เนื่องจากผมทำงานในสายงานถ่ายภาพรับใบปริญญามากว่า 1x ปี ได้มีโอกาสติดต่อ/เข้าใปประมูลถ่ายภาพรับใบปริญญาในสถาบันต่างๆกว่า 400 แห่งทั่วประเทศ
ทั้งเอกชนและรัฐบาล ส่วนใหญ่มีกฎ ระเบียบ ที่คล้ายกัน หรือในส่วนสถาบันในสังกัดรัฐบาลนี่แทบจะก๊อปปี้มาเลย โดยส่วนใหญ่จะเข้าข่ายกีดกัน/จำกัดสิทธิ ของผู้ประกอบการรายใหม่
แบบเบ็ตเสร็จ อย่างในรายสถาบันสังกัดรัฐบาลจะมีดังนี้
1. การล็อคสเป็คและกีดกันการแข่งขันโดยเสรีอย่างเบ็ดเสร็จ
- มีระเบียบข้อบังคับ ข้อนึง ที่สำคัญมากในการล็อคให้ทั้งประเทศ มีร้านที่ให้บริการด้าน การถ่ายภาพในพิธีรับปริญญาบัตร นี้อยู่แค่ 6 ร้านหลักๆทั่วประเทศมาเกือบ30ปี (เท่าที่มีข้อมูล) เงื่อนไขที่จะเข้าประมูลได้ คือ
" ร้านที่เข้าร่วมการประมูลได้ต้องมีประสบการการถ่ายภาพพิธีพระราชปริญญาในระดับอุดมศึกษาในสังกัดรัฐจำนวนไม่ต่ำกว่า 1,000 คน
มาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ปี "
คือถ้ามองผิวเผิน กฎข้อนี้ดีมาก กันร้านที่ประสบการณ์การทำงานไม่ถึง มาสร้างความเสียหายได้ แต่กฎข้อนี้มีอยู่เหมือนกันทุกสถาบันทั้ง 60 กว่าแห่ง ที่เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐที่เปิดการประมูล ซึ่งเป็นการจำกัดร้าน
ที่เกิด หลังกฎข้อนี้ตั้งขึ้นมา ไม่สามารถเข้ารับงานได้โดยเด็ดขาด เพราะจะมีร้านเกิดใหม่ที่ไหนจะมีประสบการณ์ 3 ปีได้ ในเมื่อทุกสถาบันมีกฎเดียวกัน จึงถือเป็นกฎที่ผูกขาดการค้าไว้เฉพาะกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น( 5 - 6ร้านใหญ่ )
- มีระเบียบข้อบังคับที่ล้าสมัย ไม่ทันยุค ขาดการปรับปรุง อย่างเรื่องการบังคับใช้ฟิลม์ ทั้งที่ดิจิตอลพัฒนาไปมากแล้ว หรือระบบไฟ ที่บังคับใช้ไฟ ( ถ่ายหนัง ) ดวงละ เกือบล้าน
ทั้งที่มีไฟระบบใหม่ที่ดีกว่า รวมทั้งกฎหลายๆข้อ ที่คนร่างกฎเฉพาะนี้ไม่มีความรู้ หรือ ความเข้าใจ ในงานลักษณะนี้อย่างแท้จริง ซึ่งตรงนี้ อาจจะ เป็นการเอื้อ ผลประโยชน์ ให้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยตรง
และ ทางร้านเคยโดนใช้ข้ออ้าง ตามกฎระเบียบนี้ ตัดสิทธิมาแล้ว
2. การประมูลที่ไม่โปร่งใส
ไม่มีความชัดเจน ของคุณสมบัติผู้ชนะการประมูล ที่เป็นรูปธรรม
มีกฎการประมูลที่บอกว่าไม่จำเป็นที่ผู้ชนะจะต้องเป็นผู้ประมูลราคาสูงสุดเท่านั้น
