12 Days in Ladakh : The Utterly Beautiful Road (Manali-Leh)




          ทริปนี้เป็นทริปที่เกิดจากการเปลี่ยนแผนกระทันหัน ตอนแรกผมแพลนไว้ว่าจะไปเทรกกิ้งที่ ABC ช่วงปลายปีนี้ แต่ปรากฏว่ามีเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เนปาลซะก่อนเลยทำให้เพื่อนร่วมทริปที่คุยๆกันไว้ว่าจะไปด้วยกัน หนีหายไปหมด ต้องคิดทริปใหม่ สุดท้ายก็เลยมาจบที่ Leh-Ladakh และก็ได้เพื่อนร่วมทริปเป็นรุ่นพี่ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักกันมาก่อนอีก 4คน ตอนแรกที่วางแผนไว้ กะว่าจะนั่งเครื่องทั้งไปลง Delhi และต่อเครื่องไป Leh ทั้งไปและกลับ แต่พอไปดูราคาตั๋วเครื่องบินช่วงนั้นแล้วคือแบบว่า...แพงมากกกกก เลยไปนั่งหารีวิวอ่าน+หาข้อมูลเพิ่ม ก็เลยไปเจอกับเส้นทางสาย Delhi-Manali-Leh ซึ่งต้องใช้เวลาถึงสองวันโดยการนั่งรถ มากกว่าการนั่งเครื่องบินที่ใช้เวลาแค่ 1ชม.20นาที ก็ถึง Leh แล้ว แต่ทุกบทความพูดถึงถนนเส้นนี้ว่าเป็นเส้นที่สวยมากกกกกกกก เลยตัดสินใจนั่งรถลุยไปตามถนนสาย Delhi-Manali-Leh แล้วค่อยนั่งเครื่องบินกลับแทน


          วันแรก ออกเดินทางจากประเทศไทยโดยสายการบิน Air India flight 8.50น. ตามตารางแล้วจะต้องถึง Delhi ประมาณ 12.30น. ตามเวลาท้องถิ่น (เวลาที่อินเดียจะช้ากว่าไทย 1ชม.30นาที) แต่ปรากฏว่าถึงค่อนข้างเร็ว 11.30น.ก็ถึง Delhi แล้ว หลังจากรับกระเป๋าก็ออกมาหาเพื่อนร่วมทริปอีก 2คน ที่มาล่วงหน้าก่อน 1วัน(เพราะตั๋วเครื่องบินถูกกว่า) มีเวลาประมาณ 4ชม. ก่อนที่จะต้องไปขึ้นรถไป Manali เลยพอได้เที่ยวใน Delhi นิดหน่อย

ที่แรกที่ไปคืออาคารรัฐสภาอินเดีย ซึ่งสามารถขับรถวนเข้าไปชมได้แต่ไม่เปิดให้เข้าไปด้านใน


          ที่ต่อมาคือ India Gate สร้างเพื่อระลึกถึงทหาร  82,000คน ที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อยู่ไม่ไกลจากรัฐสภา บริเวณนี้มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ ทั้งคนต่างชาติ หรือคนอินเดียเองที่มานั่งปิคนิคบริเวณสวนสาธารณะรอบๆ



          จากนั้นก็ไปรอขึ้นรถเพื่อนไป Manali ซึ่งรถที่นั่งไปนั้นจะเป็นรถ Bus (Volvo A/C) มีชั้นเดียว และไม่มีห้องน้ำ เบาะปรับเอนนอนได้ เอาเป็นว่านครชัยแอร์ที่บ้านเรานี่โคตรหรูไปเลยครับ บนรถส่วนมากจะเป็นนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางไป Manali มีหลากหลายเชื้อชาติ แนะนำว่าให้หาเพลงไปฟัง ใส่หนังใน ipad ให้เต็ม เพื่อฆ่าเวลาบนรถทัวร์ เนื่องจากถ้าใครคิดจะมาเส้นทางนี้ หนทางคืนนี้ยังอีกยาวไกลนัก... (รถทัวร์มีแวะให้พักกินข้าว 1 ครั้ง ประมาณ 4ทุ่ม หลังจากนั้นยิงยาวจนถึง Manali เลย)
          หลังจากนั่งรถทัวร์มา 15ชม.เต็ม!!! ก็มาถึง Manali เมืองท่องเที่ยวอีกเมืองหนึ่งซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2050ม. ซึ่งเป็นทางผ่านเพื่อไปยัง Leh และจากข้อมูลที่ได้(มาแบบผิดๆ) ได้ความว่าจากที่ลงรถ สามารถเดินต่อไปตาม Mall Road ซึ่งเป็นถนนสายหลักของเมือง เพื่อไปยังโรงแรมที่อยู่เลย Mall Road ออกไป แต่ปรากฏว่าจากที่ลงรถนั้นเดินมาได้ กิโลกว่าๆ เพิ่งจะถึง Mall Road และต้องเดินจาก Mall Road ต่ออีกประมาณ 5นาทีถึงจะถึงที่พัก

