรม ฆาตรกรรม การตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมของเด็ก และปัญหาครอบครัว ฯลฯ จากปัญหาเล็กๆน้อยๆ ขยายใหญ่กลายเป็นปัญหาระดับชาติ ปัญหาเหล่านี้อยู่ใกล้ชิดตัวเรา และสามารถสัมผัสโดยไม่อาจปฏิเสธได้ ซึ่งสาเหตุของปัญหามาจากการมีสิทธิเสรีภาพแห่งสากลแบบสุดโต่ง แน่นอนว่าต้องแตกต่างจากสิทธิเสรีภาพในศาสนาอิสลามอย่างสิ้นเชิง
ในอดีต สิทธิสตรีเป็นอย่างไร
ในอดีตของประชาชาติต่างๆ ดังเช่น ชาวโรมันโบราณได้บัญญัติว่า หญิงคือทาสของชาย พวกเธอคือสิ่งมีชีวิตที่ไร้วิญญาณ ในเอเธนส์พวกเธอจะถูกซื้อขายดั่งเป็นงานหัตถกรรมของความชั่วร้าย อินเดียโบราณเชื่อว่า เชื้อโรค พิษงู หรือไฟนั้นดีกว่าสตรี ชีวิตของพวกเธอจะจบลงเมื่อชีวิตของสามีสิ้นสุดลง ส่วนในยุโรปเมื่อครั้งในอดีตเชื่อว่า สตรีคือ สิ่งยั่วยุ พวกเขาเชื่อว่า ฮาวา(อีฟ)ล่อลวงอาดัมให้กินผลไม้ต้องห้าม พวกอังกฤษโบราณห้ามสตรีอ่านคัมภีร์ไบเบิ้ล แต่ศาสนาอิสลามสอนให้ทั้งหญิงและชายอ่านคัมภีร์อัล-กุรอาน และไม่ใช่ฮาวา(อีฟ)ที่ชักชวนอาดัมให้ฝ่าฝืน แต่เป็นเพราะทั้งสองคนต่างตัดสินใจร่วมกันที่จะฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) อิสลามจึงสอนผู้ศรัทธาทั้งชายและหญิงให้ช่วยเหลือดูแลกันในการงานแห่งความดี
สตรีในทัศนะของศาสนาอิสลาม
และบรรดามุมิน(ผู้ศรัทธา)ชาย และบรรดามุมิน(ผู้ศรัทธา)หญิงนั้น บางส่วนของพวกเขาต่างเป็นผู้ช่วยเหลืออีกบางส่วน ซึ่งพวกเขาจะใช้ให้ปฏิบัติในสิ่งที่ชอบและห้ามปรามในสิ่งที่ไม่ชอบ และพวกเขาจะดำรงไว้ซึ่งการละหมาดและจ่ายซากาต(การให้ทาน) และภักดีต่ออัลลอฮฺ และรอซูล(ศาสนทูตหรือศาสดา)ของพระองค์ ชนเหล่านี้แหละอัลลอฮฺ จะทรงเอ็นดูเมตตาแก่พวกเขาแท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ (ซูเราะฮฺ อัต-เตาบะฮฺ อายะฮฺ ๙:๗๑)
อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงโปรดเอ็นดูเมตตาแก่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหญิงและชาย อย่างเสมอภาคอันทำให้ผู้หญิงประชาชาติอื่นๆ ทำการเรียกร้องสิทธิของตนเอง เพื่อให้ได้สิทธิเหมือนกับที่มุสลีมะฮฺ (สตรีในอิสลาม)ได้รับในอิสลาม บรรดาสตรีจำนวนมากจึงเข้ารับอิสลาม ในปัจจุบันนี้เราไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้ว่ามีการละเมิดสิทธิสตรีและการกดขี่อิสรภาพของสตรี เช่นในประเทศอุตสาหกรรมหรือประเทศที่มุ่งเน้นความสำเร็จทางเศรษฐกิจที่ใช้สตรีเป็นสินค้าหรือบริการ เพื่อต่อการเงินตราต่างประเทศ หรือไว้รับรองคนของตนในขณะที่อิสลามห้ามกดดันทาสหญิงให้ไปเป็นโสเภณี
