คุณเคยตกหลุมรักใคร แบบบังเอิญ แอบมองเขาเป็นปี โดยที่ไม่รู้จักเขาเลยมั้งไหม? .. ฉันเป็น 1 ในนั้น
สวัสดีชาวพันทิปทุกคนที่หลงเข้ามากระทู้นี้
ฉันเป็นชะนีตัวกลม หน้าบ้านๆคนนึง เป็นมนุษย์เงินเดือนที่ต้องตื่นแต่เช้าไปทำงาน เป็นแบบนี้ทุกวันวนเวียนไป พิเศษตรงที่ว่า ฉันพึ่งถูกลอยแพจากแฟนเก่ามาประมาณครึ่งปี การใช้ชีวิตใจตอนนั้นของฉันก็คือการหลุดออกจากโลกภายนอกไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ใช้ชีวิตไปวันๆ กิน เที่ยว ช๊อป ถ่ายรูป ออกกำลังกาย ฟังเพลง บลาๆๆๆ คนเดียวไปวันๆ โดยไม่สนใจใคร ถามว่า [อ่าว แล้วแกไม่มีเพื่อนเร๊อะ..เพื่อนอ่ะมีแต่มันมีแฟนมีหน้าที่ของแต่ละคน นานๆถึงจะเจอกันที] ในใจฉันตอนนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องความรักอะไรเลย นอกจากดฟกัสเรื่องงานที่กำลังไปได้ดี ปล.ไม่ได้เข็ดกับความรักนะ แค่รู้สึกว่าพอได้อยู่ตัวคนเดียวมันก็ดีไม่ใช่น้อย
จนมาวันนึงที่ทำให้ชีวิตฉันเปลี่ยนไป .. เรื่องมันมีอยู่ว่า .. ฉันเป็นคนๆนึงที่อาศัยการนั่งรถไฟชานเมืองและเรือข้ามฝากไปทำงาน (ดูโบราณเนอะนั่งรถไฟไปทำงาน) เป็นอย่างงี้ทุกวันตลอด 2 เดือนที่เริ่มงานใหม่ เวลาขึ้นรถไฟนั่งเรือมาทำงาน ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากฟังเพลง และนั่งดูบรรยากาศริมทางรถไฟไปเรื่อยๆ จนถึงวันนั้น วันที่ฉันได้พบใครบางคนที่ฉันไม่เคยรู้จัก ฉันบังเอิญได้พบเขาบนเรือข้ามฝากแม่น้ำเจ้าพระยา ในวันนั้นเป็นเช้าอากาศดีในช่วงต้นฤดูหนาว ผู้คนมากมายที่ท่าเรือ ในขณะที่ทุกคนต่างเร่งรีบขึ้น-ลงเรือโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เอาแต่สังคมก้มหน้า มีคุณยายคนนึงอายุมากแล้ว ถือของพะรุงพะรัง กำลังจะก้าวขึ้นเรือที่กำลังจะห่างจากโป๊ะ ดูแลน่าอันตราย ทันใดนั้นก็ได้มีผู้ชายคนนึง เดินมาจากท้ายเรือเพื่อไปช่วยคุณยายคนนั้น (นั้นคือความประทับใจแรก) เขาเป็นคนหน้าตาธรรมดา ผิวเข้ม ตัวเล็ก ใส่แว่น แต่งตัวก็ดูง่ายๆ เสื้อเชิ้ต กางเกงยีน กระเป๋าสะพายข้าง รองเท้าผ้าใบ โดยรวมแล้วไม่ได้ดูมีเสนห์อะไร แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่น คือเขาดูเหมือนฉัน ดูเงียบๆ ไม่รีบ ไม่เร่ง ไม่ก้มหน้า ไม่สนใจคนรอบข้าง เอาแต่นั่งมองบรรยากาศรอบตัว
หลังจากนั้นฉันก็เริ่มเจอเขาบ่อยขึ้น ฉันจะเจอเขาทุกเช้าวัน จ-ศ ประมาณ 8 โมง ที่ท่าเรือทุกวัน เราจะนั่งเรือข้ามฝากไปขึ้นที่เดียวกันตลอด ฉันจะแอบมองเขา โดยที่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม รู้แค่ว่าทุกครั้งที่มองเขา เหมือนเรามีเพื่อนในโลกของเราเพิ่มขึ้นมาอีกคน จนหลังๆมา เขาคงรู้ตัวว่าฉันมองเขาบ่อย เขาเริ่มยิ้มให้ฉัน แต่ด้วยความที่ฉันเป็นชะนีอ้วนๆหน้าบ้านๆ แถมยังไม่แต่งหน้า คนนึงที่ไม่มีความมั่นใจอะไร เลยไม่กล้ายิ้มตอบ เพราะไม่แน่ใจว่าเขายิ้มให้คนอื่นรึป่าว ในทุกๆเช้าฉันจะรีบมานั่งรอเขาที่ท่าเรือ เพื่อที่จะได้เจอและลงเรือลำเดียวกัน