นิพพานคือนิพพาน อัตตา อนัตตา นั้นเป็นทางเดินเพื่อพระนิพพานล้วน ๆ เป็นพระนิพพานไปไม่ได้

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
ตอบปัญหาเรื่องนิพพาน ณ เขื่อนภูมิพล จ.ว.ตาก
เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๒
ถาม   พระนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา ใคร่ขอเรียนหลวงตาช่วยให้คำอธิบายด้วยครับ

ตอบ   เรื่องพระพุทธศาสนา ขณะนี้สื่อมวลชนคือชาวพุทธเรานี้แล กำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องพระนิพพาน แต่เรื่องกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาเต็มหัวใจ ไม่เห็นวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง นี่เอาพระนิพพานมาถามหลวงตาบัว หลวงตาบัวเกิดมาไม่ได้เกิดมากับพระนิพพาน เกิดมากับราคะตัณหา พ่อแม่เสพสมกัน ลูกแตกออกมาเป็นหลวงตาบัว แล้วไม่เห็นมีใครวิพากษ์วิจารณ์ เข้าใจไหมล่ะ นี่เอะอะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องพระนิพพาน หลวงตาบัวก็จนตรอก ถ้าวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหานี้ไม่ต้องตอบ รู้กันทุกคนหรืออันนี้ที่ไม่ถามนั่นน่ะ เพราะรู้กันทุกคนนี้เหรอ

        เอ้า จะวินิจฉัย จะตอบให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ เรื่องพระพุทธศาสนาเป็นธรรมะที่ลึกซึ้งมาก เกินกว่าความรู้ของคนมีกิเลสสามไตรโลกธาตุนี้จะทราบธรรมของพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นและประกาศสอนพวกประชาชนสัตวโลกทั้งหลาย เป็นธรรมที่เลิศเลอถึงกับพระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย เพราะความรู้นี้ ธรรมนี้ลึกซึ้งละเอียดสุด จะเรียกว่าเกินกว่าสัตว์ทั้งหลายจะรู้จะเห็นจะเข้าใจตามได้ แต่เมื่อพระองค์มาทรงวินิจฉัยใคร่ครวญดูนั้น เทียบอุปมาเหมือนกับว่าภูเขาทั้งลูกนี้ มองไปเต็มไปด้วยหินผาป่าไม้ ซึ่งไร้สาระทางประโยชน์อันสูงและอันสูงสุด พระองค์จึงท้อพระทัย เพราะมองดูภูเขาทั้งลูกไร้สาระไปประหนึ่งว่าเกือบทั้งหมด

ทรงพินิจพิจารณาด้วยพระญาณก็หยั่งทราบว่า ภูเขาลูกนี้แม้จะไร้สาระไปเกือบทั้งหมดก็ตาม แต่ส่วนที่ยังเหลือพอที่จะเป็นสารประโยชน์จากวัตถุแร่ธาตุต่าง ๆ ในภูเขาลูกนี้ยังมี พระองค์จึงทรงพินิจพิจารณา แล้วการท้อพระทัยในการที่จะสั่งสอนโลกนั้น ทรงมีพระเมตตาที่จะถอดจะถอนเอาสารประโยชน์จากภูเขาลูกนั้น คำว่าภูเขาลูกนั้นหมายถึงสัตวโลกทั้งหลายนี้ เต็มไปด้วยสิ่งที่ไร้สาระ แต่สิ่งที่มีสาระมีอยู่จำนวนน้อย ได้แก่คุณธรรมภายในใจ พระองค์จึงทรงแนะนำสั่งสอนพวกที่ควรจะได้เป็นสาระ

เหมือนอย่างเราไปหยิบเอาแร่ธาตุต่าง ๆ ในภูเขาลูกนั้น ซึ่งเป็นสารประโยชน์มาทำประโยชน์ต่อไป นี่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนสัตวโลก แม้จะมีจำนวนน้อยก็มีสารคุณอันล้นพ้นที่ควรจะสนพระทัยในการแนะนำสั่งสอน แล้วจึงมาสั่งสอน นี้พูดถึงเรื่องว่าศาสนาหรือธรรมนี้ เป็นสิ่งที่ประหนึ่งว่าสุดวิสัยของโลกที่จะรู้ที่จะเห็นจะเอื้อมถึงได้ ที่พระองค์ท้อพระทัย ละเอียดลออสุขุมขนาดนั้น ทีนี้พูดถึงพระนิพพานก็คือธรรมประเภทนี้เอง ประเภทที่โลกนี้สุดวิสัย

