หลักฐานความรู้สึก บันทึกจากหุบเขา...กับเรื่องเล่า ฉบับชาวบ้าน~~


"ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา... จะรู้ว่ามีค่า เมื่อเสียไป"  เป็นประโยคที่ใหม่และจริงเสมอ  จะรู้สึกว่า สำคัญ เมือน้ำตาเอ่อเป็นสาย...
      เรารู้แล้วว่า สิ่งที่มีค่า คืออะไร ก็ในวันที่เราจากมันไป หรือมันไม่อยู่กับเราแล้ว เหลือเพียงซากความรู้สึก ที่นอนแหง่ว ให้เรานั่งมองมัน และหวังว่าซักวัน...จะได้ไปรู้สึกอีก


      วันนี้ เรานั่งมอง "หลักฐานความรู้สึก" ที่เราบันทึกมา ด้วยน้ำตาเอ่อนิดๆ น้ำตาเคล้าความคิด...ความคิดถึง
      ประสบการณ์ในชีวิตทำให้เรารู้ว่า เห้ย มันน่าเสียดายนะ ที่ต้องมานอนหลับตา คิดถึงภาพเก่าๆ ภาพที่เราไม่ได้มีหลักฐานอะไรเอาไว้เลย นอกจากร่องรอยที่รู้สึกว่า "เคย" ไปสัมผัสมา และจำหน้าตาได้เพียงเลือนลาง


       เราเป็นคนที่ไม่ชอบถ่ายรูป ไม่มีเทคนิคเลย แต่เราก็เริ่มคิดแล้วว่า... อยากมีหลักฐานความรู้สึก เหมือนสมุดบันทึกที่เราบันทึกเรื่องราว เปิดเมื่อไหร่ ก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหล่านั้นทุกครั้ง ... เราเลยเก็บมันมาและตั้งชื่อให้มันว่า...
"หลักฐานความรู้สึก...บันทึกจากหุบเขา"  หลักฐานที่เป็นเหมือนตัวแทนความคิดถึงของเรา
ที่เอามากอดก่อนนอนทุกคืน และในยามที่รู้สึกฝืนความรู้สึกมากๆ



     "หลักฐานความรู้สึก บันทึกจากหุบเขา กับเรื่องเล่าฉบับชาวบ้าน" ชาวบ้านที่กำลังนั่งเล่าคนนี้ มีเรื่องบางอย่างมาแชร์... จุดประสงค์ก็แค่อยากหายเหงา เพราะตอนนี้เรากำลังป่วย ด้วยโรค "Home sick" กระซิกๆ ๆๆ เลยต้องมานั่งพิมพ์ยิกๆแก้เหงา แต่ยิ่งพิมพ์ก็ยิ่งเศร้า แต่ก็อยากเล่าอยู่ดี ... 5555 อย่างน้อยๆ ความรู้สึกเหล่านั้น ความคิดถึงเหล่านี้ ที่มันล้นปรี่ ได้ระบายออกไปบ้าง
    

        สิ่งที่เราบันทึกมาจากหุบเขา เป็นตัวแทนวันเก่าๆ ที่เราไปสัมผัสมา ในวันปิดเทอมของนักศึกษา ใน กทม. คนหนึ่งอย่างเรา  ซึ่งถือว่ามาผักผ่อน หย่อนกายใจ slow life ในหุบเขา เป็นสถานที่ ธุรกันดาร สัญญาณมือถือบางเบา และมีสายหมอก ภูเขา ล้อมรอบ เหมือนแอ่งกระทะเล็กๆ ในแอ่งกระทะใหญ่ จ. อะไร ให้เดา 555


    ถึงแม้ว่า เราจะให้ความสำคัญกับทุกวินาทีที่มีกัน ระหว่างเรานั้นและที่นี่แล้วก็เหอะ แต่พอจาก ความคิดถึงก็ยังเยอะอยู่ดี น้ำตาก็ล้นปรี่มากดังเดิม มันยิ่งเพิ่ม ไม่ได้ลดลง มันยังคงทุ้มอยู่...อย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า


