กรดวิตามิน A กับการรักษาสิว
มีผลิตภัณฑ์มากมายหลายแบรนด์ ที่ได้นำกรดวิตามิน-เอ มาใช้และขึ้นอยู่ว่ามีปริมาณมากน้อยเท่าไรเท่าไรหรือ กรดวิตามิน A จะช่วยในการลอกเซลล์ผิวอย่างอ่อนเร่งการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถ้าใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและสูตรที่ดี จะซึมสู่ผิวหนังได้จะเพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวและปรับเซลล์ผิวหนังที่แก่เนื่องจากแสดงแดด (photoaging) ให้กลับสู่ภาวะปกติโดยมีผลต่อการสร้างคอลลาเจน จึงนิยมใช้ในการชะลอความแก่ จึงมีการผลิตครีมที่มีส่วนผสมของ ไฮโดรควิโนนและกรดวิตามิน Aใช้เพื่อรักษาฝ้า โดยจะต้องทาติดต่อกันทุกวันห้ามหยุดจนฝ้าหายไปและไม่ควรจะหยุดทาเมื่อฝ้าหายแล้ว เพราะมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก แต่ต้องใช้รูปแบบในการลดการทาลงเป็นวันเว้นวันและห่างลงเรื่อยๆ ลดการเกิดสิว จัดการสิวอุดตัน สิวไม่มีหัว สิวหัวขาว และสิวเสี้ยน และก็มีการนำมาใช้ละลายหัวสิวได้ดี “อ่านดูแล้วหน้าใช้มากนะ..แต่ขอให้อ่านให้จบก่อนตัดสินใจคะ”
ในปี 1969 Kligman ได้ใช้กรดวิตามิน A บำบัดสิว พบว่าสามารถลดจำนวนคอมิโดนลงได้จริง แต่อย่างไรก็ตามการใช้กรดวิตามิน A
ก็ยังมีขอเสียอยู่จากการใช้คือ
· ต้องใช้ระยะเวลานานอย่างน้อย 3 เดือน
· อาจเกิดการแสบร้อนบริเวณที่ทาและมีผิวหน้าแห้งและลอก
· เกิดการอักเสบของหัวสิว
· ผู้ใช้เกิดการแพ้แสงแดด แสงไฟ
การออกฤทธิ์คือเร่งการสร้างหนังกำพร้าแต่ขัดขวางการเกิดแปรสภาพเป็นคีราติน (keratinization) โดยไปยับยั้งการสร้างสารเริ่มต้นของคีราติน และการใช้กรดวิตามิน A ในปริมาณเท่ากันแต่การระคายเคืองต่างกัน คือ ถ้าเป็นครีมจะระคายเคืองน้อยกว่าเจล ที่ระคายเคืองมากสุดคือเนื้อน้ำยาใส
** ต่อมาเรามาดูข้อเสียของกรอวิตามิน A หรือผลข้างเคียงกันดีกว่า **
กรดวิตามิน A ไม่ทนต่อแสง ออกซิเจน ความร้อนและสลายตัวในน้ำ จึงไวต่อแสงจึงห้ามใช้ในตอนเช้าและใช้ตอนหน้าแห้งสนิทประสิทธิภาพจะดี
กรดวิตามิน A มีความระคายเคืองสูง หน้าแดง แห้ง ลอกมากๆ เป็นขรุย และเกิดการแพ้ได้ง่าย
ผู้ใช้เกิดการแพ้แสงแดด แสงไฟ แสบร้อนบริเวณที่ทา
ผิวหน้าที่ทามีสีเข็มขึ้นหรืออ่อนลง
การใช้กรดวิตามิน A ทำให้สิวขึ้นมากกว่าเดิม เพราะหัวสิวที่อยู่ใต้ผิวจะขึ้นมา
ห้ามใช้กับสิวอักเสบหรือสิวหนองเพราะจะทำให้เกิดการอักเสบขึ้น
ทาครีมกันแดดที่ดีๆทุกครั้งที่ต้องออกไปนอกบ้านเพราะคนที่ใช้กรดวิตามิน A ผิวจะไวต่อแสงมากกว่าคนปกติและหน้าบางลง
ห้ามใช้คู่กับผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ในการผลัดเซลผิวอื่นๆ เช่น AHA , กรด TCA , หรือยาพวก Benzoyl peroxide(BP) เพราะจะทำให้หน้าลอกรุนแรงมากขึ้น
คนท้องห้ามใช้เพราะส่งผลต่อเด็กในครรภ์
การใช้ครีมบำรุงหรือทำความสะอาดในตอนที่ใช้กรดวิตามิน A ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนสูงไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองรวมไปถึงการแต่งหน้า สรุปว่าในช่วงที่ใช้กรดวิตามิน A ต้องดูแลหน้ามากกว่าปกติมากๆๆเลยคะ
การใช้กรดวิตามิน A ไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อสิวแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P. acnes (พีเอคเน่)) ทำให้คอมิโดนเกิดการหลุดแยกหลุดง่ายขึ้นเท่านั้น
ที่มา :
http://doodnees.blogspot.com/2015/08/blog-post.html#more