เอาจริงๆที่ฉันทำแบบนี้ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะจีบเขานะ ไม่ได้อยากจะเข้าไปทำความรู้จักเขาด้วย แค่รู้สึกว่า ทุกครั้งที่มองเขาเหมือนเราได้เหมือนเราได้รู้จักเพิ่มขึ้น ได้เห็นเขาในมุมต่างๆ เขาชอบทำอะไรเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบไม่ต้องเร่ง ไม่ต้องแย่ง ไม่เล่นมือถือ ชอบยิ้มอ่อน พอมองไปเจออะไรที่ดูสบายใจ เขาก็จะอมยิ้ม เวลามองเขาแล้ว รู้สึกเหมือนฉันได้ใช้ชีวิตช้าๆตามเขาไป
หลังจากที่ฉันอยู่กับความเหงามาครึ่งปี และแอบมองผู้ชายที่ไม่เคยรู้จักมาเดือนกว่า ฉันก็เริ่มทบทวนกับตัวเองว่า ฉันกำลังทำอะไรอยุ่ นี่ฉันเหงา หรือฉันแค่ต้องการใครสักคน เช้าวันนั้น ขณะที่รอรถไฟ คลื่นวิทยุที่ฉันชอบฟังบ่อยๆ เปิดเพลง รักแรกพบ ของ Tattoo Colour บวกกับบรรยากาศหนาวๆในตอนเช้า มันช่างเหงาอะไรขนาดนี้ ในตอนนั้นรถไฟมาพอดี ฉันขึ้นรถไฟไป สายตาก็ต้องไปพบกับ ผู้ชายใส่แว่นคนนึงที่เขาก็กำลังมองมาที่ฉันพอดี [เพลงขึ้น ! มีจริงหรือ รักแรกพบเพียงสบตาแค่หนึ่งครั้ง แค่แรกเห็นเดินผ่านมา ไม่พูดจา ไม่ทัก ไม่ทาย ไม่รุ้ว่าใคร เหตุใดจึงรักกัน] นี่มันเรื่องจริงป่ะเนี้ย ตลอดเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา ที่นั่งรอเจอเขาที่เรือข้ามฝาก ที่จริงแล้วเขาขึ้นรถไฟมาทำงานพร้อมฉันตลอด นี่มันพรหมลิขิตชัดๆ บ้าจริงง!!
พอฉันรู้ว่าฉันจะได้เจอเขาทุกเช้าบนรถไฟ ต่อให้ต้องตื่นเช้าเพื่อไปให้ทันรอบรถไฟแค่ไหน ฉันก็ยอม บางครั้งรถไฟเสียเวลา ทำให้รถไฟที่เป็นสายชานเมืองมาก่อน ฉันก็ไม่ขึ้น ฉันจะรอขึ้นรถไฟอีกขบวนที่เขานั่งมา หรือ บางวันที่ฉันตื่นสาย ต้องวิ่งตามรถไฟ เพื่อที่จะขึ้นให้ทันฉันก็ยอม โคตรบ้าอ่ะ (บอกกับตัวเอง) แต่เอาจริงทุกครั้งที่เจอเขามันทำให้เรามีความสุข เวลาลงรถไฟจะไปต่อเรือข้ามฝาก ระยะทางประมาณ 2 กิโล คนส่วนใหญ่ จะนั่ง 2 แถวไปลงท่าเรือ แต่ฉันและเขา จะค่อยๆเดินไปตามถนน เพื่อมองบรรยากาศตอนเช้า พ่อค้าแม่ค้า พระบิณฑบาต เด็กๆไปโรงเรียน ผู้คนที่ต่างกันพามาทำงาน มันยิ่งทำให้ฉันรู้ว่า เราสามารถเป็นเพื่อนกันได้จริงๆ โดยที่เราไม่ต้องรู้จักกัน หรือ พูดคุยกันเลยสักคำ แค่เราได้ใช้ไลฟ์ไตล์ในแบบของเราไปด้วยกัน แค่นั้นมันก็มีความสุขแล้ว
และอีกเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นคือ ฉันเจอเขาในโรงอาหารในที่ทำงานของฉัน [พอดีทำงานในมหาลัย] อ่าว นี่เขาก็ทำงานที่เดียวกับฉันหรอ? มันเกิดคำถามขึ้นมาทันใด เขาทำอยู่ที่มหาลัยนี้ไหม หรือแค่แวะมากินข้าว หรือเขาเป็นนักศึกษา หรือทำงานในคณะไหน บลาๆ (เอาจริงๆทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบ) หลังจากนั้นฉันก็เจอเขาเกือบทุกเที่ยง เราจะนั่งโต๊ะใกล้กัน ตรงข้ามกันตลอด นี่คือครั้งที่ 2 ที่รู้สึกเขิลเวลากินข้าว (ครั้งแรกก็ตอนเจอแฟนเก่า) หลังๆพี่ๆที่ทำงานก็เริ่มแซว เริ่มเชียร์ จนเขาเองก็น่าจะรู้ตัว บอกเลยพี่ๆที่ทำงานทุกคนเชียร์หนักมาก บอกให้เข้าไปทำความรู้จักเลย แค่นี้ไม่ยากสำหรับแกหรอก [ใช่ปกติฉันเป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ง่ายมาก แต่ไม่ใช่กับคนนี้แน่ๆ แค่ฉันมองเขาแล้วเขามองกลับ แค่นี้หัวใจก้แทบจะหยุดเต้นแล้ว มันไม่ง่ายเลยจริงๆ]
