มีนักเรียน ระดับ ปวช-ปวส เข้าศึกษาจากสถาบันแห่งหนึ่งในย่านปทุมธานี เป็นเทคโนโลยี่ อยู่ใกล้ๆ หรือในเขตคลองหลวง ทางสถานศึกษาได้มีการส่งตัวนักเรียนไปฝึกงาน โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. นักเรียนมีการเรียน 5 วัน คือ จ-ศ หยุด ส-อ แต่ไปฝึกงาน 6 วัน หยุดเพียง 1 วัน ไม่ใช่ ส-อ ผิดหรือไม่เอาเปรียบเด็กหรือไม่ครับ?
โดยทางสถาบันทั้งสถานศึกษา และ สถานที่ฝึกงาน ได้มีกฏบอกว่า ผู้ที่ฝึกงานที่นี่ ต้องทำงานเหมือนกับพนักงานประจำของบริษัทฯ ด้วย
รวมทั้งวันหยุดราชการต่างๆ ก็ไม่ได้หยุด เช่น วันแม่ที่ผ่านมา และไม่มีการหยุดชดเชยให้ มันถูกต้องหรือไม่ครับ
2. สถานศึกษาบังคับให้นักเรียนต้องฝึกงานกับสถานประกอบการแห่งนี้แห่งเดียวเท่านั้น สามารถบังคับเช่นนี้ได้หรือไม่ ?
3. เรียนสาย คอมธุรกิจ แต่ละวันได้คีย์ข้อมูล ไม่เกิน 20 นาที (คีย์ข้อมูลจริงๆ) หรือบางวันไม่ได้แตะเครื่องคอมเลย นอกนั้นให้ไปยืนขายของ สมควรหรือไม่ ?
บางคนโดนไปอยู่ในส่วนของคลังสินค้า ยกของหนัก เช็คสต๊อก (ไม่เจอเครื่องคอมเหมือนกัน) สายอื่นก็เช่นกันไม่ใช่สายคอมอย่างเดียว
4. โอที หรือ ล่วงเวลา (ไม่มี) ใช้คำว่า ขอความร่วมมือ(ออกจะเป็นการบังคับ) ถูกต้องหรือไม่ ?
5. นักเรียนและผู้ปกครองเคยทำเรื่องไปว่า ขอไปฝึกงานโดยการเลือกสถานประกอบการเอง แต่ถูกปฏิเสธ แจ้งว่าต้องฝึกกับสถานประกอบการที่ทางสถาบันกำหนดไว้เท่านั้น ถูกต้องหรือไม่ ?
ุ6. กำหนดระยะเวลาในการฝึกงาน 1 ปี โดยที่ก่อนเข้าไปสมัครเรียนในสถาบันแห่งนี้ ไม่เคยมีการแจ้งรายละเอียดใดๆ ในเรื่องนี้
7. สถานศึกษามีการส่งนักเรียนไปฝึกงานในต่างเขตของนักเรียนอยู่ (นอกพื้นที่อาศัย) มีที่พักให้ แต่มีการเก็บค่าเช่า น้ำ ไฟ ควรหรือไม่ (ทำไมไม่ส่งเด็กไปทำงานในเขตใกล้เคียงกัน สามารถเดินทางไปและกลับได้) หากไม่พร้อมทำไมไม่เปิดให้เด็กหาสถานประกอบการฝึกงานเอง ?
