http://manager.co.th/Sport/ViewNews.aspx?NewsID=9580000090453
ASTV ผู้จัดการรายวัน – กระแสฟุตบอล “ไทย พรีเมียร์ ลีก” กำลังพุ่งสูงจนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ทำให้มีผู้ติดตามทั้งขอบสนามและจอแก้วมากขึ้นทวีคูณ ส่งให้มีหลายเจ้าหมายปองที่จะคว้าลิขสิทธิ์ดูแลการถ่ายทอดสดคอนเทนต์นี้มาครอบครอง โดยล่าสุดเป็น “ฟ็อกซ์” (FOX) บริษัทมัลติมีเดียชั้นนำระดับโลก ที่พร้อมทุ่มทุนท้าสู้กับเจ้าของเดิมอย่าง “ทรูวิชั่นส์” ที่เหลือสัญญาซีซันหน้าเป็นปีสุดท้าย และคาดการณ์ว่าการประมูลครั้งใหม่จะมียอดพุ่งทะลุ 2,700 ล้านบาทเลยทีเดียว
ทรูวิชั่นส์ เจ้าของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอล ไทย พรีเมียร์ ลีก กำลังจะครบสัญญา 3 ปี ในฤดูกาล 2016 เป็นซีซันสุดท้าย หลังเป็นผู้ชนะในการประมูลครั้งก่อน ถือสิทธิ์ปี 2014-2016 ซึ่งการยื่นซองชิงชัยรอบใหม่ฤดูกาล 2017-2019จะมีขึ้นภายในปีนี้ ทว่าอาจจะไม่ใช่งานง่ายเนื่องจากมีหลายบริษัทที่หมายปองเช่นกัน เนื่องจากธุรกิจลูกหนังไทยกำลังเฟื่องฟู สามารถต่อยอดกำไรได้มหาศาล ตัวอย่างเช่นผลสำรวจของ “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีประชาชนติดตามการแข่งขันฟุตบอล ไทย พรีเมียร์ ลีก แซงหน้า พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ไปแล้ว ที่สำคัญยังมีผู้ติดตามสม่ำเสมอเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีที่ผ่านมา
ดังนั้น ทรูวิชั่นส์ จำต้องทุ่มเงินที่สูงขึ้นกว่าเดิมจากครั้งก่อนที่ควักถึง 1,800 ล้านบาท หากต้องการป้องกันแชมป์ เพราะคอนเทนต์นี้ถือเป็นตัวกอบกู้สถานการณ์มัดใจสมาชิก และเป็นรายการที่สร้างเรตติงอันดับหนึ่งของช่องดิจิตอล ทรูโฟร์ยู ยามที่ชวดได้สิทธิ์ยิงสดลีกสูงสุดเมืองผู้ดีมาไว้ในมือ
อย่างไรก็ตามล่าสุดมีผู้ประกาศที่จะก้าวลงสังเวียนเพื่อชิงชัยแล้วเช่นกัน นั่นคือ “ฟ็อกซ์” บริษัทมัลติมีเดียชั้นนำระดับโลก ที่พร้อมทุ่มทุนสู้แม้จะเป็นพันธมิตรขาประจำกับทรูวิชั่นส์ก็ตาม โดย ม.ร.ว.รุจยารักษ์ อาภากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ฟ็อกซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล แชนแนล (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า “เราสนใจที่จะได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ไทย พรีเมียร์ ลีก แน่นอน เพราะถือเป็นคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมสูงมากทั้งในประเทศไทย และละแวกเพื่อนบ้าน ที่สำคัญตอนนี้ทางฟ็อกซ์พร้อมที่จะลงทุนในเอเชีย เน้นสร้างและซื้อคอนเทนต์ในระดับท้องถิ่นมากขึ้นเพื่อต่อยอดการหารายได้โฆษณาในรูปแบบรีจีนัล”