หลังจากเก็บของพักผ่อนเล็กน้อย ก็ออกมาเดินเล่นบริเวณ Mall Road เป็นย่านการค้าของที่นี่



          หลังจากเดินเล่น + หาข้าวกินเรียบร้อยพวกเราก็วางแผนจะเที่ยวในตัวเมือง Manali เลยเข้าไปสอบถามใน Tourist information center อยู่บริเวณใจกลางถนน Mall Road จริงๆตอนแรกกะจะเดินเที่ยวกันเอง เนื่องจากใน Manali มีโซนที่เป็น Old Manali ซึ่งมีวัดอยู่หลายแห่งให้เที่ยว แต่พอเข้าไปถามข้อมูล พวกเราจึงตัดสินใจเหมารถขึ้นไปเที่ยว Solang Valley ต้องนั่งรถออกจากเมืองไปประมาณ 15นาที หลังจากนั้นค่อยกลับเข้ามาเที่ยววัดในตัวเมืองต่อ

Solang Valley ด้านในมีกระเช้าให้นั่งขึ้นไปชมวิวด้านบน หน้าหนาวจะเป็นลานสกีหิมะ



หลังจากกลับจาก Solang Valley เราก็เข้ามาเที่ยววัดในเมืองต่อที่ Hidimba temple ใน old Manali




หนึ่งในความสามารถพิเศษของคนอินเดียคือสามารถขับรถสวนกันบนถนนเลนเดียวได้



          หลังจากกลับมาจากเที่ยววัด ก็เข้ามาเดินเล่นต่อที่ Mall Road เป็นย่านการค้าของเมือง มีร้านขายของค่อนข้างเยอะ ถ้าใครลืมเอาอุปกรณ์กันหนาวอะไรมาก็มาหาซื้อเอาแถวนี้ก็ได้ หลังจากกกินข้าวเย็น เดินเล่น ช้อปปิ้งก็กลับที่พัก พักผ่อนเตรียมออกเดินทางวันพรุ่งนี้

          วันที่สาม วันนี้นัดคนขับรถไว้ที่โรงแรมตอน 8โมง การเดินทางจาก Manali ไป Leh มีระยะทางประมาณ 475กม. ถ้าเทียบกับเมืองไทยก็ประมาณว่าขับรถจากกรุงเทพไปขอนแก่น แต่ทางที่นี่โหดกว่าเยอะ ความเร็วใช้ได้ไม่มาก ส่วนมากเป็นทางขับขึ้นลงเขาเลียบหน้าผา ถ้าจะให้ขับรวดเดียวถึงเลยอาจใช้เวลาเป็น 10ชม. เป้าหมายของเราวันนี้คือไปพักที่ Keylong ห่างจาก Manali ประมาณ 117กม. ใช้เวลาประมาณ 4-5ชม.ถ้าขับรถเรื่อยๆไม่จอดแวะบ่อย
          8โมงตรง คนขับรถก็มารอหน้าโรงแรม คนขับรถเราชื่อ Tsering ดูหน้าตาน่าจะอายุประมาณ 32 แต่อายุจริงแค่ 23 ล้อหมุนประมาณ 8โมงครึ่ง

ช่วงแรกทางยังค่อนข้างดี แต่ก็เป็นทางขับขึ้นเขาพอให้หวาดเสียว วันนี้หมอกค่อนข้างเยอะมองไปทางไหนก็เห็นแต่หมอก



พอถึง Rohtang pass คนขับรถก็จอดรถให้ลงไปชมวิว แต่วันนี้ไม่เห็นมีวิวให้ชม เพราะวันนี้มีแต่หมอก หมอก หมอก แล้วก็หมอก ตอนแรกไม่ได้หยิบเสื้อหนาวลงไปด้วย หลังจากเดินไปได้ประมาณ 5นาทีต้องรีบกลับมาเอาเสื้อหนาวในรถ เพราะบนนั้นลมแรงมากกกกกก และมองแทบไม่เห็นอะไรเลย




หลังจากผ่าน Rohtang pass ฟ้าเริ่มเปิด เพิ่งจะได้เห็นสีฟ้าของท้องฟ้าเป็นครั้งแรกของวัน




วิวสองข้างทางจะเป็นภูเขาเขียว บริเวณยอดมีหมอกปกคลุม และจะเห็นธารน้ำแข็งที่ไหลลงจากยอดเข้าได้ประปรายตามทาง ทางช่วงนี้ก็ยังขับเลียบหน้าผา ถ้าใครเมารถแนะนำให้กินยาแก้เมารถแล้วหลับไปเลยดีกว่า แต่ก็อาจจะพลาดโอกาสเห็นวิวสวยๆได้นะครัชช