สถาบันการศึกษาแห่งนี้ เพิ่งเปิดทำการสอนมาได้สัก 3-4 ปีแล้วครับ ในปีแรกบังคับเด็กให้ไปฝึกแบบนี้(ไม่ตรงสาย) แค่ ครึ่งปี หรือ 1 เทอม แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นต้องฝึกงาน 1 ปี ช่วงปิดเทอม ต้องมาเรียนเก็บอีก 2 หน่วย หรือ อีก 2 วิชา ในการปรับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงระยะเวลาในการฝึกงาน สถานการศึกษาไม่เคยมีหนังสืออะไรมาแจ้งยังผู้ปกครองได้รับทราบเลยแม้แต่ฉบับเดียว(อย่าว่าแต่เรื่องฝึกงานเลยครับ จะเอาเด็กไปแข่งขันอะไร ไปอย่างไร ใครรับผิดชอบ ก็ไม่เคยมีหนังสือแจ้งผู้ปกครองเช่นกัน) ระยะการฝึกงานที่เปลี่ยนมา ทางสถานการศึกษา มีคำพูดที่สวยหรูและดูดีมากครับ คือ การเพิ่มระยะเวลาเป็น 1 นั้น เพื่อต้องการให้เด็กนักเรียนมีความชำนาญ เมื่อจบออกไปแล้วมีความชำนาญในสายงานเลย (เด็กเรียนสายคอม,สายบัญชี หรือสายอื่นๆ แต่ไปยืนขายของ ไปยกของ แบกประตู ยกกระเบื้อง มันชำนาญตรงไหน)
นี่ละครับ ระบบการศึกษาไทย ที่หวังแต่จะเอาผลประโยชน์เข้าตัวกัน มันถึงได้ตกต่ำและล้าหลังกันแบบนี้ ที่บอกว่าเด็กจะได้ความชำนาญนั้นม่ันเป็นข้ออ้างมากกว่า เด็กโดนบังคับให้ฝึกขายของในแผนกต่างๆ โดยการหมุนเวียนในแต่ละเดือน เดือนละ แผนก เช่น เดือนนี้ ขาย หลอดไฟ เดือนหน้าขายอุปกรณ์ก่อสร้าง เดือนต่อไป ขายสุขภัณฑ์ (มันชำนาญในสายงานมากเลยนะครับผมว่า)
เด็กที่จบมาในแต่ละสายวิชาที่เรียน เมื่อไปสมัครงาน ฝ่ายบุคคลถาม เรียนสายนี้มา มีความชำนาญด้านไหน อะไรบ้าง คุณว่าเด็กจะตอบว่าไงครับ
เออ... คือ ผมมีความชำนาญในการยกปูนครับ
หนูมีความชำนาญในการ ขายก๊อกน้ำค่ะ
ผม มีความชำนาญ ขายเครื่องมือช่างครับ
เป็นไงบ้างครับ แจ่มดีไหมครับ
เด็กและผู้ปกครองมองว่า เป็นการแอบใช้แรงงาน(กรรมกร)ในราคาถูก คือ เอาเด็กไปเป็นพนักงาน แล้วอ้างว่าฝึกงานให้ความรู้(แต่ไม่ตรงสายที่เรียน เด็กจะได้อะไร) แต่จ่ายค่าจ้างแค่ 150 ต่อวัน เรื่องผลตอบแทน เด็กและผู้ปกครองไม่ยึดติดไม่ให้ก็ไม่ว่า นั่นขึ้นกับนโยบายของสถานประกอบการ แต่พฤติกรรมของสถานประกอบการ ค่อนข้างออกไปทางหมกเม็ด หาประโยชน์เข้าตัว เอาแต่ได้ คือ จ่ายให้เด็กแค่ 150 ไม่ต้องจ่ายหรือรับสมัครพนักงานที่ต้องจ่ายค่าแรงเต็ม 300 บาท เป็นขั้นต่ำ เหมือนกันการหลีกเลี่ยงในการจ่ายค่าแรงเต็ม มีการขู่เด็กด้วยว่าหากใครที่ทำเรื่องไปฝึกที่อื่นหรือไม่ยอมฝึกกับสถานที่ที่สถาบันการศึกษากำหนดให้ จะไม่จบ หรือ จบยาก ....(เล่นขู่มาแบบนี้ เด็กและผู้ปกครองบางคนก็กลัวซิครับ ต้องจำใจใช่มะ)
หมายเหตุ นักเรียน ไม่ใช่นักเรียนทุน ใช้เงินผู้ปกครองจ่ายค่าเทอม และอื่นๆ เองทั้งหมด
รบกวนผู้รู้ ชี้แนะ หรือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แนะนำ และตรวจสอบด้วยว่า ถูกต้องและสมควรหรือไม่ ขอผู้รู้จริงๆ นะครับ
ใครที่คิดจะเอาลูกเอาหลานเข้าเรียน โปรดตรวจสอบ และระวังจะเจอแบบนี้นะครับ ถ้าเป็นผมๆ ว่ามันค่อนข้างเอาเปรียบ และไม่ค่อยถูกต้องนัก
ผมว่านะ ควรพัฒนาระบบการศึกษาโดยด่วนเลยครับ จะได้ผลิตเด็กที่มีคุณภาพเพื่อป้อนให้กับตลาดแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่งั้นประเทศไทยก็จะเป็นแบบนี้ตลอดไปคือ จบสายนี้แต่ไปทำงานสายอื่น เป็นกันแบบนี้มาโดยตลอดและเยอะด้วย
การฝึกงานของนักเรียนระดับ ปวช-ปวส แบบนี้ผิดหรือถูก ??????