ทางร้านเข้าใจเจตนารมกฎข้อนี้ดี แต่ถูกเอามาใช้อ้าง ในทางที่ผิดอีกแล้ว ร้านเคยโดนปลดจากผู้ชนะการประมูล โดยให้เหตุผลว่าภาพที่เอามาใช้เป็นผลงาน ไม่สวยพอ (มันไม่ใช่งานประกวดถ่ายภาพนะครับ
แถมมันเป็นงานศิลป์ที่แล้วแต่มุมมองแต่ละคนด้วยจะใช้เป็นข้อสุดของคนทั้งหมดไม่ได้ จะร่างเป็นเกณความสวยของรูปทั้งวันก็ไม่จบหรอก)
ผลงานไม่ผ่าน ทั้งมีทางสถาบันมีเวลาตรวจสอบภาพผลงานมากกว่า 30 วัน ก่อน ที่ทาง สถาบัน จะ เชิญให้ทางร้าน ร่วมเข้าการประมูล พอร้านประมูลชนะก็โดนปลด เพราะเหตุผลนี้ ยังไม่นับการเดินทางกว่า2-3วัน
การรวบรวมและประเมินข้อมูลอีกร่วมเดือน โดยไม่แม้คำขอโทษเลย แล้วแถมมีหยอด เชิญอีกปีหน้า อาจมีโอกาศ (โดนหลอกมา3ปี เข็ด)
3 . การประมูลแบบปิด ไม่สามารถตรวจสอบได้ ก่อให้เกิดการฮั้วประมูลได้โดยง่าย
-การประมูลงานแต่ละครั้งเป็น การประมูลแบบปิด มีทั้งแบบแจ้งวันบ้างไม่แจ้งวันบ้าง โทรสอบถามไปบอกให้ไปเช็คเวปเอา หรือติดตามเอาเอง พอโทรไปบ่อยมีด่าอีก เชื่อไหมขนาดโทรตามทุกอาทิตยังมีพลาด ประมูลไปแล้วก็มี
-ดำเนินการประมูลในที่ลับ รู้แค่คณะกรรมการเป็นคนพิจารณาแค่ไม่กี่คน กระทำในที่ลับบ้าง ไม่ลับบ้าง พิจารณากันในใจ โดยไม่มีการเปิดเผยตัวเลขว่าร้านไหน ประมูลเท่าไหร่ ร้านที่ชนะการ
ประมูลให้ไว้เท่าไหร่ คนรองเท่าไหร่ เคยเกิดกรณีมีร้านประมูลกระดาษเปล่า ให้กรรมการไปใส่ตัวเลขเอง โดยชนะแบบฉิวเฉียวอย่าน่าสงสัยมาแล้ว
4 . การประมูลโดยไม่มี เพดานการประมูล ( ซึ่งเรื่องพวกนี้ น่าจะต้องมีราคากลาง )
-การไม่มีข้อจำกัดในส่วนตัวเลข เรื่องการค้ากำไรเกินควร เคยมีสถาบันหนึ่งที่ร้านที่ชนะการประมูลเสนอตัวเลขประมูลที่ 2,000 บาท ต่อบัณฑิต 1 คน เป็นผลให้
ราคาจองภาพขณะรับปริญญามีราคาสูงที่สุดในประเทศ คือ ชุดจองราคาต่ำที่สุดของร้านราคา เกือบ 3,000 บาท โดยที่ต้นทุนแค่ 6-700 กว่าบาทเท่านั้น ภาระตกกับผู้เข้ารับปริญญา
โดยตรง น่าสงสารมากไม่รู้จะไปร้องที่ไคร
5 . การประมูลแบบสอบราคา
โดยมีการอ้างการสอบราคา ผู้สนใจก็ส่งข้อมูลเข้าไปหรือมายืนเอกสารไว้ ถ้าสนใจแล้วจะเรียกเอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลในการจ้างงาน พูดง่ายๆจะจ้างใครก็ได้ ที่ให้ผลประโยชน์สูงสุด กับ ผู้รับผิดชอบตัวจริงเท่านั้น
หากปวดตาเอาแค่5ข้อก็พอนะครับ ขอโทษครับผมโพสเองครั้งแรก
PS บทความนี้เป็นตัวฉบับย่อ สามารถอ่านตัวเต็มที่ (ยาวหน่อยนะครับ)