ดังนั้น เมื่อทาสยังเป็นไม่ได้ และผู้เป็นไทก็ยิ่งต้องเป็นไปไม่ได้ สตรีจำนวนมากเมื่อมีอายุมากขึ้น และไม่สามารถให้สิ่งอันพึงปรารถนาทางร่างกายได้ พวกเธอจะถูกโดดเดี่ยวในบ้าน หรือสถานพยาบาล ศาสนาอิสลามห้ามทำการใดประหนึ่งแขวนนางไว้ สามีของนางต้องรับผิดชอบพวกนางอย่างดีที่สุด และไม่สามารถเปลี่ยนภรรยาเพียงเพื่อสนองความต้องการทางอารมณ์ เพราะอัลลอฮฺ (ซ.บ.)ไม่รักผู้ที่มักมากทางอารมณ์ และพระองค์ยังสั่งว่า การไม่ชอบภรรยาของตนเหมือนกับการไม่ชอบสิ่งที่ดีที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงประทานให้ แม้กระทั่งในเรื่องของการหย่าร้างฝ่ายชายต้องเลี้ยงดูฝ่ายหญิงและให้ค่าครองชีพแก่นาง โดยขณะที่ในประเทศตะวันตก บางกรณีฝ่ายหญิงต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูฝ่ายชายหลังการหย่าด้วย พวกเขาบอกว่า หญิงชายเท่าเทียมกันทุกเรื่อง
อิสลามให้สิทธิชายและหญิงเท่าเทียมกัน แต่หน้าที่แตกต่างกัน เพศหญิงได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นแม่ เป็นป้า เป็นพี่ เป็นน้องสาว ซึ่งเป็นหน้าที่ที่เพศชายไม่มีวันทำได้ เพราะมีหน้าที่แตกต่างกัน
ท่านศาสดามูฮำหมัด (ซ.ล.) ได้สอนว่า “สวรรค์อยู่ใต้ฝ่าเท้ามารดา” คำนี้สอนให้ชายและหญิงปฏิบัติต่อมารดาให้ดี เพราะสภาพของมารดาหรือสตรีต้องอยู่ในสภาพที่มีเกียรติและได้รับการปกป้องอย่างดี เราถึงจะพบสวรรค์ใต้ฝ่าเท้ามารดา เพราะหากเราปฏิบัติไม่ดีต่อสตรี ผู้มีหน้าที่เป็นแม่หรือแม่บุญธรรม ไม่เหมือนกับที่ท่านศาสดาได้สั่งเอาไว้ เราอาจไม่มีโอกาสพบสรวงสวรรค์ได้ แน่นอนขุมนรกคือที่พักพึงของผู้ที่ละเมิด
อบูฮุรอยเราะหฺ รายงาน ชายคนหนึ่ง ได้เข้าพบท่านศาสดามูฮำหมัด (ซ.ล.) และถามว่า “ท่านศาสนทูต(ศาสดา)ของอัลลอฮฺ ใครกันน่ะที่ฉันควรทำดีด้วยอย่างที่สุด” ท่านศาสดามูฮำหมัด (ซ.ล.)ได้ตอบว่า “ มารดาของท่าน” และเขาก็ถามต่อไปว่า “แล้วใครอีก” ท่านศาสดามูฮำหมัด (ซ.ล.) ตอบว่า “มารดาของท่าน” แล้วเข้าก็ถามอีก ท่านศาสดามูฮำหมัด (ซ.ล.) จึงตอบว่า “บิดาของท่าน” (รายงานโดย บุคคอรีและมุสลิม)
จะเห็นได้ว่า ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ(คือท่านศาสดามูฮำหมัด (ซ.ล.)) ได้ย้ำให้ผู้ศรัทธาทำดีต่อแม่ของเขามากที่สุดสามอันดับแรก แล้วอันดับที่สี่ถึงจะเป็นบิดาของเขา นั้นเป็นการสอนให้มนุษย์ซึ้งกับความรักของแม่ บุญคุณของแม่ และความอาทรของแม่ที่มีต่อลูกตลอดชีวิตของพวกนาง และในทำนองเดียวกันก็ให้แม่มีความภูมิใจที่ได้เป็นแม่และทำหน้าที่แม่อย่างดีที่สุด
การดูแลบิดามารดาให้ดีเท่ากับการทำญิฮาด (การต่อสู้ในหนทางของศาสนา) ดังนั้น สถานสงเคราะห์คนชราสำหรับมุสลิมผู้สูงอายุนั้นไม่มีความจำเป็น เว้นแต่ว่ามุสลิมจะลืมหรือละเลยคำสอนของท่านศาสดามูฮำหมัด (ซ.ล.)ไปแล้ว