1. นักเรียนมีการเรียน 5 วัน คือ จ-ศ หยุด ส-อ แต่ไปฝึกงาน 6 วัน หยุดเพียง 1 วัน ไม่ใช่ ส-อ ผิดหรือไม่เอาเปรียบเด็กหรือไม่ครับ?
โดยทางสถาบันทั้งสถานศึกษา และ สถานที่ฝึกงาน ได้มีกฏบอกว่า ผู้ที่ฝึกงานที่นี่ ต้องทำงานเหมือนกับพนักงานประจำของบริษัทฯ ด้วย
รวมทั้งวันหยุดราชการต่างๆ ก็ไม่ได้หยุด เช่น วันแม่ที่ผ่านมา และไม่มีการหยุดชดเชยให้ มันถูกต้องหรือไม่ครับ
2. สถานศึกษาบังคับให้นักเรียนต้องฝึกงานกับสถานประกอบการแห่งนี้แห่งเดียวเท่านั้น สามารถบังคับเช่นนี้ได้หรือไม่ ?
3. เรียนสาย คอมธุรกิจ แต่ละวันได้คีย์ข้อมูล ไม่เกิน 20 นาที (คีย์ข้อมูลจริงๆ) หรือบางวันไม่ได้แตะเครื่องคอมเลย นอกนั้นให้ไปยืนขายของ สมควรหรือไม่ ?
บางคนโดนไปอยู่ในส่วนของคลังสินค้า ยกของหนัก เช็คสต๊อก (ไม่เจอเครื่องคอมเหมือนกัน) สายอื่นก็เช่นกันไม่ใช่สายคอมอย่างเดียว
4. โอที หรือ ล่วงเวลา (ไม่มี) ใช้คำว่า ขอความร่วมมือ(ออกจะเป็นการบังคับ) ถูกต้องหรือไม่ ?
5. นักเรียนและผู้ปกครองเคยทำเรื่องไปว่า ขอไปฝึกงานโดยการเลือกสถานประกอบการเอง แต่ถูกปฏิเสธ แจ้งว่าต้องฝึกกับสถานประกอบการที่ทางสถาบันกำหนดไว้เท่านั้น ถูกต้องหรือไม่ ?
ุ6. กำหนดระยะเวลาในการฝึกงาน 1 ปี โดยที่ก่อนเข้าไปสมัครเรียนในสถาบันแห่งนี้ ไม่เคยมีการแจ้งรายละเอียดใดๆ ในเรื่องนี้
7. สถานศึกษามีการส่งนักเรียนไปฝึกงานในต่างเขตของนักเรียนอยู่ (นอกพื้นที่อาศัย) มีที่พักให้ แต่มีการเก็บค่าเช่า น้ำ ไฟ ควรหรือไม่ (ทำไมไม่ส่งเด็กไปทำงานในเขตใกล้เคียงกัน สามารถเดินทางไปและกลับได้) หากไม่พร้อมทำไมไม่เปิดให้เด็กหาสถานประกอบการฝึกงานเอง ?