หลังจากตอนนั้น มี 1 เหตุการณ์ ที่ฉันจำได้ไม่เคยลืม คือเหตุการณ์ที่ฉันจะนั่งรถไฟไปทำงานจำได้ว่าวันนั้นรถไฟขบวนที่เขานั่งมามีปัญหา ทำให้มาไม่ได้ ฉันเลยต้องรอขึ้นรถไฟชานเมืองแทน ในใจก็คิดล่ะ ว่าวันนี้ไม่ได้เจอแน่ๆ แต่แล้วก็เหมือนปาฎิหารย์ เขามากับรถไฟอีกขบวนที่ผ่านมาเพื่อจะมาต่อรถไฟชานเมืองพอดี ฉันและเขาได้เจอกัน เนื่องจากรถไฟชานเมืองเป็นรถไฟขบวนเล็ก เมื่อบรรจุคนทั้ง 2 ขบวนรวมกัน มันจึงแน่นเป็นพิเศษ ฉันและเขาได้มีโอกาสยืนใกล้ชิดติดกัน จำได้ว่าตอนนั้น หัวใจมันเต้นไม่เป็นจังหวะ เพลงที่เปิดฟังอยู่ ก็ฟังแทบไม่รู้เรื่อง ช๊อกไปกว่านั้น คือมีคนลงที่สถานนีถัดไป 2 คน ทำให้เบาะนั่งตรงที่ฉันและเขายืนอยู่ว่าง ซึ่งเบาะตรงนั้นเป็นเบาะตรงประตู จะมีขนาดเล็กกว่า บวกกับร่างอ้วนๆของฉันทำให้นั่งเบียดเขาเต็มที่ ขุ่นพระหัวใจฉันจะหยุดเต้นให้ได้ ฉันจึงแก้ปัญหาด้วยการเปิดเพลงดังๆจนจะลุหูฟังออกมา ดังพอจนที่คนนั่งข้างๆจะได้ยิน
พอได้สติ ก็ได้ยินเพลงเจ้ากรรมที่ฉันฟังอยู่ กำลังร้องท่อนนี้ [เพลงมา .. ยิ่งฉันใกล้เธอเท่าไหร่ ยิ่งอยากจะเผยใจ ยิ่งสบสายตาก็ยิ่งหวั่นไหว มันยากเหลือเกินจะเก็บ ซ่อนความลับเอาไว้ และความลับในใจของเธอ มีแันอยู่บ้างไหม โปรดบอกความในฉัน ให้ฉันรู้ทีนะเธอ..] ขุ่นพระ!! (จะมาความลับอะไรตอนนี้ พี่โจ้วงพอส) ตายๆๆๆ เขาจะนึกว่าเราเปิดเพลงอ่อยให้ท่าเขาไหมเนี้ย พอถึงสถานีก่อนสุดปลาทาง ผู้คนก็ลงไปจนเกือบหมด (สถานีที่ฉันลงคือสถานีปลายทาง) เขาก็ลุกย้ายไปนั่งฝั่งตรงข้ามตามมารยาท ฉันและเราต่างพร้อมใจกันถอนหายใจ ฉันสังเกตุที่มือเขา มีแต่เหงื่อเต็มไปหมดเหมือนฉัน นี่แสดงว่าเขาก็ตื่นเต้นเหมือนฉันใช่ไหม หรือฉันคิดไปเอง .. นั้นคือครั้งแรก ครั้งเดียว และ ครั้งสุดท้าย ที่ฉันได้ใกล้ชิดเขาขนาดนั้น อย่าถามว่าตัวหอมไหมนะ เพราะตอนนั้นฉันแทบไม่ได้หายใจ แต่มันก็คือความทรงจำที่พิเศษสุดๆไปเลย ^^
วันเวลาผ่านไป เกิดเรื่องราวต่างๆขึ้นมากมาย ที่ฉันเองก้ไม่แน่ใจ ว่าเขาก็อยากรู้จักฉันหรือเปล่า เพราะในบางครั้ง บางท่าที ก็เหมือนว่าเขา ก้กำลังพยายามที่จะรู้จัก จะเจอกับฉันเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ฉันก็ต้องหลุดคิดเข้าข้างตัวเองทุกที เพราะฉันมันก็แค่คนธรรมดา คนนึง ที่ไม่มีอไรน่าสน เป็นไปได้อยากที่จะมีใครมาสนใจเรา ถึงหนุ่มรถไฟคนนั้น จะไม่ได้หน้าตาดีเด่อะไร แต่ก็เทห์ไม่เบา เพราะทุกครั้งที่ฉันเจอเขา รอบๆตัวก็จะมีสาวบางคน มองเขาเช่นกัน มันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกว่า การที่ฉันยืนอยู่ตรงนี้ อาจจะดีกว่าการเดินเข้าไปรู้จัก บางที พอเขารู้ว่าเราอยากรู้จัก เขาก็อาจจะกลัวเราก็ได้ หลังๆมาฉันยังรู้สึก ว่าเขาก็คงอึดอัดหรืออะไรก็ตามแต่ กับการเจอฉัน หรือท่าทีของเพื่อนๆที่ทำงานฉัน ดูเขาจะเริ่มหายออกไป ไม่พบไม่เจอ