http://ppantip.com/topic/34026987
ขอบคุณครับ
ยังงี้เข้าข่ายคอรัปชันไหมแล้วจะแก้ไขอย่างไรดี
ทั้งเอกชนและรัฐบาล ส่วนใหญ่มีกฎ ระเบียบ ที่คล้ายกัน หรือในส่วนสถาบันในสังกัดรัฐบาลนี่แทบจะก๊อปปี้มาเลย โดยส่วนใหญ่จะเข้าข่ายกีดกัน/จำกัดสิทธิ ของผู้ประกอบการรายใหม่
แบบเบ็ตเสร็จ อย่างในรายสถาบันสังกัดรัฐบาลจะมีดังนี้
1. การล็อคสเป็คและกีดกันการแข่งขันโดยเสรีอย่างเบ็ดเสร็จ
- มีระเบียบข้อบังคับ ข้อนึง ที่สำคัญมากในการล็อคให้ทั้งประเทศ มีร้านที่ให้บริการด้าน การถ่ายภาพในพิธีรับปริญญาบัตร นี้อยู่แค่ 6 ร้านหลักๆทั่วประเทศมาเกือบ30ปี (เท่าที่มีข้อมูล) เงื่อนไขที่จะเข้าประมูลได้ คือ
" ร้านที่เข้าร่วมการประมูลได้ต้องมีประสบการการถ่ายภาพพิธีพระราชปริญญาในระดับอุดมศึกษาในสังกัดรัฐจำนวนไม่ต่ำกว่า 1,000 คน
มาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ปี "
คือถ้ามองผิวเผิน กฎข้อนี้ดีมาก กันร้านที่ประสบการณ์การทำงานไม่ถึง มาสร้างความเสียหายได้ แต่กฎข้อนี้มีอยู่เหมือนกันทุกสถาบันทั้ง 60 กว่าแห่ง ที่เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐที่เปิดการประมูล ซึ่งเป็นการจำกัดร้าน
ที่เกิด หลังกฎข้อนี้ตั้งขึ้นมา ไม่สามารถเข้ารับงานได้โดยเด็ดขาด เพราะจะมีร้านเกิดใหม่ที่ไหนจะมีประสบการณ์ 3 ปีได้ ในเมื่อทุกสถาบันมีกฎเดียวกัน จึงถือเป็นกฎที่ผูกขาดการค้าไว้เฉพาะกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น( 5 - 6ร้านใหญ่ )
- มีระเบียบข้อบังคับที่ล้าสมัย ไม่ทันยุค ขาดการปรับปรุง อย่างเรื่องการบังคับใช้ฟิลม์ ทั้งที่ดิจิตอลพัฒนาไปมากแล้ว หรือระบบไฟ ที่บังคับใช้ไฟ ( ถ่ายหนัง ) ดวงละ เกือบล้าน
ทั้งที่มีไฟระบบใหม่ที่ดีกว่า รวมทั้งกฎหลายๆข้อ ที่คนร่างกฎเฉพาะนี้ไม่มีความรู้ หรือ ความเข้าใจ ในงานลักษณะนี้อย่างแท้จริง ซึ่งตรงนี้ อาจจะ เป็นการเอื้อ ผลประโยชน์ ให้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยตรง
และ ทางร้านเคยโดนใช้ข้ออ้าง ตามกฎระเบียบนี้ ตัดสิทธิมาแล้ว
2. การประมูลที่ไม่โปร่งใส
ไม่มีความชัดเจน ของคุณสมบัติผู้ชนะการประมูล ที่เป็นรูปธรรม
มีกฎการประมูลที่บอกว่าไม่จำเป็นที่ผู้ชนะจะต้องเป็นผู้ประมูลราคาสูงสุดเท่านั้น