ทีนี้มีผู้ถือนิพพานว่าเป็นอัตตาหรืออนัตตานั้น ขอชี้แจงทางภาคปฏิบัติ เอาหัวใจหลวงตานี้ออกดันเลยให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า หลวงตาปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคผลนิพพานมานี้ตั้งแต่วันออกปฏิบัติ ฟัดกับกิเลสบนภูเขา ตามถ้ำเงื้อมผาป่าช้าป่ารกชัฏ ไม่ได้ออกมาอยู่ตามเมืองตามนา แม้จะไปอยู่จังหวัดไหนก็ตาม อยู่ในป่าในเขาอย่างนี้ตลอดมา เพื่อเป็นความสะดวก เป็นสนามชัยที่จะฟาดฟันหั่นแหลกกับกิเลสได้โดยสะดวก จึงต้องอุตส่าห์พยายามค้นคิดมาตั้งแต่เริ่มแรก

ที่จิตวุ่นวายส่ายแส่เป็นฟืนเป็นไฟภายในหัวใจนี้ ก็เห็นประจักษ์ในหัวใจนี้ตลอดมา เอาธรรมเหมือนกับน้ำที่สะอาดชะล้างเข้าไป ด้วยความพากความเพียรความอุตส่าห์พยายามบึกบึนตลอดไป ก็เหมือนกับน้ำคอยชะล้างสิ่งที่สกปรกทั้งหลายนั้นให้จางลงไป ๆ จิตใจปรากฏเป็นแสงสว่างขึ้นมาภายในหัวอก ความรู้คือใจแท้ ๆ อยู่ในหัวอกนี้ อาศัยในท่ามกลาง สิ่งเหล่านี้เป็นเรือนร่างของจิตดวงนั้น อันนี้เป็นเครื่องมือเป็นเรือนร่าง

เหมือนอย่างศาลาหลังนี้เป็นเรือนร่างสำหรับอยู่ของพวกเรา อันนี้ร่างกายนี้ก็เป็นเรือนร่างสำหรับอยู่ของใจ ใจนี้รู้ซ่านไปหมด ทางตาก็เป็นเครื่องมือของความรู้นี้เพื่อเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ทางหูก็เป็นเครื่องมืออันหนึ่งสำหรับได้ยิน จากผู้รู้อันนี้ส่งออกไปรับทราบจากเครื่องมืออันนี้ อันนี้รับรู้อันนั้น อันนั้นรับรู้อันนั้น จนกระทั่งประสาทส่วนต่าง ๆ ทั่วร่างกายของเรา อะไรมาสัมผัสสัมพันธ์นี้รู้ไปหมดตามความรู้สึกที่ส่งไปในเครื่องมือต่าง ๆ ให้รู้นั้นให้เห็นนี้ ให้สัมผัสนั้นสัมผัสนี้ นี่เรียกว่าอาการหรือทางเดินของจิต เครื่องมือของจิตที่ใช้อยู่ หมายถึงร่างอันนี้ทั้งหมด นี้เป็นเครื่องมือของความรู้นั้นล้วน ๆ

เพราะฉะนั้นเวลาเครื่องมือชำรุด เช่น คนตาบอดแล้วมองไม่เห็น ทั้ง ๆ ที่ความรู้มีอยู่แต่เครื่องมือทางดูนี้ชำรุดไปเสีย ตาบอด หูหนวกฟังไม่ได้ยิน ส่วนสัมผัสอันใดที่ขาดวิ่นหรือด้านไปอย่างนี้ มันก็ไม่รับทราบสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลาย เรียกว่าเครื่องมือหายไป ๆ ชำรุดลงไปจนใช้ไม่ได้ เมื่อใช้ไม่ได้ทั้งหมดนี้เรียกว่าตาย เครื่องมือนี่ใช้ไม่ได้แล้วเรียกว่าตาย จิตดวงที่รู้นี้ถอนออกจากร่างนี้ ออกไปสู่กำเนิดนั้นไปสู่กำเนิดนี้ นี่ละจิต พี่น้องทั้งหลายจำให้ดีนะ นี่ละหลักพุทธศาสนาอย่างแท้จริงที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นทรงปฏิบัติมา สั่งสอนโลกดังที่นำออกมาเวลานี้