เวลาผ่านไปเกือบ 4 เดือน ฉันกลับไปใช้ชีวิตธรรมดาๆของฉัน เหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนวันนึง ที่ฉันกำลังจะนั่งรถไฟกลับบ้าน จำได้ว่า ตอนนั้นรถไฟเปลี่ยนเวลาเดินรถใหม่ จาก 6 โมงเป็น 1 ทุ่ม ฉันก็ใช้ชีวิตปกติ รถไฟก็เสียเวลาเหมือนเดิม จนฉันรู้สึกว่าอยากจะลองอะไรใหม่ๆ เปลี่ยนการเดินทางใหม่ โดนจะเอารถมาเอง วันนั้นจึงเป็นการนั่งรถไฟไปทำงานวันสุดท้าย ([อันที่จริงแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากนั่งรถไฟมันหายไปแล้ว] จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่ฉันรู้สึกเหนื่อยล้ากับอะไรหลายๆอย่าง อยากรีบกลับบ้านไปทิ้งตัวนอน ระหว่างนั่งรอรถไฟออกเลยเผลอหลับไป รู้ตัวอีกทีตอนที่รถไฟกำลังจะออก แล้วตอนนั้นฉันก็เจอกับอีก 1 สายตาที่กำลังมองฉันอยู่ ใช่ค่ะ เขาคนนั้นล่ะ หนุ่มรถไฟ..
ในตอนนั้นความคิดทุกอย่างมันวิ่งเข้ามาในหัวเต็มไปหมด จะเอาไงดี จะยิ้มดีไหม หรือจะใจกล้าเดินเข้าไปทำความรู้จักเลยดี เพราะถึงยังไง ก็จะไม่ได้กลับมาขึ้นรถไฟนั่งเรืออีกแล้ว หรือจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปดีกว่า จนสุดท้าย ฉันก็ตัดสินใจได้ว่า ปล่อยให้ทุกอย่างมันสิ้นสุดแค่ตรงนี้ดีกว่า ฉันและเขาเราคงไม่มีโอกาสได้พูดคุยและรู้จักกันไปมากกว่านี้ ปล่อยให้เขาเป็นความทรงจำที่ดีของฉันดีกว่า ถึงฉันจะอยากรู้จักเขามากแค่ไหน อยากค้นหาคำตอบอีกมากมายในตัวเขาเท่าไหร่ ฉันก็คงต้องพอและตัดใจในวันนี้ .. ช่วงเวลาตลอดการเดินทางในเย็นวันนั้น ฉันเลยทำได้แค่มองหน้าเขา จดจำใบหน้าของเขา ว่าครั้งนึกเราเคยมีความรู้สึกดีกับคนๆนึงที่เราไม่เคยพูดคุย ไม่เคยรู้จัก .. ไม่ใช่สิ ฉันรู้จักคุณ เพียงแค่คุณ ไม่เคยรู้จักฉันเลย ..
ก่อนที่ฉันจะลุกเดินลงสถานีรถไปบ้านฉัน ฉันรวบรวมความกล้า ยิ้มให้เขาในตอนนั้น ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าเขาจะตกฉันที่อยู่ดีๆ มีอัยอ้วนที่ไหนก็ไม่รู้มายิ้มให้รึป่าว แต่ที่ฉันยิ้มให้เขาในวันนั้น เพราะเขาคืออีกหนึ่งความทรงจำที่ดีของฉันไง ขอบคุณที่เขามาเป็นเพื่อนในโลกเงียบๆเหงาๆของฉันโดยที่คุณไม่รู้ตัว ขอบคุณที่ยอมให้ฉันเอาคุณมามโนนู้นี่คิด คิดเองเออเองไปคิดเดียว ขอบคุณที่ทำให้ฉันยิ้มและเศร้าใจไปพร้อมๆกัน
สำหรับคุณ ฉันว่ามันเป็นเรื่องมหัศจรรย์นะ .. คือเรื่องมหัศจรรย์ ที่เราได้พบกัน คือเรื่องมหัศจรรย์ ที่ฉันได้พบเธอ คือเรื่องมหัศจรรย์ที่สุด ที่ฉันเคยได้เจอ ฉัน..เธออออ..คือเรื่องมหัศจรรย์ ^^
ปล. ณ ตอนนี้ก็เป็นเวลาปีกว่าๆแล้วที่ฉันไม่ได้เจอเขา .. แต่สำหรับฉัน เขายังเป็นความทรงจำที่ดีของฉันตลอดมา ทุกครั้งที่ฉันเหงา ฉันก็จะนึกถึงว่า ครั้งนึงก็เคยมีคนเข้ามาในโลกแห่งความเหงาของเราเช่นกัน .. คิดถึงคุณนะ หนุ่มรถไฟ