      การที่เราเกิดและโตในหมู่บ้านในหุบเขา ไปทางไหนก็เห็นแต่ภูเขา เรียกได้ว่า...ลืมตามาก็คิดว่าโลกนี้ทุกที่ต้องมีภูเขา ภูเขาและภูเขา
จนนึกไม่ออกว่า ถ้าวันนึงไม่มี... จะรู้สึกยังไง ? และพอจากกันไปเราก็รู้สึกได้ถึงความสำคัญ ความสำคัญที่สั่นไปทั้งใจ  รวมทั้งการใช้ชีวิตบ้านๆที่แสนแตกต่างจากเมืองใหญ่ เมืองที่เรารู้จักได้ไม่เท่าไหร่ ...แต่รู้สึกว่าไม่ใช่อย่างหนักหน่วง ~~


และแล้วภูเขาและชีวิตบ้านๆก็กลายเป็นความทรงจำ ในวันที่ฝนพรำในเมืองหลวง เราและเรา ก้าวออกมาสัมผัสโลกกว้าง เป็นนกน้อยในเมืองใหญ่ ถือหนังสือเดินทางเล่มนึงชื่อว่า "ตามหาปริญญาไปทางไหน" ...เด็กบ้านนอกสู่รั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งเชื่อว่าใครๆหลายคนก็คงเหมือนกับเรา เท้าก้าว "เพื่อการศึกษา" และเป็นพันธนาการที่แน่นหนา...มากๆ คือเราไม่มีทางปฏิเสธมันได้ ไม่ได้และไม่ได้ ยิ้ม

ด้วยเหตุผลนี้ ภูเขาและชีวิตชาวบ้านจึงมีความสำคัญขึ้นมากๆ เมื่อเราพบว่าความสูงของยอดตึก ไม่ได้ทำให้หัวใจเต้นดัง "ตึ๊กๆ" เหมือนยอดเขา แต่มันกลับเต้นเบาและบอกเราว่ามัน "ไม่ใช่"
มันคงจะเหมือนกับผู้ชายสักคนล่ะมั้ง ...ที่อยู่ตรงหน้า หัวใจเราก็มักจะบอกเลยว่าคนนี้มันเลือกที่จะเต้นจังหวะไหน และเราก็รู้เลยอ่ะว่าใคร "ใช่หรือไม่ใช่" ...และเราก็เลือกที่จะเต้นกับนายคนเดียวเท่านั้น ยิ้ม ภูเขา โดยเฉพาะภูเขาเขียวๆ ในฤดูฝน


ปกติแล้วเราก็คิดถึงภูเขาเป็นอาจิณ จนชาชิน จนเฉยๆ แทบไม่ได้เจอกันเลยในฤดูฝน เพราะเราจากบ้านมา ตามหาการศึกษาตั้งแต่ ม.4 โอกาสเที่ยวมันก็ไม่มีอยู่แล้ว "วัยเรียน" นี่นะ ยิ้ม พอเข้ามหาลัย อยู่ไกลหนักกว่าเดิม ไกลถึง กทม.
ปีหนึ่งเจอกันสองคราและไม่ใช่เวลาของฤดูฝนอีก saddd ไปสิ


จนมีเปิดปิดเทอมแบบอาเซียน
เราเลยได้เวียนมาบรรจบกันอีกครั้ง
และก็ได้ฝากความทรงจำแทบคลั่งไว้ให้เรา โดยเฉพาะปีนี้เรากำลังจะขึ้นปีสี่ ปิดเทอมปีสุดท้าย ซึ่งเดือนนี้ปีหน้า...ก็จะทำงานแล้วไง งานที่...ไม่มีเวลาให้ใคร "แม้แต่ตัวเอง" ยิ้ม