กรดวิตามิน A กับการรักษาสิว
มีผลิตภัณฑ์มากมายหลายแบรนด์ ที่ได้นำกรดวิตามิน-เอ มาใช้และขึ้นอยู่ว่ามีปริมาณมากน้อยเท่าไรเท่าไรหรือ กรดวิตามิน A จะช่วยในการลอกเซลล์ผิวอย่างอ่อนเร่งการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถ้าใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและสูตรที่ดี จะซึมสู่ผิวหนังได้จะเพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวและปรับเซลล์ผิวหนังที่แก่เนื่องจากแสดงแดด (photoaging) ให้กลับสู่ภาวะปกติโดยมีผลต่อการสร้างคอลลาเจน จึงนิยมใช้ในการชะลอความแก่ จึงมีการผลิตครีมที่มีส่วนผสมของ ไฮโดรควิโนนและกรดวิตามิน Aใช้เพื่อรักษาฝ้า โดยจะต้องทาติดต่อกันทุกวันห้ามหยุดจนฝ้าหายไปและไม่ควรจะหยุดทาเมื่อฝ้าหายแล้ว เพราะมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก แต่ต้องใช้รูปแบบในการลดการทาลงเป็นวันเว้นวันและห่างลงเรื่อยๆ ลดการเกิดสิว จัดการสิวอุดตัน สิวไม่มีหัว สิวหัวขาว และสิวเสี้ยน และก็มีการนำมาใช้ละลายหัวสิวได้ดี “อ่านดูแล้วหน้าใช้มากนะ..แต่ขอให้อ่านให้จบก่อนตัดสินใจคะ”
ในปี 1969 Kligman ได้ใช้กรดวิตามิน A บำบัดสิว พบว่าสามารถลดจำนวนคอมิโดนลงได้จริง แต่อย่างไรก็ตามการใช้กรดวิตามิน A
ก็ยังมีขอเสียอยู่จากการใช้คือ
· ต้องใช้ระยะเวลานานอย่างน้อย 3 เดือน
· อาจเกิดการแสบร้อนบริเวณที่ทาและมีผิวหน้าแห้งและลอก
· เกิดการอักเสบของหัวสิว
· ผู้ใช้เกิดการแพ้แสงแดด แสงไฟ
การออกฤทธิ์คือเร่งการสร้างหนังกำพร้าแต่ขัดขวางการเกิดแปรสภาพเป็นคีราติน (keratinization) โดยไปยับยั้งการสร้างสารเริ่มต้นของคีราติน และการใช้กรดวิตามิน A ในปริมาณเท่ากันแต่การระคายเคืองต่างกัน คือ ถ้าเป็นครีมจะระคายเคืองน้อยกว่าเจล ที่ระคายเคืองมากสุดคือเนื้อน้ำยาใส
** ต่อมาเรามาดูข้อเสียของกรอวิตามิน A หรือผลข้างเคียงกันดีกว่า **
กรดวิตามิน A ไม่ทนต่อแสง ออกซิเจน ความร้อนและสลายตัวในน้ำ จึงไวต่อแสงจึงห้ามใช้ในตอนเช้าและใช้ตอนหน้าแห้งสนิทประสิทธิภาพจะดี
กรดวิตามิน A มีความระคายเคืองสูง หน้าแดง แห้ง ลอกมากๆ เป็นขรุย และเกิดการแพ้ได้ง่าย
ผู้ใช้เกิดการแพ้แสงแดด แสงไฟ แสบร้อนบริเวณที่ทา
ผิวหน้าที่ทามีสีเข็มขึ้นหรืออ่อนลง
การใช้กรดวิตามิน A ทำให้สิวขึ้นมากกว่าเดิม เพราะหัวสิวที่อยู่ใต้ผิวจะขึ้นมา
ห้ามใช้กับสิวอักเสบหรือสิวหนองเพราะจะทำให้เกิดการอักเสบขึ้น
ทาครีมกันแดดที่ดีๆทุกครั้งที่ต้องออกไปนอกบ้านเพราะคนที่ใช้กรดวิตามิน A ผิวจะไวต่อแสงมากกว่าคนปกติและหน้าบางลง
ห้ามใช้คู่กับผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ในการผลัดเซลผิวอื่นๆ เช่น AHA , กรด TCA , หรือยาพวก Benzoyl peroxide(BP) เพราะจะทำให้หน้าลอกรุนแรงมากขึ้น
คนท้องห้ามใช้เพราะส่งผลต่อเด็กในครรภ์
การใช้ครีมบำรุงหรือทำความสะอาดในตอนที่ใช้กรดวิตามิน A ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนสูงไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองรวมไปถึงการแต่งหน้า สรุปว่าในช่วงที่ใช้กรดวิตามิน A ต้องดูแลหน้ามากกว่าปกติมากๆๆเลยคะ
การใช้กรดวิตามิน A ไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อสิวแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P. acnes (พีเอคเน่)) ทำให้คอมิโดนเกิดการหลุดแยกหลุดง่ายขึ้นเท่านั้น
ที่มา : http://doodnees.blogspot.com/2015/08/blog-post.html#more