แอบมองหนุ่มรถไฟ
สวัสดีชาวพันทิปทุกคนที่หลงเข้ามากระทู้นี้
ฉันเป็นชะนีตัวกลม หน้าบ้านๆคนนึง เป็นมนุษย์เงินเดือนที่ต้องตื่นแต่เช้าไปทำงาน เป็นแบบนี้ทุกวันวนเวียนไป พิเศษตรงที่ว่า ฉันพึ่งถูกลอยแพจากแฟนเก่ามาประมาณครึ่งปี การใช้ชีวิตใจตอนนั้นของฉันก็คือการหลุดออกจากโลกภายนอกไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ใช้ชีวิตไปวันๆ กิน เที่ยว ช๊อป ถ่ายรูป ออกกำลังกาย ฟังเพลง บลาๆๆๆ คนเดียวไปวันๆ โดยไม่สนใจใคร ถามว่า [อ่าว แล้วแกไม่มีเพื่อนเร๊อะ..เพื่อนอ่ะมีแต่มันมีแฟนมีหน้าที่ของแต่ละคน นานๆถึงจะเจอกันที] ในใจฉันตอนนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องความรักอะไรเลย นอกจากดฟกัสเรื่องงานที่กำลังไปได้ดี ปล.ไม่ได้เข็ดกับความรักนะ แค่รู้สึกว่าพอได้อยู่ตัวคนเดียวมันก็ดีไม่ใช่น้อย
จนมาวันนึงที่ทำให้ชีวิตฉันเปลี่ยนไป .. เรื่องมันมีอยู่ว่า .. ฉันเป็นคนๆนึงที่อาศัยการนั่งรถไฟชานเมืองและเรือข้ามฝากไปทำงาน (ดูโบราณเนอะนั่งรถไฟไปทำงาน) เป็นอย่างงี้ทุกวันตลอด 2 เดือนที่เริ่มงานใหม่ เวลาขึ้นรถไฟนั่งเรือมาทำงาน ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากฟังเพลง และนั่งดูบรรยากาศริมทางรถไฟไปเรื่อยๆ จนถึงวันนั้น วันที่ฉันได้พบใครบางคนที่ฉันไม่เคยรู้จัก ฉันบังเอิญได้พบเขาบนเรือข้ามฝากแม่น้ำเจ้าพระยา ในวันนั้นเป็นเช้าอากาศดีในช่วงต้นฤดูหนาว ผู้คนมากมายที่ท่าเรือ ในขณะที่ทุกคนต่างเร่งรีบขึ้น-ลงเรือโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เอาแต่สังคมก้มหน้า มีคุณยายคนนึงอายุมากแล้ว ถือของพะรุงพะรัง กำลังจะก้าวขึ้นเรือที่กำลังจะห่างจากโป๊ะ ดูแลน่าอันตราย ทันใดนั้นก็ได้มีผู้ชายคนนึง เดินมาจากท้ายเรือเพื่อไปช่วยคุณยายคนนั้น (นั้นคือความประทับใจแรก) เขาเป็นคนหน้าตาธรรมดา ผิวเข้ม ตัวเล็ก ใส่แว่น แต่งตัวก็ดูง่ายๆ เสื้อเชิ้ต กางเกงยีน กระเป๋าสะพายข้าง รองเท้าผ้าใบ โดยรวมแล้วไม่ได้ดูมีเสนห์อะไร แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่น คือเขาดูเหมือนฉัน ดูเงียบๆ ไม่รีบ ไม่เร่ง ไม่ก้มหน้า ไม่สนใจคนรอบข้าง เอาแต่นั่งมองบรรยากาศรอบตัว
หลังจากนั้นฉันก็เริ่มเจอเขาบ่อยขึ้น ฉันจะเจอเขาทุกเช้าวัน จ-ศ ประมาณ 8 โมง ที่ท่าเรือทุกวัน เราจะนั่งเรือข้ามฝากไปขึ้นที่เดียวกันตลอด ฉันจะแอบมองเขา โดยที่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม รู้แค่ว่าทุกครั้งที่มองเขา เหมือนเรามีเพื่อนในโลกของเราเพิ่มขึ้นมาอีกคน จนหลังๆมา เขาคงรู้ตัวว่าฉันมองเขาบ่อย เขาเริ่มยิ้มให้ฉัน แต่ด้วยความที่ฉันเป็นชะนีอ้วนๆหน้าบ้านๆ แถมยังไม่แต่งหน้า คนนึงที่ไม่มีความมั่นใจอะไร เลยไม่กล้ายิ้มตอบ เพราะไม่แน่ใจว่าเขายิ้มให้คนอื่นรึป่าว ในทุกๆเช้าฉันจะรีบมานั่งรอเขาที่ท่าเรือ เพื่อที่จะได้เจอและลงเรือลำเดียวกัน