ปัญหาเรื่องท้องวัยเรียน แก้ไม่ได้จริงๆค่ะ ขอคำแนะนำหลายๆแง่คิดทีนะค่ะ

ทำยังไงดีค่ะ ท้องได้ 5 เดือนแล้ว แต่ยังไม่บอกพ่อกับแม่ คือพี่สาวและน้ารู้เรื่องนี้แล้ว และไม่อยากจะบอกพ่อแม่เพราะกลัวว่าเค้าจะเครียดเพิ่ม เพราะตอนนี้เครียดอยู่เป็นร้อยเท่าแล้ว และแม่คอยบอกว่า อย่าทำให้ผิดหวัง เหมือนแม่ทุกๆคนที่คอยบอกคอยสอนลูกแหละค่ะ และแม่ก็บอกว่าอย่าให้แม่มาเครียดเรื่องผู้ชายนะมีไรต้องบอก เพราะยังไงคนเสียใจก็คือแม่ และแม่จะเสียใจมากเพราะเชื่อใจ ตอนนี้ที่บ้านเครียดมากค่ะเรื่องปากท้อง ลูกในท้องก็โตขึ้นทุกวัน อยากจะตัดปัญหาโดยการทำแท้งเคยคิดนะค่ะ แฟนรับผิดชอบค่ะ แต่ที่บ้านไม่มีใครยอมรับแฟน และถ้ารู้ว่าท้องกับคนนี้ ลูกคงไม่มีใครรับแน่ๆ จะหนีก็เป็นการสร้างปัญหา ต้องบอกท่านไปตรงๆใช่มั้ยค่ะ ไม่อยากทำแท้งเลย รักลูกมาก เค้ามีชีวิตแล้วดิ้นแล้ว เวลาเราเครียดเค้าจะดิ้นเหมือนจะทำให้เราหัวเราะ ไม่อยากทำร้ายชีวิตเค้า แต่เราก็ต้องเลือกพ่อกับแม่และก็เรียน พี่เราเค้าก็บอกว่าคิดดีๆ ทำให้พ่อแม่เสียใจมาเยอะแล้ว เรียนไม่จบไปปีนึงแล้ว ตอนนี้ ปี3 ปวช. อีกเทอมครึ่งก็จะจบแล้ว ทำยังไงดีค่ะ มีไรกันแค่ครั้งเดียวเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แค่ครั้งเดียวและป้องกันทุกอย่างและไม่เคยมีไรกันเลยจากนั้นมา ต้องบอกพ่อแม่อย่างเดียวใช่ไหม แล้วจะเริ่มต้นบอกยังไงดีค่ะ ไม่อยากให้ท่านเสียใจ แต่ท่านก็ต้องเสียใจหนักมากแน่ๆ ไปแก้ที่ต้นเหตุไม่ได้แล้ว ไม่อยากให้พ่อแม่เสียใจและผิดหวัง ไม่อยากทำร้ายลูก อยากเรียนให้จบเพื่ออนาคตที่พ่อแม่คาดหวังและเลี้ยงเรามา มืดไปหมดแล้วค่ะ ไม่อยากปรึกษาพี่ และน้าเพราะเค้าก็เครียดของเค้า ปรึกษาแฟน แฟนก็บอกอย่าเครียดจะรับผิดชอบทุกอย่างและอย่าเอาลูกออกเด็ดขาดจะมาคุยกับแม่เราให้ได้ เคยตั้งไปกระทู้นึงแล้ว มาตั้งอีกเพราะแก้ปัญหาไม่ออกเลยจริงๆ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 18
อมยิ้ม14..เรื่องผู้หญิงที่พลาดพลั้งท้องไส้ขึ้นมา ในขณะที่ยังไม่ได้แต่งงานแต่งการกับแฟน
มันมีมาช้านานแล้วนะหนู ..ไม่ใช่เรื่องราวแปลกใหม่อะไรในสังคม
..เพราะไม่ใช่แค่ชาวบ้านร้านตลาด คนเดินดินกินข้าวแกงอย่างเราๆ ..
ขนาดดารา นักร้อง เซเลบคนดัง ..ก็มีปัญหาแบบนี้ ให้เห็นเป็นระยะๆ ..หนูคงไม่ได้ตกข่าว ซะจนไม่เคยรับรู้เรื่องราวพรรค์นี้ในสังคมหรอกมั้ง
หรือแม้แต่คนรอบตัว คนใกล้ตัว คนในสังคม ในชุมชน ที่หนูอยู่ ..มันก็ต้องมีตัวอย่าง มีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นบ้างล่ะน่า ..