ทีนี้ความรู้นี้คือจิต จิตนี้ไม่มีสิ่งที่อาศัย สมบัติเงินทองข้าวของทุกสิ่งทุกอย่างที่เต็มอยู่ภายนอกซึ่งเรายึดว่าเป็นเจ้าของนี้ หมดความหมายในขณะที่ลมหายใจได้ขาดจากร่างลงไปเท่านั้น เรียกว่าคนตาย สิ่งเหล่านั้นก็พังไปด้วยกันหมด ทีนี้จิตนี้ไม่ตาย บาป บุญ แทรกอยู่กับจิตนี้ไม่ตายด้วยกัน ไปด้วยกัน ผู้มีบาปมากก็ไปตกนรก มีบาปมากเท่าไรก็ลงนรกจมปิ๋ง ๆ นรกท่านแสดงไว้ถอดจากพระทัยของพระพุทธเจ้ามาประกาศให้โลกทั้งหลาย ผู้มีญาณความรู้อย่างพระพุทธเจ้าสามารถมองเห็น เช่นพระอรหันต์องค์เชี่ยวชาญรู้เห็นอย่างพระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น แม้จะไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เห็น เป็นสักขีพยานพระพุทธเจ้าได้เป็นอย่างดี

แล้วผู้ที่ทำบาปทำกรรมมากจะตกนรกหลุมที่หนึ่ง เรียกว่ามหันตทุกข์มหันตโทษ ตกนรกอยู่ไม่ทราบกี่กัปกี่กัลป์กว่าจะได้หลุดพ้นจากนรกหลุมนี้ แล้วเลื่อนขึ้นมาจากนรกหลุมนี้ เป็นความทุกข์เบาขึ้นมาแล้วก็อยู่นรกหลุมนี้ เบาขึ้นมาอยู่นรกหลุมนี้ ๆ เรื่อยไป ไม่ได้ขาดออกมาอย่างเดียว ไม่ได้พ้นอย่างเดียวเหมือนเขาติดคุกติดตะราง เขาติดคุกติดตะรางนั้น โทษจะกี่ปีก็ตาม เมื่อพ้นโทษแล้วหลุดจากเรือนจำมา พ้นโทษแล้วเข้าถึงบ้านทันที ไม่ต้องไปเป็นอะไรต่ออะไรต่อไปอีก ไม่ต้องเสวยกรรมหนักกรรมเบาอะไรต่อไปอีก ออกจากเรือนจำพ้นความเป็นนักโทษแล้วก็เข้าถึงบ้านทันที ไปบ้านทันที เรียกว่าหมดโทษในทันทีจากความเป็นนักโทษในเรือนจำ

แต่คนตกนรกสัตว์ตกนรกนี้ไม่เป็นอย่างนั้น พ้นจากนรกหลุมมหันตทุกข์นี้แล้ว เลื่อนขึ้นมาทุกข์เบาขึ้นมา ๆ เรื่อย ๆ กว่าจะพ้น นรกท่านแสดงไว้ ๒๕ หลุม นรก ๒๕ ขุมสำหรับรับกรรมของสัตว์ทั้งหลายผู้มีหนักเบาต่างกัน กรรมชั่วหนักที่สุดท่านแสดงไว้ ๕ ประการ คือ ฆ่าบิดา ๑ ฆ่ามารดา ๑ ฆ่าพระอรหันต์ ๑ ฆ่าพระปัจเจกพุทธเจ้า ๑ ทำสังฆเภทให้สงฆ์แตกจากกัน ๑ ทำลายพระพุทธเจ้าแม้ไม่ถึงตายก็ตาม เพียงบอบช้ำส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งพระอวัยวะก็เป็นกรรมหนักเช่นเดียวกัน ๑ เรียกว่ากรรมหนัก ๕ ประเภท