เอาจริงๆที่ฉันทำแบบนี้ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะจีบเขานะ ไม่ได้อยากจะเข้าไปทำความรู้จักเขาด้วย แค่รู้สึกว่า ทุกครั้งที่มองเขาเหมือนเราได้เหมือนเราได้รู้จักเพิ่มขึ้น ได้เห็นเขาในมุมต่างๆ เขาชอบทำอะไรเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบไม่ต้องเร่ง ไม่ต้องแย่ง ไม่เล่นมือถือ ชอบยิ้มอ่อน พอมองไปเจออะไรที่ดูสบายใจ เขาก็จะอมยิ้ม เวลามองเขาแล้ว รู้สึกเหมือนฉันได้ใช้ชีวิตช้าๆตามเขาไป
หลังจากที่ฉันอยู่กับความเหงามาครึ่งปี และแอบมองผู้ชายที่ไม่เคยรู้จักมาเดือนกว่า ฉันก็เริ่มทบทวนกับตัวเองว่า ฉันกำลังทำอะไรอยุ่ นี่ฉันเหงา หรือฉันแค่ต้องการใครสักคน เช้าวันนั้น ขณะที่รอรถไฟ คลื่นวิทยุที่ฉันชอบฟังบ่อยๆ เปิดเพลง รักแรกพบ ของ Tattoo Colour บวกกับบรรยากาศหนาวๆในตอนเช้า มันช่างเหงาอะไรขนาดนี้ ในตอนนั้นรถไฟมาพอดี ฉันขึ้นรถไฟไป สายตาก็ต้องไปพบกับ ผู้ชายใส่แว่นคนนึงที่เขาก็กำลังมองมาที่ฉันพอดี [เพลงขึ้น ! มีจริงหรือ รักแรกพบเพียงสบตาแค่หนึ่งครั้ง แค่แรกเห็นเดินผ่านมา ไม่พูดจา ไม่ทัก ไม่ทาย ไม่รุ้ว่าใคร เหตุใดจึงรักกัน] นี่มันเรื่องจริงป่ะเนี้ย ตลอดเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา ที่นั่งรอเจอเขาที่เรือข้ามฝาก ที่จริงแล้วเขาขึ้นรถไฟมาทำงานพร้อมฉันตลอด นี่มันพรหมลิขิตชัดๆ บ้าจริงง!!
พอฉันรู้ว่าฉันจะได้เจอเขาทุกเช้าบนรถไฟ ต่อให้ต้องตื่นเช้าเพื่อไปให้ทันรอบรถไฟแค่ไหน ฉันก็ยอม บางครั้งรถไฟเสียเวลา ทำให้รถไฟที่เป็นสายชานเมืองมาก่อน ฉันก็ไม่ขึ้น ฉันจะรอขึ้นรถไฟอีกขบวนที่เขานั่งมา หรือ บางวันที่ฉันตื่นสาย ต้องวิ่งตามรถไฟ เพื่อที่จะขึ้นให้ทันฉันก็ยอม โคตรบ้าอ่ะ (บอกกับตัวเอง) แต่เอาจริงทุกครั้งที่เจอเขามันทำให้เรามีความสุข เวลาลงรถไฟจะไปต่อเรือข้ามฝาก ระยะทางประมาณ 2 กิโล คนส่วนใหญ่ จะนั่ง 2 แถวไปลงท่าเรือ แต่ฉันและเขา จะค่อยๆเดินไปตามถนน เพื่อมองบรรยากาศตอนเช้า พ่อค้าแม่ค้า พระบิณฑบาต เด็กๆไปโรงเรียน ผู้คนที่ต่างกันพามาทำงาน มันยิ่งทำให้ฉันรู้ว่า เราสามารถเป็นเพื่อนกันได้จริงๆ โดยที่เราไม่ต้องรู้จักกัน หรือ พูดคุยกันเลยสักคำ แค่เราได้ใช้ไลฟ์ไตล์ในแบบของเราไปด้วยกัน แค่นั้นมันก็มีความสุขแล้ว
และอีกเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นคือ ฉันเจอเขาในโรงอาหารในที่ทำงานของฉัน [พอดีทำงานในมหาลัย] อ่าว นี่เขาก็ทำงานที่เดียวกับฉันหรอ? มันเกิดคำถามขึ้นมาทันใด เขาทำอยู่ที่มหาลัยนี้ไหม หรือแค่แวะมากินข้าว หรือเขาเป็นนักศึกษา หรือทำงานในคณะไหน บลาๆ (เอาจริงๆทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบ) หลังจากนั้นฉันก็เจอเขาเกือบทุกเที่ยง เราจะนั่งโต๊ะใกล้กัน ตรงข้ามกันตลอด นี่คือครั้งที่ 2 ที่รู้สึกเขิลเวลากินข้าว (ครั้งแรกก็ตอนเจอแฟนเก่า) หลังๆพี่ๆที่ทำงานก็เริ่มแซว เริ่มเชียร์ จนเขาเองก็น่าจะรู้ตัว บอกเลยพี่ๆที่ทำงานทุกคนเชียร์หนักมาก บอกให้เข้าไปทำความรู้จักเลย แค่นี้ไม่ยากสำหรับแกหรอก [ใช่ปกติฉันเป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ง่ายมาก แต่ไม่ใช่กับคนนี้แน่ๆ แค่ฉันมองเขาแล้วเขามองกลับ แค่นี้หัวใจก้แทบจะหยุดเต้นแล้ว มันไม่ง่ายเลยจริงๆ]