เพียงแต่หนู ไม่เคยคิดว่าเรื่องพรรค์นี้ มันจะมาเกิดขึ้นกับตัวหนูเองไง
..หนูเลยดำเนินชีวิตอยู่บนความประมาท
จนวันนี้ ต้องมานั่งงง สับสน หาทางออกให้กับชีวิตไม่เจอ

ทางแก้ปัญหา ..อย่าพยายามคิดให้วุ่นวายเลยหนู ว่ามันจะมีทางเลือกมากมายนัก
มันแทบจะเป็นสูตรสำเร็จซะด้วยซ้ำ  เพราะชีวิตจริง บางทีก็ยิ่งกว่าละครหลังข่าว .. บางทีก็ไม่ได้สวยหรู ดั่งเทพนิยายในฝัน

..แต่ทั้งนี้ มันก็ขึ้นอยู่กับบุญทำ กรรมแต่ง ของหนูเองด้วยแหละ ว่า..
1. พ่อแม่หนู ท่านจะทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกสาวท่านได้ดี มากน้อยแค่ไหน และจะมีปฏิกิริยายังไงกับเหตุการณ์นี้
ซึ่งน้าไม่อาจพยากรณ์ให้ได้ ..หนูเกิดเป็นลูกพ่อลูกแม่หนูมา 19 ปี ..ควรรู้จักนิสัยใจคอของพ่อแม่ตัวเอง ดีกว่าคนอื่นนะ

2. แฟนหนู ..พ่อของเด็กที่กำลังจะเกิดมา ..หนูก็ยังคิดอยู่ไม่ใช่เหรอ ว่าเค้าก็ยังเด็ก พอๆ กับหนู ..ยังไม่มีความรับผิดชอบ
ยังติดเพื่อน ติดเล่น ยังแบมือขอเงินพ่อแม่ใช้อยู่เลย .. และรับผิดชอบตัวเอง ก็ยังไม่ได้
..แต่ตอนนี้ เค้าทำให้เด็กคนหนึ่งเกิดขึ้นมาบนโลกนี้แล้ว จะรู้จักปรับปรุงตัว ทำตัวให้ดี เหมาะจะเป็น "พ่อคน" ได้มั้ย
หรือมีปัญญาแค่เป็นผู้บริจาคสเปิร์ม ?
หรือจะสามารถจริงใจ จริงจังกับหนูคนเดียว ไปได้ตลอดรอดฝั่ง ..หรือไม่ ประการใด ..ก็คงต้องดูกันต่อไปยาวๆ ค่ะ

3. พ่อแม่ของแฟนหนู ..พวกท่านจะทำใจยอมรับลูกสะใภ้ และหลานที่กำลังจะเกิดมาได้มั้ย ?
อันนี้ พยากรณ์ยากกว่าให้เดาความคิดพ่อแม่ของหนูซะอีก  ..หนูไปลุ้นเอาเองละกัน

4. อนาคตทางการศึกษา อนาคตในหน้าที่การงานของหนูเอง ..จะอยู่ตรงไหน จะไปได้ถึงไหน
หนูและคนรอบข้างหนูเท่านั้น ที่จะทำให้มันเกิดขึ้น และกำหนดทิศทางว่าจะไปยังไงต่อ
เพราะผู้หญิงบางคน พอท้อง ..ก็เลิกเรียน กลายเป็นแม่บ้านเต็มเวลา อยู่บ้าน รอขอเงินจากสามีใช้
..ไม่มีความรู้ ไม่มีอาชีพ ไม่มีความสามารถในการหารายได้ เลี้ยงดูตัวเองไม่ได้
ตกอยู่ในสภาพ "เบี้ยล่าง" ที่ไม่มีอะไรไปต่อรองเค้าได้เลย