หากว่าโลกมนุษย์เรานี้ยังพอมีสติสตังอยู่บ้างแล้วให้รีบยับยั้งทันที ในกรรม ๕ ประเภทนี้เป็นกรรมที่เด็ดขาดแสบร้อนที่สุดเลย ลงในนรกหลุมมหันตทุกข์มหันตโทษเป็นอันดับหนึ่งของนรกที่เสวยกองทุกข์มหันตทุกข์อยู่ในนั้นหมด นี่กรรม ๕ ประเภทนี้ลงในหลุมนี้ แล้วหย่อนลงมา เช่น ฆ่าสัตว์ผู้มีบุญมีคุณ ฆ่าผู้ฆ่าคนผู้มีบุญมีคุณ ลดหย่อนกันลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงการฆ่าสัตว์ทั่ว ๆ ไป บาปก็จะมีเป็นลำดับลำดาหนักเบามากน้อยต่างกันอย่างนี้ เรื่องตกนรกก็ตกตามนี้ ๆ จำให้ดีนะ ถอดจากศาสนาของพระพุทธเจ้ามาให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ ตามหลักความจริงเป็นอย่างนี้ ลบไม่สูญ

สามแดนโลกธาตุใครจะมาลบเรื่องบาปเรื่องบุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพานลบไม่ได้ทั้งนั้น เป็นหลักธรรมชาติมีมากี่กัปกี่กัลป์นับไม่ได้เลย นี่ละสัตว์ทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดตกอยู่อย่างนี้ นี่หมายถึงความชั่วที่เป็นอยู่กับจิต จิตดวงนี้ไม่ตาย แล้วก็พาจิตดวงนี้หมุนลงไปในนรก ตามแต่กรรมหนักเบาเสวยไปโดยลำดับ จนกระทั่งพ้นจากนรกมาแล้ว ยังต้องมาเป็นเปรตเป็นผีหาขอทานกินกับญาติกับวงศ์ ดังที่เราทำบุญอุทิศให้ผู้ตายทุกวันนี้แหละ

เราทำบุญอุทิศให้ผู้ตายนี้ เปรตมี ๑๓ ประเภท อันนี้เรียก ปรทัตตูปชีวีเปรต เปรตพวกนี้เวลาพ้นมาแล้วมาเป็นเปรตจำพวกนี้แล้ว ก็มีความสามารถที่จะรับส่วนบุญส่วนกุศลจากญาติพี่น้องพ่อแม่ญาติวงศ์ทั้งหลายได้ ทีนี้พอเราทำบุญให้ทานเราอุทิศส่วนกุศล เปรตพวกนี้ก็มารับได้ นอกจากนั้นรับไม่ได้ นี่เปรตมี ๑๓ จำพวก จำพวกเดียวที่รับได้ให้พี่น้องทั้งหลายทราบไว้เสีย นี่ขึ้นมาเป็นเปรต จากนั้นก็มาเป็นคน เป็นคนพิการง่อยเปลี้ยเสียแข้งเสียขา เป็นมนุษย์ไม่เต็มบาทขาดตาเต็ง ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ วิการง่อยเปลี้ยเสียแข้งเสียขา มนุษย์ขาดอวัยวะ จากนั้นมาก็เป็นมนุษย์สมบูรณ์ นี่หมายถึงพวกที่ทำบาปทำกรรมหนัก ทำกรรมหนักดังที่กล่าวมาแล้วนี้

ไม่ว่ากรรมประเภทใดไม่มีที่ลับไม่มีที่แจ้ง เปิดเผยอยู่กับการกระทำของตัวเอง จะไปทำในที่มืดก็ตามในที่แจ้งก็ตาม เจ้าของเองผู้ทำบาปไม่มีที่มืดที่แจ้ง เป็นกรรมชั่วตลอดเวลาในขณะที่ทำ นี่หมายถึงการทำชั่ว ทีนี้เวลาทำลงไปแล้วบาปนี้ไม่มีที่ลับที่แจ้ง เป็นบาปตลอดเวลาขณะที่ทำลงไปมากน้อย นี่ละกรรมเหล่านี้ติดอยู่กับใจของสัตว์ทั้งหลาย พอตายแล้วถ้าใครมีกรรมหนักก็ดีดผึงเดียว ไม่ต้องได้ถามกันว่าจากนี้ไปถึงนั้นกี่กิโล จากจังหวัดนี้ถึงจังหวัดนั้นกี่กิโล จากนรกหลุมนี้ไปนรกหลุมนั้นกี่กิโล ไม่ต้องถามกัน ขาดสะบั้นลงไปทีเดียวผึงถึงเลย ๆ ไม่มีนาทีโมงกาลสถานที่ที่ไหนไม่มี อันนี้ถึงทันทีเลย นี่เราพูดถึงเรื่องความชั่วที่ติดอยู่กับหัวใจของสัตวโลก พาให้สัตว์ทั้งหลายได้รับความทุกข์ความทรมานอยู่ตลอดเวลา