อิบนุ ดินาร รายงานว่า ชายคนหนึ่งจากชาวเบดูอิน ได้พบกับอับดุลลอฮฺ บิน อุมัร ในระหว่างทางมักกะฮฺ อับดุลลอฮฺทักทายเขา และให้เขาขึ้นขี่ลาของอับดุลลอฮฺ และให้ผ้าคลุมศีรษะที่ใช้คลุมหัวเขาอยู่ให้แก่เขาด้วย ชายชาวเบดูอินคนนี้เป็นที่รักชอบพอของอุมัร บิน คอตต๊อบ ผู้เป็นบิดา แล้วอับดุลลอฮฺได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านศาสดามูฮำหมัด (ซ.ล.) พูดว่า : การกระทำที่ดีสุดในส่วนของบุตรคือการดูแลอย่างเมตตาแก่ผู้ที่เป็นที่รักยิ่งของบิดาของเขา
ศาสนาอิสลามสอนให้ทำดีมีเมตตาต่อสตรี เด็ก คนชราและญาติสนิทมิตรสหาย ผู้เดินทาง และสรรพสิ่งที่อัลลอฮฺ (ซ.ล.) ทรงสร้างขึ้น อันเป็นกฎแห่งสากลโลก เพื่อผดุงความเสมอภาคและยุติธรรมแก่มวลมนุษยชาติ ตลอดกาลนาน
สิทธิสตรีในอิสลาม
ในศาสนาอิสลามมองว่าผู้ชายและผู้หญิงต่างมีเกียรติศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกัน อัล-กุรอ่าน ได้กล่าวถึงความเท่าเทียมดังกล่าวไว้ในหลายๆ โองการในอัล-กุรอาน (อายะฮ์) ได้แก่
“ผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้น เราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขาที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยทำไว้” (๑๖: ๙๗)
“ผู้ใดที่กระทำความชั่ว เขาจะไม่ได้รับการตอบแทน เว้นแต่เยี่ยงเช่นนั้น และผู้ใดกระทำความดีจากเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม และเขาเป็นผู้ศรัทธาด้วย ชนเหล่านั้นแหละพวกเขาจะได้เข้าสวนสวรรค์ จะได้รับปัจจัยยังชีพในนั้น โดยปราศจากการคำนวณ” (๔๐: ๔๐)
“แท้จริงบรรดาผู้นอบน้อมชายและหญิง บรรดาผู้ศรัทธาชายและหญิง บรรดาผู้ภักดีชายและหญิง บรรดาผู้สัตย์จริงชายและหญิง บรรดาผู้อดทนชายและหญิง บรรดาผู้ถ่อมตัวชายและหญิง บรรดาผู้บริจาคทานชายและหญิง บรรดาผู้ถือศีลอดชายและหญิง บรรดาผู้รักษาอวัยวะเพศของพวกเขาที่เป็นชายและหญิงบรรดาผู้รำลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมากที่เป็นชายและหญิงนั้น อัลลอฮฺได้ทรงเตรียมไว้สำหรับพวกเขาแล้ว ซึ่งการอภัยโทษและรางวัลอันใหญ่หลวง” (๓๓: ๓๕)
และมีรายงานว่า ท่านศาสดามูฮำหมัด (ซ.ล.) กล่าวไว้ว่า “มนุษย์ทุกคนต่างมีความเท่าเทียมกัน (ท่านเปรียบเทียมความเท่าเทียมดังกล่าวดั่งก้านของหวี) คนอาหรับไม่ได้ดีกว่าคนที่ไม่ใช่อาหรับ คนผิวขาวไม่ได้ดีกว่าคนผิวดำ และผู้ชายไม่ได้ดีกว่าผู้หญิง ผู้ที่เป็นที่ชื่นชอบ ณ ที่อัลลอฮ (ซ.บ.) นั้นได้แก่ผู้ที่เกรงกลัวพระองค์และประกอบในคุณความดี”