ท่ามกลางยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและจินตนาการอันไม่สิ้นสุดของมนุษย์ ทำให้ภาพยนตร์ถูกสร้างสรรค์ออกมาหลายร้อยรูปแบบ หลายร้อยมุมมองแตกต่างกันออกไป บางเรื่องสร้างขึ้นมาเพื่อความสนุกสนาน บางเรื่องสร้างขึ้นมาเพื่อความรู้สึกตระการตา แต่สำหรับ “อนธการ” ผลงานกำกับของ “อนุชา บุญยวรรธนะ” นำแสดงโดย “โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์” และ “อรรถพันธ์ พูลสวัสดิ์” เป็นภาพยนตร์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้คนดูหลุดเข้าไปสู่อีกโลกแห่งความมืดมนและรับรู้ถึงความรู้สึกเหล่านั้น จากเค้าโครงเรื่องจริงของเด็กหนุ่มที่จ้างวานฆ่าคนในครอบครัวตัวเอง ด้วยความโกรธแค้นที่สะสมจนเกินขีดจำกัดจากความไม่เข้าใจของคนในครอบครัว ความคิดกตัญญูใดๆ ถูกทำลายลง จนเหลือแต่ความเขลาและความไร้ซึ่งจิตสำนึก...
#อนธการ หรือ #thebluehour เป็นเรื่องแรกในชีวิตที่ทำให้ผมตกเข้าไปอยู่ในภวังค์ตลอดทั้งเรื่อง อนธการได้ดึงเอาความรู้สึกของคนดูเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ เหมือนว่าเรามีตัวตนและใช้ชีวิตอยู่ในนั้นจริงๆ เป็นเด็กหนุ่มที่ดำเนินชีวิตอย่างสันโดษ ไร้ซึ่งที่พึ่งพา ความรู้สึกของคนดูจะถูกผนึกไว้กับตัวละคร “ตั้ม” โดยมีตัวแปรสำคัญที่คอยกำหนดความรู้สึกของเราได้อย่างเด็ดขาดก็คือคนรักของเขา ในทุกการกระทำของ “ภูมิ” มันทำให้รู้สึกถึง ความกลัว ความอบอุ่น ความโกรธ และ ความรัก ความรู้สึกทั้งหมดมันลอยอบอวลอยู่ในก้นบึ้งของอารมณ์ ผสมออกมาเป็นอาการจุกแปลกๆ โดยที่ไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นมันคืออะไร แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับภาพยนตร์ทั่วไปที่ทำให้เรารู้สึกอินกับความรู้สึกของตัวละคร ไม่ใช่อินกับความรู้สึกของตัวเองเหมือนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำ
ด้วยเสน่ห์และความเหลือเชื่อของภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมขอชมผู้กำกับที่สามารถถอดเอาจินตนาการออกมาประติดประต่ออย่างประณีตสู่ภาพยนตร์ได้อย่างแนบเนียนและลึกซึ้ง แต่ละซีนมันซ่อนความหมายอะไรบางอย่างที่ทำให้เราดำดิ่งสู่ห้วงของอารมณ์อย่างช้าๆ เป็นภาพยนตร์เชิงสัญลักษณ์ที่ท้าทายทุกจินตนาการสมคำร่ำลือ และที่สำคัญนักแสดงนำทั้งสองคนสามารถถ่ายทอดเจตนารมณ์ของผู้กำกับสู่คนดูได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งสายตา ท่าทางและน้ำเสียง มันทำให้คนดูเชื่อสนิทใจว่าสองคนนี้รักกันจริงๆ และพร้อมที่จะจับมือเผชิญโลกกว้างอันโหดร้ายไปด้วยกัน