“ส่วนเม็ดเงินที่คาดว่าจะพุ่งเกิน 2,000 ล้านบาทนั้น หากมองระดับในประเทศถือเป็นจำนวนที่สูง แต่ถ้ามองในระดับนานาชาติถือว่าไม่สูงเลย เรามีบริษัทแม่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา และบริษัทใหญ่ในเอเชียที่จะเป็นผู้ประมูลลิขสิทธิ์กีฬาต่างๆในทวีป ตั้งอยู่ที่ฮ่องกง รวมถึงมีออฟฟิศเชียลในเอเชียรวม14 ประเทศ สามารถเข้าถึงผู้คนทั่วโลกกว่า 300 ล้านคน หากได้สิทธิ์การถ่ายทอดสดมา นอกจากในประเทศไทยแล้ว เรายังสามารถดึงไปถ่ายทอดสดให้กับประเทศเพื่อนบ้านที่ให้ความสนใจฟุตบอลไทยอย่างเวียดนามหรือมาเลเซียได้เช่นกัน” ม.ร.ว.รุจยารักษ์ เผย
นอกจาก “ฟ็อกซ์” ที่ออกหน้าว่าต้องการที่จะได้ลิขสิทธิ์ ไทย พรีเมียร์ ลีก มาครอบครองแล้ว ยังมีผู้ประกอบการอีกหลายเจ้าที่คาดกันว่าให้ความสนใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ “ซีทีเอช” หรือ บริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) เจ้าของสิทธิ์ พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ซึ่ง เชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์ ประธานกรรมการบริหารซีทีเอช ยอมรับว่าเป็นคอนเทนต์ที่น่าสนใจ แต่ยังไม่เวลาในการพิจารณาตัดสินใจว่าจะทุ่มทุนร่วมชิงชัยหรือไม่
ด้าน ดร.องอาจ ก่อสินค้า ประธาน บริษัท ไทย พรีเมียร์ ลีก จำกัด เชื่อว่าการประมูลครั้งใหม่จะมีมูลค่าพุ่งสูงเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอีก 50 เปอร์เซ็นต์ จากวงเงิน 1,800 ล้านบาท (600 ล้านบาท ต่อปี) จะขยับเป็น 2,700 ล้านบาท (900 ล้านบาท ต่อปี) ซึ่งรายได้ 80 เปอร์เซ็นต์ จากเงินค่าลิขิสิทธิ์ที่ได้มา จะแบ่งให้กับแต่ละสโมสรเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน จากเดิม ไทย พรีเมียร์ ลีก ได้ทีมละ 20 ล้านบาท, ลีก วัน (ดิวิชัน 1) ได้ทีมละ 3 ล้านบาท และ ลีก ภูมิภาค (ดิวิชัน 2) ได้ทีมละ 1 ล้านบาท “ปัจจุบันนี้ยอดผู้ชมทางโทรทัศน์สูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ลิขสิทธิ์เป็นที่ต้องการของหลายบริษัท ซึ่งผมเชื่อว่าปีนี้ยอดเงินจะสูงขึ้นกว่าเดิมอีก 50 เปอร์เซ็นต์แน่นอน”
พร้อมกันนี้ “บิ๊กเปี๊ยก” มองว่าควรจะพิจารณาผู้ชนะในด้านอื่นๆนอกจากจำนวนเงิน “แน่นอนว่าจำนวนเงินเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าได้สูง แต่ละสโมสรก็จะได้เงินตอบแทนสูงด้วย แต่ส่วนตัวผมมองว่าควรจะพิจารณาในด้านอื่นๆควบคู่กันไปด้วย เช่น ความพร้อมของผู้ที่จะได้สิทธิ์ ประสบการณ์การถ่ายทอดสด อุปกรณ์ จำนวนกล้อง มุมกล้อง รวมถึงบุคลากรต่างๆ เพราะสาเหตุที่ทำให้ฟุตบอลไทยบูมในเวลานี้ส่วนหนึ่งมาจากการถ่ายทอดสด ซึ่งที่ผ่านมา ทรูวิชั่นส์ สามารถทำได้อย่างดี ทั้งมุมกล้องและอรรถรสต่างๆในการรับชม ดังนั้นหากผู้ที่ได้สิทธิ์ไปบริหารจัดการไม่ดีหรือไม่พร้อม ก็อาจทำให้เรตติงและภาพรวมของลีกตกลงได้” นายใหญ่ทีพีแอลทิ้งท้าย