สถาบันการศึกษาแห่งนี้ เพิ่งเปิดทำการสอนมาได้สัก 3-4 ปีแล้วครับ ในปีแรกบังคับเด็กให้ไปฝึกแบบนี้(ไม่ตรงสาย) แค่ ครึ่งปี หรือ 1 เทอม แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นต้องฝึกงาน 1 ปี ช่วงปิดเทอม ต้องมาเรียนเก็บอีก 2 หน่วย หรือ อีก 2 วิชา ในการปรับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงระยะเวลาในการฝึกงาน สถานการศึกษาไม่เคยมีหนังสืออะไรมาแจ้งยังผู้ปกครองได้รับทราบเลยแม้แต่ฉบับเดียว(อย่าว่าแต่เรื่องฝึกงานเลยครับ จะเอาเด็กไปแข่งขันอะไร ไปอย่างไร ใครรับผิดชอบ ก็ไม่เคยมีหนังสือแจ้งผู้ปกครองเช่นกัน) ระยะการฝึกงานที่เปลี่ยนมา ทางสถานการศึกษา มีคำพูดที่สวยหรูและดูดีมากครับ คือ การเพิ่มระยะเวลาเป็น 1 นั้น เพื่อต้องการให้เด็กนักเรียนมีความชำนาญ เมื่อจบออกไปแล้วมีความชำนาญในสายงานเลย (เด็กเรียนสายคอม,สายบัญชี หรือสายอื่นๆ แต่ไปยืนขายของ ไปยกของ แบกประตู ยกกระเบื้อง มันชำนาญตรงไหน)
นี่ละครับ ระบบการศึกษาไทย ที่หวังแต่จะเอาผลประโยชน์เข้าตัวกัน มันถึงได้ตกต่ำและล้าหลังกันแบบนี้ ที่บอกว่าเด็กจะได้ความชำนาญนั้นม่ันเป็นข้ออ้างมากกว่า เด็กโดนบังคับให้ฝึกขายของในแผนกต่างๆ โดยการหมุนเวียนในแต่ละเดือน เดือนละ แผนก เช่น เดือนนี้ ขาย หลอดไฟ เดือนหน้าขายอุปกรณ์ก่อสร้าง เดือนต่อไป ขายสุขภัณฑ์ (มันชำนาญในสายงานมากเลยนะครับผมว่า)
เด็กที่จบมาในแต่ละสายวิชาที่เรียน เมื่อไปสมัครงาน ฝ่ายบุคคลถาม เรียนสายนี้มา มีความชำนาญด้านไหน อะไรบ้าง คุณว่าเด็กจะตอบว่าไงครับ
เออ... คือ ผมมีความชำนาญในการยกปูนครับ
หนูมีความชำนาญในการ ขายก๊อกน้ำค่ะ
ผม มีความชำนาญ ขายเครื่องมือช่างครับ
เป็นไงบ้างครับ แจ่มดีไหมครับ
เด็กและผู้ปกครองมองว่า เป็นการแอบใช้แรงงาน(กรรมกร)ในราคาถูก คือ เอาเด็กไปเป็นพนักงาน แล้วอ้างว่าฝึกงานให้ความรู้(แต่ไม่ตรงสายที่เรียน เด็กจะได้อะไร) แต่จ่ายค่าจ้างแค่ 150 ต่อวัน เรื่องผลตอบแทน เด็กและผู้ปกครองไม่ยึดติดไม่ให้ก็ไม่ว่า นั่นขึ้นกับนโยบายของสถานประกอบการ แต่พฤติกรรมของสถานประกอบการ ค่อนข้างออกไปทางหมกเม็ด หาประโยชน์เข้าตัว เอาแต่ได้ คือ จ่ายให้เด็กแค่ 150 ไม่ต้องจ่ายหรือรับสมัครพนักงานที่ต้องจ่ายค่าแรงเต็ม 300 บาท เป็นขั้นต่ำ เหมือนกันการหลีกเลี่ยงในการจ่ายค่าแรงเต็ม มีการขู่เด็กด้วยว่าหากใครที่ทำเรื่องไปฝึกที่อื่นหรือไม่ยอมฝึกกับสถานที่ที่สถาบันการศึกษากำหนดให้ จะไม่จบ หรือ จบยาก ....(เล่นขู่มาแบบนี้ เด็กและผู้ปกครองบางคนก็กลัวซิครับ ต้องจำใจใช่มะ)
หมายเหตุ นักเรียน ไม่ใช่นักเรียนทุน ใช้เงินผู้ปกครองจ่ายค่าเทอม และอื่นๆ เองทั้งหมด
รบกวนผู้รู้ ชี้แนะ หรือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แนะนำ และตรวจสอบด้วยว่า ถูกต้องและสมควรหรือไม่ ขอผู้รู้จริงๆ นะครับ
ใครที่คิดจะเอาลูกเอาหลานเข้าเรียน โปรดตรวจสอบ และระวังจะเจอแบบนี้นะครับ ถ้าเป็นผมๆ ว่ามันค่อนข้างเอาเปรียบ และไม่ค่อยถูกต้องนัก
ผมว่านะ ควรพัฒนาระบบการศึกษาโดยด่วนเลยครับ จะได้ผลิตเด็กที่มีคุณภาพเพื่อป้อนให้กับตลาดแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่งั้นประเทศไทยก็จะเป็นแบบนี้ตลอดไปคือ จบสายนี้แต่ไปทำงานสายอื่น เป็นกันแบบนี้มาโดยตลอดและเยอะด้วย