พวกเราทั้งหลายที่เกิดมานี้เกิดมาด้วยอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่ว ไม่ได้เกิดมาด้วยอำนาจวาดภาพลม ๆ แล้ง ๆ ไปเฉย ๆ ดังที่วาดกันมาตลอดแต่หาความจริงไม่ได้ นี้เอาความจริงมาพูด นี่เราพูดถึงเรื่องความชั่วมันติดหัวใจ พาสัตว์ทั้งหลายให้ตกนรกตั้งแต่มหันตทุกข์ขึ้นมาจนกระทั่งถึงมนุษย์ ส่วนการทำดีก็เหมือนกัน การทำความดีนี้ไม่มีที่แจ้งที่ลับเช่นเดียวกับการทำบาป ทำมากทำน้อยทำที่ไหนก็ตามจะเป็นบุญเป็นคุณติดแนบกับใจเช่นเดียวกัน

ใจนี้เป็นเหมือนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ข้างนี้เป็นบาป ข้างนี้เป็นบุญ ติดอยู่ภายในใจ เพราะฉะนั้นเวลาตายแล้วจิตนี้ไม่เคยตาย บาปบุญติดแนบอยู่ภายในใจ จึงส่งผลให้ไปเกิดในที่ชั่ว เช่นตกนรก บุญทำให้เกิดในสถานที่ดี เช่นมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบมีวาสนาบารมี แล้วก็ไปสวรรค์ เป็นเทวบุตรเทวดาชั้นนั้น ๆ สวรรค์มี ๖ ชั้น นรกมี ๒๕ หลุม สวรรค์เป็นฝ่ายความดีนี้มี ๒๒ ชั้น ตั้งแต่จาตุมฯ ขึ้นไปถึงปรนิมมิตวสวัตดี มี ๖ ชั้น พรหมโลกมี ๑๖ ชั้น นี้สำหรับบรรจุคนผู้สร้างบุญสร้างกุศล สร้างได้มากได้น้อยควรจะเกิดมาเป็นมนุษย์ก็มาเป็นมนุษย์ ควรจะเป็นเทวบุตรเทวดาก็ไปเป็นเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม ตลอด แล้วผู้ที่มีบารมีสูงสุดเป็นจิตที่บริสุทธิ์ทรงวิมุตติพระนิพพานไว้ในหัวใจแล้ว ดีดผึงถึงพระนิพพานทีเดียวเลย นี้เรียกว่าวิบากกรรม มีอยู่กับทุกคนทุกตัวสัตว์

เราไม่ได้มาเกิดอย่างลอย ๆ  เราเกิดมาด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกรรม เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงไม่ให้ประมาทกัน ใครจะเกิดในสถานที่ใดสกุลใดมั่งมีศรีสุขหรือทุกข์จนหนโลกขนาดไหนก็ตาม ท่านไม่ให้ประมาทกัน เพราะเรานี้เกิดมาด้วยอำนาจแห่งกรรมของตน ๆ แต่ละคน ๆ ไม่สับปนกัน ท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน วาระเขาทำชั่วเขาก็มีกรรมประเภทนี้ เขาทำดีประการใด เขาก็มีความดีประเภทนี้ ๆ ไม่คละเคล้ากัน เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน ถึงวาระที่เสวยกรรมชั่วก็มี เสวยกรรมดีก็มี สัตว์ทุกตัวสัตว์เป็นอย่างนั้นเรื่อยมาเป็นลำดับ นี่พูดถึงจิตดวงนี้ไม่ตาย มันพาสัตว์ให้เกิดให้ตาย หมุนเวียนสูง ๆ ต่ำ ๆ อยู่นี้ตลอดมากี่กัปกี่กัลป์ในสัตว์บุคคลรายหนึ่ง ๆ นี่ตายไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์มาเรื่อยโดยลำดับ นี่คือจิตไม่ตาย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่