--------------------------------------------------------------------------
เรื่องที่ฟ็อกซ์จะท้าสู้ผมไม่มีคอมเมนต์ครับ เป็นเรื่องของทางธุรกิจ แต่ผมตะหงิดใจกะคอมเมนต์บิ๊กเปี๊ยกมากกว่า เครือฟ็อกซ์เนี่ยนะครับจะไม่พร้อม ประสบการณ์ด้านการถ่ายทอดสดไม่มี บริษัทเขาใหญ่กว่าทรูวิชั่นส์อีก ถ้าเขาประมูลได้จริงเขาจะจัดกล้องและทีมงานแจ่มๆ มาจากเมกาและ บ. ในเครือข่ายที่ฮ่องกงสิงคโปร์มามาถ่ายทอดสดให้ดูแบบถึงใจถึงอารมณ์แน่ๆ ที่เสียเปรียบอย่างเดียวคือฟ็อกซ์ไม่มีฟรีทีวีดิจิตอลในประเทศไทยในมือครับ (จริงๆ ผมอยากให้ FIC ครั้งหน้าลองส่งช่อง Fox ไทย ลงไปประมูลทีวีดิจิตอลด้วยก็น่าจะดีนะครับ แล้วก็ทำเหมือนเป็นช่องที่ยำรวมรายการจากช่องในเครือ FIC ต่างๆ ที่เป็นเปย์ทีวี มีกีฬาจาก Fox Sports มีซีรีส์จาก StarWorld และ Channel M มีรายการเพลงของ Channel V มีสารคดีจาก National Geographic มีหนังจากช่องหนังของ Fox มีรายการข่าวผลิตเองเสริมด้วยข่าวจาก Fox News และ Sky News แค่นี้ก็ครบแล้วล่ะครับ) แต่คิดว่าถ้าฟ็อกซ์ประมูลได้ เขาคงดีลกะฟรีทีวีหาช่องลงได้นั่นแหละ ผมแอบคิดอย่างเดียวว่า ถ้าฟ็อกซ์ได้ไทยลีกไป แล้วจะทำให้บางบริษัทที่ไม่ใช่ทรูวิชั่นส์อดอยากปากแห้งเพราะงานที่เคยรับทำแบบเสือนอนกินหายไปหรือเปล่าหว่า 555+
คู่แข่งทรูวิชั่นส์รายแรกมาแล้ว FOX ประกาศพร้อมประมูล TPL สู้กับทรูวิชั่นส์
ASTV ผู้จัดการรายวัน – กระแสฟุตบอล “ไทย พรีเมียร์ ลีก” กำลังพุ่งสูงจนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ทำให้มีผู้ติดตามทั้งขอบสนามและจอแก้วมากขึ้นทวีคูณ ส่งให้มีหลายเจ้าหมายปองที่จะคว้าลิขสิทธิ์ดูแลการถ่ายทอดสดคอนเทนต์นี้มาครอบครอง โดยล่าสุดเป็น “ฟ็อกซ์” (FOX) บริษัทมัลติมีเดียชั้นนำระดับโลก ที่พร้อมทุ่มทุนท้าสู้กับเจ้าของเดิมอย่าง “ทรูวิชั่นส์” ที่เหลือสัญญาซีซันหน้าเป็นปีสุดท้าย และคาดการณ์ว่าการประมูลครั้งใหม่จะมียอดพุ่งทะลุ 2,700 ล้านบาทเลยทีเดียว
ทรูวิชั่นส์ เจ้าของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอล ไทย พรีเมียร์ ลีก กำลังจะครบสัญญา 3 ปี ในฤดูกาล 2016 เป็นซีซันสุดท้าย หลังเป็นผู้ชนะในการประมูลครั้งก่อน ถือสิทธิ์ปี 2014-2016 ซึ่งการยื่นซองชิงชัยรอบใหม่ฤดูกาล 2017-2019จะมีขึ้นภายในปีนี้ ทว่าอาจจะไม่ใช่งานง่ายเนื่องจากมีหลายบริษัทที่หมายปองเช่นกัน เนื่องจากธุรกิจลูกหนังไทยกำลังเฟื่องฟู สามารถต่อยอดกำไรได้มหาศาล ตัวอย่างเช่นผลสำรวจของ “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีประชาชนติดตามการแข่งขันฟุตบอล ไทย พรีเมียร์ ลีก แซงหน้า พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ไปแล้ว ที่สำคัญยังมีผู้ติดตามสม่ำเสมอเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีที่ผ่านมา