          และแล้วก็ถึง Keylong ใช้เวลาไปทั้งสิ้น 8ชม.พอดีเป๊ะ (จากที่ประมาณไว้ 4-5ชม.) วันนี้จอดแวะถ่ายรูปค่อนข้างเยอะ(จอดแวะกันประมาณ 7ครั้ง รวมกินข้าวเที่ยง) ทุกคนตื่นเต้นกับวิวอลังการสองข้างทาง ไม่มีใครยอมหลับเลยซักคน Keylong เป็นเมืองเล็กๆ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 3,080ม. ตอนนี้ทุกคนเริ่มรู้สึกเหนื่อยง่ายขึ้น แค่เดินขึ้นบันได้โรงแรมสามชั้นก็เริ่มจะหายใจไม่ทันละ หลังจากเก็บของเสร็จก็ลงไปเดินเล่นในตัวเมือง ไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าเป็นเมืองหรือเป็นหมู่บ้านดี เพราะเดินได้ประมาณ 15นาทีก็ทั่วแล้ว ร้านค้าก็มีไม่มาก พอมีร้านขนมให้ซื้อเสบียงตุนสำหรับวันพรุ่งนี้

วิวจากดาดฟ้าโรงแรม ถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขา




          วันที่สี่ ตื่นเช้ามาด้วยอาการปวดหัว มากัน 5คน ปวดหัวกันไป 4คน (แนะนำให้กินน้ำ+กินยาแก้ปวดหัว+นอนพักอาการจะดีขึ้น) เนื่องจากวันนี้ต้องเดินทางอีกไกล เลยต้องรีบออกแต่เช้า จากที่เมื่อวานประมาณไว้ 4ชม. เดินทางจริง 8ชม. วันนี้จาก Keylong ไป Leh ระยะทางประมาณ 358กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7ชม. เลยอาจจะไม่ได้มีเวลาแวะถ่ายรูปเยอะเหมือนเมื่อวาน

วันนี้ถนนก็จะคล้ายๆกับเมื่อวาน เป็นถนนลูกรัง ขับขึ้น-ลงเขาเลียบหน้าผา



หลังจากผ่าน Sarchu มาภูมิประเทศเริ่มเปลี่ยนไป จากภูเขาที่เต็มไปด้วยสีเขียวก็จะกลายเป็นภูเขาสีแดงจากหินดินทรายมากขึ้น






          ทางวันนี้โหดกว่าเมื่อวานค่อนข้างมาก อีกทั้งทุกคนยังมีอาการปวดหัวตั้งแต่ตื่นนอน อาจจะเป็นเพราะยังไม่ชินกับที่สูงขนาดนี้ หลังจากนั่งรถมาได้ประมาณครึ่งทาง ก็มาแวะพักกินข้าวเที่ยงที่ Pang ทุกคนหมดสภาพ ทั้งปวดหัวทั้งเวียนหัว ไม่รู้ว่าเป็นจาก Acute Mountain Sickness หรือเมารถกันแน่ 5555+  หลังจากได้กินข้าวกินน้ำ และชานมคนละแก้ว (Chai = เป็นน้ำชาพื้นเมืองของคนอินเดีย ลักษณะเหมือนชานมบ้านเราแต่จะมีกลิ่นขิงหน่อยๆ)  อาการเริ่มดีขึ้นมีแรงนั่งรถไปกันต่อ

หลังจากผ่าน Pang มา เพิ่งจะเจอถนนที่เรียกได้ว่าเป็นถนนครั้งแรก เป็นถนนลาดยางมีสองเลน ไม่ต้องลุ้นเวลามีรถสวนกัน



          แต่ถนนลาดยางก็มีได้ไม่นาน ก็ต้องกลับมาไต่เขากันต่อ หลังจากผ่าน Pang เราก็จะได้ผ่านถนนที่สูงเป็นอันดับสองของโลกที่รถวิ่งขึ้นไปได้ นั่นคือ Taglang La Pass ที่มีความสูงประมาณ 17,592ฟุต หรือประมาณ 5,328ม. เหนือระดับน้ำทะเล บริเวณนี้อากาศค่อนข้างน้อย เดินสามก้ามก็ต้องหยุดหายใจลึกๆซักพักนึงถึงจะเดินต่อได้ แค่ก้มลงถ่ายรูปเวลาลุกขึ้นมาจะรู้สึกเวียนหัวเหมือนจะหน้ามืดได้ แนะนำให้ค่อยๆเดิน หายใจเข้าออกลึกๆ อย่าซ่าเพราะอาจเป็นลมวูบไปได้ทุกเมื่อ


แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่