เนื้อเรื่องและการแฝงความหมายเชิงสัญลักษณ์ดำเนินไปอย่างมืดมนอนธนาการ ก่อนที่จะจบลงด้วยการเสยมุมกล้องให้เห็นถึงแรงกระเพื่อมของน้ำที่เกิดจากจุดเริ่มต้นคือเด็กหนุ่มทั้งสองคน แรงกระเพื่อมยังคงขยายวงกว้างออกไปสุดลูกหูลูกตา สื่อว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเล็กๆ ซึ่งมนุษย์เราทุกคนล้วนต้องเดินเข้าสู่อนาคตเบื้องหน้าต่อไป จะเดินทางขยายเป็นวงกว้างอย่างราบรื่นหรือถูกกระแทกกลับอย่างไร้ความหวัง ก็ล้วนเกิดขึ้นจากการเลือกเส้นทางชีวิตของเราเองทั้งสิ้น
ภาพยนตร์เรื่องนี้จบลงพร้อมกับฝากเอาความรู้สึกมืดมนไว้กับคนดูเหมือนกาฝากที่ไม่สามารถสลัดทิ้งได้ เรื่องราวทั้งหมดจบลงแต่อารมณ์เหล่านั้นยังคงดำเนินต่อไป ผมนั่งเหม่อลอยจนกระทั่งรายชื่อทีมงานลอยขึ้นหายไปจนหมด ผมดึงอารมณ์ของตัวเองกลับมาพร้อมกับหวังไว้ในใจว่า สักวันเราจะต้องเจอภาพยนตร์ไทยใหม่ๆ ที่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้งและข้อคิดแก่สังคมไทยเฉกเช่น “อนธการ” อย่างแน่นอน
ขอบคุณภาพประกอบจาก
https://www.facebook.com/thebluehour.onthakan
-------------------------------------------------------------------------------------------
อนธการ (The blue hour) : 9.0 / 10
'สุดยอดภาพยนตร์ควรค่าแก่การชม'
- ในตอนต้นเรื่องใช้เวลาในการดำเนินเรื่องนานไปหน่อย แต่เข้าใจว่าต้องการให้คนดูซึบซับอารมณ์ของหนังจึงขอหัก 0.5 คะแนน
- บางซีนไม่สอดคล้องความเป็นจริงเล็กน้อย (ไม่สปอยแล้วกัน) พอให้อภัยได้ หัก 0.5 คะแนน
- นอกนั้น ทั้งภาพ เสียง การดำเนินเรื่อง และ การแฝงความหมาย คือสุดยอดมากจริงๆ ส่วนตัวชอบ soundtrack 'Our Land' มาก
นั่งฟังซ้ำไป ซ้ำมา ในยูทูปทั้งคืน มันให้อารมณ์หม่นหมองได้ดีมากจริงๆ
- ซีนที่ประทับใจมากคือตอนที่กลับไปเก็บศพในห้องน้ำ ซึ่งคนที่ไปดูมาแล้วจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันทำให้หัวใจเต้นผิดปกติจนหนังจบ
สำหรับกระทู้นี้เป็นการรีวิวภาพยนตร์เรื่องแรกของ จขกท หากผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ
ไปดู วันที่ 6 สิงหาคม ใครไปดูวันนั้นบ้าง ยกมือหน่อย ^^
[review] "อนธการ" สุดยอดภาพยนตร์เชิงสัญลักษณ์แห่งปี !
ท่ามกลางยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและจินตนาการอันไม่สิ้นสุดของมนุษย์ ทำให้ภาพยนตร์ถูกสร้างสรรค์ออกมาหลายร้อยรูปแบบ หลายร้อยมุมมองแตกต่างกันออกไป บางเรื่องสร้างขึ้นมาเพื่อความสนุกสนาน บางเรื่องสร้างขึ้นมาเพื่อความรู้สึกตระการตา แต่สำหรับ “อนธการ” ผลงานกำกับของ “อนุชา บุญยวรรธนะ” นำแสดงโดย “โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์” และ “อรรถพันธ์ พูลสวัสดิ์” เป็นภาพยนตร์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้คนดูหลุดเข้าไปสู่อีกโลกแห่งความมืดมนและรับรู้ถึงความรู้สึกเหล่านั้น จากเค้าโครงเรื่องจริงของเด็กหนุ่มที่จ้างวานฆ่าคนในครอบครัวตัวเอง ด้วยความโกรธแค้นที่สะสมจนเกินขีดจำกัดจากความไม่เข้าใจของคนในครอบครัว ความคิดกตัญญูใดๆ ถูกทำลายลง จนเหลือแต่ความเขลาและความไร้ซึ่งจิตสำนึก...