   ปิดเทอมนี้ เรามาอยู่แบบวิถีชาวบ้าน ในหุบเขาแห่งนี้ หุบเขาที่เราคิดถึงมาโดยตลอด... Oh my goddd มันยอดมาก!
ฝนตกทุกวัน สร้างสีสันขาวๆ ในยามเช้ากับเขาสีเขียว สายหมอกวิ่งเล่นทั่วเขาสลับ คดเคี้ยว... นี่คือ "สิ่งเดียว" ที่เราใฝ่หา
และที่มากกว่า... คือการใช้ชีวิตบ้านๆ ในสถานแห่งนี้


  เราเป็นลูกเกษตรกร...และเราชอบทุกๆขั้นตอนของการทำไร่ เพราะมันคือการได้สัมผัส ธรรมชาติ พื้นดิน ยอดเขา สายลมเบาๆ และเมฆหมอก
ตั้งแต่เรากลับมาเราก็ช่วยงานที่ไร่ และถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไว้ทุกวัน
    "เป็นดั่งหลักฐานความรู้สึก ที่รองรับความคิดถึงเวลาที่เราร้องไห้ที่ใต้ตึกใหญ่ ในเมืองหลวง"


     สังคมในเมืองใหญ่ กับเรื่องราวมากมายตลอดเวลา 6 ปี เป็นเหมือน series ภาคต่อ ...บางตอนสนุก บางตอนจุก บางตอนน้ำตาไหล บางครั้งก็ฟิน จิกหมอนบรรลัย ... บางตอนร้องไห้เป็นเผ่าเต่า ดูมานานลุ้นมากๆ เมื่อไหร่จะจบสักที เบื่อแล้วนะ series เรื่องยาว... มีคนเป็นเหมือนเรา มั้ย?
  " สังคมเมืองใหญ่ รั้วมหาวิทยาลัย ที่หลากหลายเรื่องราว"
    "สนุก ทุกข์ เศร้า เหงา ล้า เหนื่อยเป็นบ้า และท้าทายมาก"





   ทุกๆก้าว ที่เท้าออกเดิน ทำให้เราถามตัวเองว่า... อะไรวะ ที่ชอบ อะไรวะคือที่สิ่งที่ใช่ ตามหามาตั้งนาน เจอคำตอบ... ที่แท้มันอยู่ไม่ไกล ...มันทุ้มอยู่ในใจตลอดเลยนี่หว่า


   "มัน" ที่ว่า คือ สายหมอก พื้นดิน ผืนป่า ท้องฟ้า ภูเขา เหล่าลม โคลนตม ต้นไม้ใบหญ้า น้ำตก ภูผา อาหารป่า ... ทุกๆอย่างที่กล่าวมา คือสิ่งที่เราโหยหามากตอนนี้


    แม้ว่าตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ เราจะเต็มที่แค่ไหน...แต่พอจากกันไป หัวใจก็บังน้ำตาไหลซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรียนมาก็หลายปี ทำไมถึงยังไม่ชินสักทีนะเรา เศร้า


   แท้ที่จริงแล้ว เรารักวิถีชาวบ้านมาก เพิ่งรู้ว่ามากๆ เมื่อพบโลกใบใหญ่  อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบนี้...รู้ตัวอีกทีเมื่อจากมาแสนไกล แต่ไม่เป็นไร เรียนจบค่อยกลับก็ได้ เนอะ~~


     ความรู้สึกมันชัดเจนมากๆ มากที่สุดคือเทอมนี้ ซึ่งเราไม่รู้ว่าวันเหล่านี้ ปีหน้า จะมีโอกาสอีกมั้ย ...เราเลย เก็บหลักฐานความรุ้สึกมากมาย ... แน่ๆอ่ะคือถอยจากชีวิตในเมืองกรุงไม่ได้ หน้าที่ก็ต้องทำไป ...สิ่งที่จะตอบสนองหัวใจได้... คือการใช้ทุกๆวัน เวลา ที่มี ณ ที่นี่ ให้คุ้มที่สุด พอ~~ และเราก็นำมาแชร์ต่อ ผ่านกระทู้นี้  กระทู้ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของเรา ที่อยากจะเล่าให้ใครสักคนฟัง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่