ดังนั้น ทรูวิชั่นส์ จำต้องทุ่มเงินที่สูงขึ้นกว่าเดิมจากครั้งก่อนที่ควักถึง 1,800 ล้านบาท หากต้องการป้องกันแชมป์ เพราะคอนเทนต์นี้ถือเป็นตัวกอบกู้สถานการณ์มัดใจสมาชิก และเป็นรายการที่สร้างเรตติงอันดับหนึ่งของช่องดิจิตอล ทรูโฟร์ยู ยามที่ชวดได้สิทธิ์ยิงสดลีกสูงสุดเมืองผู้ดีมาไว้ในมือ
อย่างไรก็ตามล่าสุดมีผู้ประกาศที่จะก้าวลงสังเวียนเพื่อชิงชัยแล้วเช่นกัน นั่นคือ “ฟ็อกซ์” บริษัทมัลติมีเดียชั้นนำระดับโลก ที่พร้อมทุ่มทุนสู้แม้จะเป็นพันธมิตรขาประจำกับทรูวิชั่นส์ก็ตาม โดย ม.ร.ว.รุจยารักษ์ อาภากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ฟ็อกซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล แชนแนล (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า “เราสนใจที่จะได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ไทย พรีเมียร์ ลีก แน่นอน เพราะถือเป็นคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมสูงมากทั้งในประเทศไทย และละแวกเพื่อนบ้าน ที่สำคัญตอนนี้ทางฟ็อกซ์พร้อมที่จะลงทุนในเอเชีย เน้นสร้างและซื้อคอนเทนต์ในระดับท้องถิ่นมากขึ้นเพื่อต่อยอดการหารายได้โฆษณาในรูปแบบรีจีนัล”
“ส่วนเม็ดเงินที่คาดว่าจะพุ่งเกิน 2,000 ล้านบาทนั้น หากมองระดับในประเทศถือเป็นจำนวนที่สูง แต่ถ้ามองในระดับนานาชาติถือว่าไม่สูงเลย เรามีบริษัทแม่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา และบริษัทใหญ่ในเอเชียที่จะเป็นผู้ประมูลลิขสิทธิ์กีฬาต่างๆในทวีป ตั้งอยู่ที่ฮ่องกง รวมถึงมีออฟฟิศเชียลในเอเชียรวม14 ประเทศ สามารถเข้าถึงผู้คนทั่วโลกกว่า 300 ล้านคน หากได้สิทธิ์การถ่ายทอดสดมา นอกจากในประเทศไทยแล้ว เรายังสามารถดึงไปถ่ายทอดสดให้กับประเทศเพื่อนบ้านที่ให้ความสนใจฟุตบอลไทยอย่างเวียดนามหรือมาเลเซียได้เช่นกัน” ม.ร.ว.รุจยารักษ์ เผย
นอกจาก “ฟ็อกซ์” ที่ออกหน้าว่าต้องการที่จะได้ลิขสิทธิ์ ไทย พรีเมียร์ ลีก มาครอบครองแล้ว ยังมีผู้ประกอบการอีกหลายเจ้าที่คาดกันว่าให้ความสนใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ “ซีทีเอช” หรือ บริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) เจ้าของสิทธิ์ พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ซึ่ง เชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์ ประธานกรรมการบริหารซีทีเอช ยอมรับว่าเป็นคอนเทนต์ที่น่าสนใจ แต่ยังไม่เวลาในการพิจารณาตัดสินใจว่าจะทุ่มทุนร่วมชิงชัยหรือไม่