ทางร้านเข้าใจเจตนารมกฎข้อนี้ดี แต่ถูกเอามาใช้อ้าง ในทางที่ผิดอีกแล้ว ร้านเคยโดนปลดจากผู้ชนะการประมูล โดยให้เหตุผลว่าภาพที่เอามาใช้เป็นผลงาน ไม่สวยพอ (มันไม่ใช่งานประกวดถ่ายภาพนะครับ
แถมมันเป็นงานศิลป์ที่แล้วแต่มุมมองแต่ละคนด้วยจะใช้เป็นข้อสุดของคนทั้งหมดไม่ได้ จะร่างเป็นเกณความสวยของรูปทั้งวันก็ไม่จบหรอก)
ผลงานไม่ผ่าน ทั้งมีทางสถาบันมีเวลาตรวจสอบภาพผลงานมากกว่า 30 วัน ก่อน ที่ทาง สถาบัน จะ เชิญให้ทางร้าน ร่วมเข้าการประมูล พอร้านประมูลชนะก็โดนปลด เพราะเหตุผลนี้ ยังไม่นับการเดินทางกว่า2-3วัน
การรวบรวมและประเมินข้อมูลอีกร่วมเดือน โดยไม่แม้คำขอโทษเลย แล้วแถมมีหยอด เชิญอีกปีหน้า อาจมีโอกาศ (โดนหลอกมา3ปี เข็ด)
3 . การประมูลแบบปิด ไม่สามารถตรวจสอบได้ ก่อให้เกิดการฮั้วประมูลได้โดยง่าย
-การประมูลงานแต่ละครั้งเป็น การประมูลแบบปิด มีทั้งแบบแจ้งวันบ้างไม่แจ้งวันบ้าง โทรสอบถามไปบอกให้ไปเช็คเวปเอา หรือติดตามเอาเอง พอโทรไปบ่อยมีด่าอีก เชื่อไหมขนาดโทรตามทุกอาทิตยังมีพลาด ประมูลไปแล้วก็มี
-ดำเนินการประมูลในที่ลับ รู้แค่คณะกรรมการเป็นคนพิจารณาแค่ไม่กี่คน กระทำในที่ลับบ้าง ไม่ลับบ้าง พิจารณากันในใจ โดยไม่มีการเปิดเผยตัวเลขว่าร้านไหน ประมูลเท่าไหร่ ร้านที่ชนะการ
ประมูลให้ไว้เท่าไหร่ คนรองเท่าไหร่ เคยเกิดกรณีมีร้านประมูลกระดาษเปล่า ให้กรรมการไปใส่ตัวเลขเอง โดยชนะแบบฉิวเฉียวอย่าน่าสงสัยมาแล้ว
4 . การประมูลโดยไม่มี เพดานการประมูล ( ซึ่งเรื่องพวกนี้ น่าจะต้องมีราคากลาง )
-การไม่มีข้อจำกัดในส่วนตัวเลข เรื่องการค้ากำไรเกินควร เคยมีสถาบันหนึ่งที่ร้านที่ชนะการประมูลเสนอตัวเลขประมูลที่ 2,000 บาท ต่อบัณฑิต 1 คน เป็นผลให้
ราคาจองภาพขณะรับปริญญามีราคาสูงที่สุดในประเทศ คือ ชุดจองราคาต่ำที่สุดของร้านราคา เกือบ 3,000 บาท โดยที่ต้นทุนแค่ 6-700 กว่าบาทเท่านั้น ภาระตกกับผู้เข้ารับปริญญา
โดยตรง น่าสงสารมากไม่รู้จะไปร้องที่ไคร
5 . การประมูลแบบสอบราคา
โดยมีการอ้างการสอบราคา ผู้สนใจก็ส่งข้อมูลเข้าไปหรือมายืนเอกสารไว้ ถ้าสนใจแล้วจะเรียกเอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลในการจ้างงาน พูดง่ายๆจะจ้างใครก็ได้ ที่ให้ผลประโยชน์สูงสุด กับ ผู้รับผิดชอบตัวจริงเท่านั้น
หากปวดตาเอาแค่5ข้อก็พอนะครับ ขอโทษครับผมโพสเองครั้งแรก
PS บทความนี้เป็นตัวฉบับย่อ สามารถอ่านตัวเต็มที่ (ยาวหน่อยนะครับ)
http://ppantip.com/topic/34026987
ขอบคุณครับ