5. อนาคตของชีวิตคู่ของหนูกับแฟนคนนี้ ..จะไปด้วยกันได้นานแค่ไหน
ซึ่งไม่อาจพยากรณ์ได้เช่นกัน  

ดังนั้น โดยสรุป ..หนูอย่ามัวนั่งงง อย่ามัวเวิ่นเว้ออยู่ ว่าแก้ปัญหาไม่ได้  ..เพราะที่จริง ทางมันมีให้เดิน แต่หนูไม่กล้าก้าวขาเดินต่างหากล่ะ

..หนูต้องรีบยอมรับให้ได้ว่า มันย้อนเวลาไปแก้ไขเหตุการณ์ในเดือนแห่งความรักไม่ได้แล้ว ..และอีกแค่ไม่กี่เดือน ลูกหนูก็จะลืมตาขึ้นมาดูโลกแล้ว
เป็นแม่คน มันไม่ใช่สักแต่คลอดเด็กออกมาหรอกนะหนู ..หนูต้องคิดให้ได้แล้ว
และเพื่อความไม่ประมาท ..หนูเตรียมตัว เตรียมใจ ยอมรับกับผลลัพธ์ที่หนูกำลังจะได้เผชิญหน้า ..จะดีกว่าค่ะ

เผื่อหนูยังงงกับชีวิต น้า list ให้ดังนี้ละกัน
..เรื่องแรก คือฝากครรภ์ ซึ่งหวังว่าหนูคงได้จัดการเรียบร้อยแล้ว
ถ้ายัง ก็ไปให้ไวเลยนะคะ

ต่อมา ให้แฟนพาไปพบพ่อแม่เค้าก่อน ..ในฐานะที่หนูกำลังอุ้มท้องหลานปู่ หลานย่าของพวกท่าน
แล้วดูปฏิกิริยาจาก "ว่าที่พ่อผัว-แม่ผัว" ..ว่าตอบรับลูกสะใภ้ดีแค่ไหน

ผ่านด่านพ่อผัว-แม่ผัว ..ก็จูงมือกันไปบอกพ่อแม่หนู เพราะตอนนี้อย่างน้อย หนูก็ได้รู้ feed back ของทางฝั่งแฟนแล้ว ว่ารับได้ หรือรับไม่ได้
อย่างน้อย ทางแฟนหนู ก็พูดได้เต็มปากว่า ทางเค้าสามารถดูแลหนูได้ ( ถ้าพ่อแม่เค้า รับได้นะ )
หรือถ้าพ่อแม่เค้าปฏิเสธความรับผิดชอบ ..พวกหนูก็จะรู้ตัว ว่าต้องหวังพึ่งความกรุณาจากพ่อแม่ของหนู มากแค่ไหน

..แต่ถ้าพ่อแม่หนูสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง มีโรคประจำตัว เช่น หัวใจ ความดัน หรือตกใจไม่ได้
ก็อย่าจู่โจมไปนะ ..ส่งตัวแทน เช่น ลุงป้าน้าอา เข้าไปเคลียร์พื้นที่ก่อน ..หรือรอให้พ่อแม่หนู หายตกใจ หายเสียใจ หรือหายโมโหซะก่อน  
ค่อยพากันไปกราบท่าน

แต่อย่ากลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับความจริง ..การเข้าไปกราบขอขมา ที่ทำในสิ่งที่ไม่สมควรกระทำไปแล้วนั้น
..อย่างน้อย ก็เป็นการแสดงออกว่าพวกหนูรู้ตัวแล้วว่าทำผิดพลาดลงไป
แต่..ชีวิตมันต้องก้าวเดินต่อไป ..จะมัวมาฟูมฟายกับความผิดพลาดไม่ได้แล้วล่ะค่ะ