#อนธการ หรือ #thebluehour เป็นเรื่องแรกในชีวิตที่ทำให้ผมตกเข้าไปอยู่ในภวังค์ตลอดทั้งเรื่อง อนธการได้ดึงเอาความรู้สึกของคนดูเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ เหมือนว่าเรามีตัวตนและใช้ชีวิตอยู่ในนั้นจริงๆ เป็นเด็กหนุ่มที่ดำเนินชีวิตอย่างสันโดษ ไร้ซึ่งที่พึ่งพา ความรู้สึกของคนดูจะถูกผนึกไว้กับตัวละคร “ตั้ม” โดยมีตัวแปรสำคัญที่คอยกำหนดความรู้สึกของเราได้อย่างเด็ดขาดก็คือคนรักของเขา ในทุกการกระทำของ “ภูมิ” มันทำให้รู้สึกถึง ความกลัว ความอบอุ่น ความโกรธ และ ความรัก ความรู้สึกทั้งหมดมันลอยอบอวลอยู่ในก้นบึ้งของอารมณ์ ผสมออกมาเป็นอาการจุกแปลกๆ โดยที่ไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นมันคืออะไร แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับภาพยนตร์ทั่วไปที่ทำให้เรารู้สึกอินกับความรู้สึกของตัวละคร ไม่ใช่อินกับความรู้สึกของตัวเองเหมือนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำ
ด้วยเสน่ห์และความเหลือเชื่อของภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมขอชมผู้กำกับที่สามารถถอดเอาจินตนาการออกมาประติดประต่ออย่างประณีตสู่ภาพยนตร์ได้อย่างแนบเนียนและลึกซึ้ง แต่ละซีนมันซ่อนความหมายอะไรบางอย่างที่ทำให้เราดำดิ่งสู่ห้วงของอารมณ์อย่างช้าๆ เป็นภาพยนตร์เชิงสัญลักษณ์ที่ท้าทายทุกจินตนาการสมคำร่ำลือ และที่สำคัญนักแสดงนำทั้งสองคนสามารถถ่ายทอดเจตนารมณ์ของผู้กำกับสู่คนดูได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งสายตา ท่าทางและน้ำเสียง มันทำให้คนดูเชื่อสนิทใจว่าสองคนนี้รักกันจริงๆ และพร้อมที่จะจับมือเผชิญโลกกว้างอันโหดร้ายไปด้วยกัน
เนื้อเรื่องและการแฝงความหมายเชิงสัญลักษณ์ดำเนินไปอย่างมืดมนอนธนาการ ก่อนที่จะจบลงด้วยการเสยมุมกล้องให้เห็นถึงแรงกระเพื่อมของน้ำที่เกิดจากจุดเริ่มต้นคือเด็กหนุ่มทั้งสองคน แรงกระเพื่อมยังคงขยายวงกว้างออกไปสุดลูกหูลูกตา สื่อว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเล็กๆ ซึ่งมนุษย์เราทุกคนล้วนต้องเดินเข้าสู่อนาคตเบื้องหน้าต่อไป จะเดินทางขยายเป็นวงกว้างอย่างราบรื่นหรือถูกกระแทกกลับอย่างไร้ความหวัง ก็ล้วนเกิดขึ้นจากการเลือกเส้นทางชีวิตของเราเองทั้งสิ้น
ภาพยนตร์เรื่องนี้จบลงพร้อมกับฝากเอาความรู้สึกมืดมนไว้กับคนดูเหมือนกาฝากที่ไม่สามารถสลัดทิ้งได้ เรื่องราวทั้งหมดจบลงแต่อารมณ์เหล่านั้นยังคงดำเนินต่อไป ผมนั่งเหม่อลอยจนกระทั่งรายชื่อทีมงานลอยขึ้นหายไปจนหมด ผมดึงอารมณ์ของตัวเองกลับมาพร้อมกับหวังไว้ในใจว่า สักวันเราจะต้องเจอภาพยนตร์ไทยใหม่ๆ ที่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้งและข้อคิดแก่สังคมไทยเฉกเช่น “อนธการ” อย่างแน่นอน
ขอบคุณภาพประกอบจาก https://www.facebook.com/thebluehour.onthakan
อนธการ (The blue hour) : 9.0 / 10
'สุดยอดภาพยนตร์ควรค่าแก่การชม'
- ในตอนต้นเรื่องใช้เวลาในการดำเนินเรื่องนานไปหน่อย แต่เข้าใจว่าต้องการให้คนดูซึบซับอารมณ์ของหนังจึงขอหัก 0.5 คะแนน
- บางซีนไม่สอดคล้องความเป็นจริงเล็กน้อย (ไม่สปอยแล้วกัน) พอให้อภัยได้ หัก 0.5 คะแนน
- นอกนั้น ทั้งภาพ เสียง การดำเนินเรื่อง และ การแฝงความหมาย คือสุดยอดมากจริงๆ ส่วนตัวชอบ soundtrack 'Our Land' มาก
นั่งฟังซ้ำไป ซ้ำมา ในยูทูปทั้งคืน มันให้อารมณ์หม่นหมองได้ดีมากจริงๆ
- ซีนที่ประทับใจมากคือตอนที่กลับไปเก็บศพในห้องน้ำ ซึ่งคนที่ไปดูมาแล้วจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันทำให้หัวใจเต้นผิดปกติจนหนังจบ
สำหรับกระทู้นี้เป็นการรีวิวภาพยนตร์เรื่องแรกของ จขกท หากผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ
ไปดู วันที่ 6 สิงหาคม ใครไปดูวันนั้นบ้าง ยกมือหน่อย ^^