หลังจากตอนนั้น มี 1 เหตุการณ์ ที่ฉันจำได้ไม่เคยลืม คือเหตุการณ์ที่ฉันจะนั่งรถไฟไปทำงานจำได้ว่าวันนั้นรถไฟขบวนที่เขานั่งมามีปัญหา ทำให้มาไม่ได้ ฉันเลยต้องรอขึ้นรถไฟชานเมืองแทน ในใจก็คิดล่ะ ว่าวันนี้ไม่ได้เจอแน่ๆ แต่แล้วก็เหมือนปาฎิหารย์ เขามากับรถไฟอีกขบวนที่ผ่านมาเพื่อจะมาต่อรถไฟชานเมืองพอดี ฉันและเขาได้เจอกัน เนื่องจากรถไฟชานเมืองเป็นรถไฟขบวนเล็ก เมื่อบรรจุคนทั้ง 2 ขบวนรวมกัน มันจึงแน่นเป็นพิเศษ ฉันและเขาได้มีโอกาสยืนใกล้ชิดติดกัน จำได้ว่าตอนนั้น หัวใจมันเต้นไม่เป็นจังหวะ เพลงที่เปิดฟังอยู่ ก็ฟังแทบไม่รู้เรื่อง ช๊อกไปกว่านั้น คือมีคนลงที่สถานนีถัดไป 2 คน ทำให้เบาะนั่งตรงที่ฉันและเขายืนอยู่ว่าง ซึ่งเบาะตรงนั้นเป็นเบาะตรงประตู จะมีขนาดเล็กกว่า บวกกับร่างอ้วนๆของฉันทำให้นั่งเบียดเขาเต็มที่ ขุ่นพระหัวใจฉันจะหยุดเต้นให้ได้ ฉันจึงแก้ปัญหาด้วยการเปิดเพลงดังๆจนจะลุหูฟังออกมา ดังพอจนที่คนนั่งข้างๆจะได้ยิน
พอได้สติ ก็ได้ยินเพลงเจ้ากรรมที่ฉันฟังอยู่ กำลังร้องท่อนนี้ [เพลงมา .. ยิ่งฉันใกล้เธอเท่าไหร่ ยิ่งอยากจะเผยใจ ยิ่งสบสายตาก็ยิ่งหวั่นไหว มันยากเหลือเกินจะเก็บ ซ่อนความลับเอาไว้ และความลับในใจของเธอ มีแันอยู่บ้างไหม โปรดบอกความในฉัน ให้ฉันรู้ทีนะเธอ..] ขุ่นพระ!! (จะมาความลับอะไรตอนนี้ พี่โจ้วงพอส) ตายๆๆๆ เขาจะนึกว่าเราเปิดเพลงอ่อยให้ท่าเขาไหมเนี้ย พอถึงสถานีก่อนสุดปลาทาง ผู้คนก็ลงไปจนเกือบหมด (สถานีที่ฉันลงคือสถานีปลายทาง) เขาก็ลุกย้ายไปนั่งฝั่งตรงข้ามตามมารยาท ฉันและเราต่างพร้อมใจกันถอนหายใจ ฉันสังเกตุที่มือเขา มีแต่เหงื่อเต็มไปหมดเหมือนฉัน นี่แสดงว่าเขาก็ตื่นเต้นเหมือนฉันใช่ไหม หรือฉันคิดไปเอง .. นั้นคือครั้งแรก ครั้งเดียว และ ครั้งสุดท้าย ที่ฉันได้ใกล้ชิดเขาขนาดนั้น อย่าถามว่าตัวหอมไหมนะ เพราะตอนนั้นฉันแทบไม่ได้หายใจ แต่มันก็คือความทรงจำที่พิเศษสุดๆไปเลย ^^
วันเวลาผ่านไป เกิดเรื่องราวต่างๆขึ้นมากมาย ที่ฉันเองก้ไม่แน่ใจ ว่าเขาก็อยากรู้จักฉันหรือเปล่า เพราะในบางครั้ง บางท่าที ก็เหมือนว่าเขา ก้กำลังพยายามที่จะรู้จัก จะเจอกับฉันเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ฉันก็ต้องหลุดคิดเข้าข้างตัวเองทุกที เพราะฉันมันก็แค่คนธรรมดา คนนึง ที่ไม่มีอไรน่าสน เป็นไปได้อยากที่จะมีใครมาสนใจเรา ถึงหนุ่มรถไฟคนนั้น จะไม่ได้หน้าตาดีเด่อะไร แต่ก็เทห์ไม่เบา เพราะทุกครั้งที่ฉันเจอเขา รอบๆตัวก็จะมีสาวบางคน มองเขาเช่นกัน มันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกว่า การที่ฉันยืนอยู่ตรงนี้ อาจจะดีกว่าการเดินเข้าไปรู้จัก บางที พอเขารู้ว่าเราอยากรู้จัก เขาก็อาจจะกลัวเราก็ได้ หลังๆมาฉันยังรู้สึก ว่าเขาก็คงอึดอัดหรืออะไรก็ตามแต่ กับการเจอฉัน หรือท่าทีของเพื่อนๆที่ทำงานฉัน ดูเขาจะเริ่มหายออกไป ไม่พบไม่เจอ