ถ้าถึงจุดนี้ พวกหนูก็จะสามารถประมวลผลจากการเข้าพบผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่ายดูได้ ว่าผลลัพธ์เป็นเชิงบวกหรือเชิงลบ
และจากฝั่งไหน เป็นยังไง

..มีไม่น้อย ที่พ่อแม่ฝ่ายหญิงรู้สึกอับอายขายขี้หน้า ไม่กล้าบอกใครว่าลูกสาวชั้นเรียนไม่จบ ดันท้องโตซะก่อน
เค้าก็จะให้ไปอยู่กับทางพ่อแม่ผู้ชายซะ ..เพราะคงอายน้อยกว่า ที่ลูกชายไปทำผู้หญิงท้อง
..แต่ลูกสาวตัวเอง ต้องไปลุ้นกับแม่ผัว ..ว่าจะมีปัญหาสุดคลาสสิค ..แม่ผัว vs ลูกสะใภ้ ..กันมั้ย ??
และไม่ใช่พ่อแม่ฝ่ายชายทุกคน จะต้องยอมรับสภาพ ..ตกกระไดพลอยโจน ..ที่ลูกชายไปทำผู้หญิงท้อง
บ้างก็เรียกให้ไปตรวจ DNA พิสูจน์ก่อนด้วยซ้ำ ..

เรื่องการเรียน หนูก็ดูนโยบายของสถานศึกษาละกันค่ะ ว่าเค้ายอมให้หนู ดรอปไว้ก่อนมั้ย
..แต่ยุคนี้ละ ..ผู้บริหารสถาบันการศึกษาคงทำใจได้บ้างแล้วล่ะ ว่าไม่ควรปิดโอกาสทางการศึกษาของเด็กผู้หญิงที่พลาดพลั้งไปแล้ว

ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวหนูเองแล้วล่ะ ว่ายังรักที่จะเรียนมั้ย
..ถ้าคิดได้ว่า หากตัวเองมีความรู้แค่หางอึ่ง ต่อไปกาลข้างหน้า หากต้องทำมาหากิน เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงลูก ..คงจะไม่อาจหางานการดีๆ เงินเดือนพอใช้จ่ายได้
หากมีวุฒิการศึกษาแค่ ม.3
ก็จงอย่าเกียจคร้านการเรียนเร่งอุตส่าห์..นะหนู
..อย่ามัวหลงใหล มัวเมาไปกับการใช้ชีวิตแบบคู่ผัวตัวเมีย หรือมัวหึงหวงกันซะจนไม่เป็นอันเรียนอีกล่ะ
เพราะถ้ามาคิดได้ทีหลัง ..ตอนอายุมากขึ้น ตอนมีลูกยั้วเยี้ย ตอนมีหนี้สินรุงรัง ตอนที่ไม่รู้ว่าตัวเองมีความรู้ ความสามารถอะไร ..จะทำมาหากินยังไง
มันจะพากันตายหมู่..นะหนู

ส่วนเรื่องชีวิตคู่ หนูจะประคองความรักกันไว้ได้นานแค่ไหน ..มันขึ้นอยู่กับหนูกับแฟน ..ที่ต้องไปจัดการชีวิตตัวเองค่ะ
เรื่องนี้ น้าจะไม่ยุ่ง ^^

และสุดท้ายค่ะ .. คนเรามันต้องรู้จักเรียนรู้ จากความผิดพลาดนะหนู ..
อย่าทำผิดซ้ำซากในเรื่องเดิมๆ ..อย่าให้มันกลายเป็น "วงจร" ที่ลูกหลานมาทำผิดพลาดตามอีก
..เมื่อเราไม่อาจย้อนเวลาไปแก้ไขอดีตได้ ..สิ่งที่หนูจะทำได้ ดีที่สุดในยามนี้ คือ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
เพื่อไปรับผลที่ดี ในอนาคตค่ะ

คงได้แต่ขอให้หนูผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ด้วยดีละกันนะคะ
ด้วยความปรารถนาดีค่ะ ดอกไม้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่