ด้าน ดร.องอาจ ก่อสินค้า ประธาน บริษัท ไทย พรีเมียร์ ลีก จำกัด เชื่อว่าการประมูลครั้งใหม่จะมีมูลค่าพุ่งสูงเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอีก 50 เปอร์เซ็นต์ จากวงเงิน 1,800 ล้านบาท (600 ล้านบาท ต่อปี) จะขยับเป็น 2,700 ล้านบาท (900 ล้านบาท ต่อปี) ซึ่งรายได้ 80 เปอร์เซ็นต์ จากเงินค่าลิขิสิทธิ์ที่ได้มา จะแบ่งให้กับแต่ละสโมสรเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน จากเดิม ไทย พรีเมียร์ ลีก ได้ทีมละ 20 ล้านบาท, ลีก วัน (ดิวิชัน 1) ได้ทีมละ 3 ล้านบาท และ ลีก ภูมิภาค (ดิวิชัน 2) ได้ทีมละ 1 ล้านบาท “ปัจจุบันนี้ยอดผู้ชมทางโทรทัศน์สูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ลิขสิทธิ์เป็นที่ต้องการของหลายบริษัท ซึ่งผมเชื่อว่าปีนี้ยอดเงินจะสูงขึ้นกว่าเดิมอีก 50 เปอร์เซ็นต์แน่นอน”
พร้อมกันนี้ “บิ๊กเปี๊ยก” มองว่าควรจะพิจารณาผู้ชนะในด้านอื่นๆนอกจากจำนวนเงิน “แน่นอนว่าจำนวนเงินเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าได้สูง แต่ละสโมสรก็จะได้เงินตอบแทนสูงด้วย แต่ส่วนตัวผมมองว่าควรจะพิจารณาในด้านอื่นๆควบคู่กันไปด้วย เช่น ความพร้อมของผู้ที่จะได้สิทธิ์ ประสบการณ์การถ่ายทอดสด อุปกรณ์ จำนวนกล้อง มุมกล้อง รวมถึงบุคลากรต่างๆ เพราะสาเหตุที่ทำให้ฟุตบอลไทยบูมในเวลานี้ส่วนหนึ่งมาจากการถ่ายทอดสด ซึ่งที่ผ่านมา ทรูวิชั่นส์ สามารถทำได้อย่างดี ทั้งมุมกล้องและอรรถรสต่างๆในการรับชม ดังนั้นหากผู้ที่ได้สิทธิ์ไปบริหารจัดการไม่ดีหรือไม่พร้อม ก็อาจทำให้เรตติงและภาพรวมของลีกตกลงได้” นายใหญ่ทีพีแอลทิ้งท้าย
--------------------------------------------------------------------------
เรื่องที่ฟ็อกซ์จะท้าสู้ผมไม่มีคอมเมนต์ครับ เป็นเรื่องของทางธุรกิจ แต่ผมตะหงิดใจกะคอมเมนต์บิ๊กเปี๊ยกมากกว่า เครือฟ็อกซ์เนี่ยนะครับจะไม่พร้อม ประสบการณ์ด้านการถ่ายทอดสดไม่มี บริษัทเขาใหญ่กว่าทรูวิชั่นส์อีก ถ้าเขาประมูลได้จริงเขาจะจัดกล้องและทีมงานแจ่มๆ มาจากเมกาและ บ. ในเครือข่ายที่ฮ่องกงสิงคโปร์มามาถ่ายทอดสดให้ดูแบบถึงใจถึงอารมณ์แน่ๆ ที่เสียเปรียบอย่างเดียวคือฟ็อกซ์ไม่มีฟรีทีวีดิจิตอลในประเทศไทยในมือครับ (จริงๆ ผมอยากให้ FIC ครั้งหน้าลองส่งช่อง Fox ไทย ลงไปประมูลทีวีดิจิตอลด้วยก็น่าจะดีนะครับ แล้วก็ทำเหมือนเป็นช่องที่ยำรวมรายการจากช่องในเครือ FIC ต่างๆ ที่เป็นเปย์ทีวี มีกีฬาจาก Fox Sports มีซีรีส์จาก StarWorld และ Channel M มีรายการเพลงของ Channel V มีสารคดีจาก National Geographic มีหนังจากช่องหนังของ Fox มีรายการข่าวผลิตเองเสริมด้วยข่าวจาก Fox News และ Sky News แค่นี้ก็ครบแล้วล่ะครับ) แต่คิดว่าถ้าฟ็อกซ์ประมูลได้ เขาคงดีลกะฟรีทีวีหาช่องลงได้นั่นแหละ ผมแอบคิดอย่างเดียวว่า ถ้าฟ็อกซ์ได้ไทยลีกไป แล้วจะทำให้บางบริษัทที่ไม่ใช่ทรูวิชั่นส์อดอยากปากแห้งเพราะงานที่เคยรับทำแบบเสือนอนกินหายไปหรือเปล่าหว่า 555+