เวลาผ่านไปเกือบ 4 เดือน ฉันกลับไปใช้ชีวิตธรรมดาๆของฉัน เหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนวันนึง ที่ฉันกำลังจะนั่งรถไฟกลับบ้าน จำได้ว่า ตอนนั้นรถไฟเปลี่ยนเวลาเดินรถใหม่ จาก 6 โมงเป็น 1 ทุ่ม ฉันก็ใช้ชีวิตปกติ รถไฟก็เสียเวลาเหมือนเดิม จนฉันรู้สึกว่าอยากจะลองอะไรใหม่ๆ เปลี่ยนการเดินทางใหม่ โดนจะเอารถมาเอง วันนั้นจึงเป็นการนั่งรถไฟไปทำงานวันสุดท้าย ([อันที่จริงแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากนั่งรถไฟมันหายไปแล้ว] จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่ฉันรู้สึกเหนื่อยล้ากับอะไรหลายๆอย่าง อยากรีบกลับบ้านไปทิ้งตัวนอน ระหว่างนั่งรอรถไฟออกเลยเผลอหลับไป รู้ตัวอีกทีตอนที่รถไฟกำลังจะออก แล้วตอนนั้นฉันก็เจอกับอีก 1 สายตาที่กำลังมองฉันอยู่ ใช่ค่ะ เขาคนนั้นล่ะ หนุ่มรถไฟ..
ในตอนนั้นความคิดทุกอย่างมันวิ่งเข้ามาในหัวเต็มไปหมด จะเอาไงดี จะยิ้มดีไหม หรือจะใจกล้าเดินเข้าไปทำความรู้จักเลยดี เพราะถึงยังไง ก็จะไม่ได้กลับมาขึ้นรถไฟนั่งเรืออีกแล้ว หรือจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปดีกว่า จนสุดท้าย ฉันก็ตัดสินใจได้ว่า ปล่อยให้ทุกอย่างมันสิ้นสุดแค่ตรงนี้ดีกว่า ฉันและเขาเราคงไม่มีโอกาสได้พูดคุยและรู้จักกันไปมากกว่านี้ ปล่อยให้เขาเป็นความทรงจำที่ดีของฉันดีกว่า ถึงฉันจะอยากรู้จักเขามากแค่ไหน อยากค้นหาคำตอบอีกมากมายในตัวเขาเท่าไหร่ ฉันก็คงต้องพอและตัดใจในวันนี้ .. ช่วงเวลาตลอดการเดินทางในเย็นวันนั้น ฉันเลยทำได้แค่มองหน้าเขา จดจำใบหน้าของเขา ว่าครั้งนึกเราเคยมีความรู้สึกดีกับคนๆนึงที่เราไม่เคยพูดคุย ไม่เคยรู้จัก .. ไม่ใช่สิ ฉันรู้จักคุณ เพียงแค่คุณ ไม่เคยรู้จักฉันเลย ..
ก่อนที่ฉันจะลุกเดินลงสถานีรถไปบ้านฉัน ฉันรวบรวมความกล้า ยิ้มให้เขาในตอนนั้น ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าเขาจะตกฉันที่อยู่ดีๆ มีอัยอ้วนที่ไหนก็ไม่รู้มายิ้มให้รึป่าว แต่ที่ฉันยิ้มให้เขาในวันนั้น เพราะเขาคืออีกหนึ่งความทรงจำที่ดีของฉันไง ขอบคุณที่เขามาเป็นเพื่อนในโลกเงียบๆเหงาๆของฉันโดยที่คุณไม่รู้ตัว ขอบคุณที่ยอมให้ฉันเอาคุณมามโนนู้นี่คิด คิดเองเออเองไปคิดเดียว ขอบคุณที่ทำให้ฉันยิ้มและเศร้าใจไปพร้อมๆกัน
สำหรับคุณ ฉันว่ามันเป็นเรื่องมหัศจรรย์นะ .. คือเรื่องมหัศจรรย์ ที่เราได้พบกัน คือเรื่องมหัศจรรย์ ที่ฉันได้พบเธอ คือเรื่องมหัศจรรย์ที่สุด ที่ฉันเคยได้เจอ ฉัน..เธออออ..คือเรื่องมหัศจรรย์ ^^
ปล. ณ ตอนนี้ก็เป็นเวลาปีกว่าๆแล้วที่ฉันไม่ได้เจอเขา .. แต่สำหรับฉัน เขายังเป็นความทรงจำที่ดีของฉันตลอดมา ทุกครั้งที่ฉันเหงา ฉันก็จะนึกถึงว่า ครั้งนึงก็เคยมีคนเข้ามาในโลกแห่งความเหงาของเราเช่นกัน .. คิดถึงคุณนะ หนุ่มรถไฟ