เครืองบินฝรั่งเศส(1)Dassault Rafale เครืองบินรบรุ่นใหม่ของเมืองน้ำหอม

การพัฒนา
ในช่วงปลายทศววรศที่ 1970 กองทัพอากาศและกองทัพเรือฝรั่งเศษได้อนุมัติโปรเจคการพัฒนาเครื่องบินรบแบบใหม่เพื่อมาทดแทนเครื่องบินเจ็ทรุ่นเก่าที่เริ่มตกยุคไม่ว่าจะเป็น mirage 1,3,4 ซึ่งเครื่องบินเหล่านี้เริ่มไม่อาจรับมือกับภัยคุกคามกับเครื่องบินรบรุ่นใหม่ๆของโซเวียตได้ โดยฝรั่งเศสคาดหวังว่าเครื่องบินรบรุ่นใหม่ที่พัฒนานี้จะประสบความสำเร็จไม่ต่างจากรุ่นพี่ของมัน โดยแนวคิดความต้องการเครื่องบินรบรุ่นใหม่ๆของฝรั่งเศสต้องย้อนไปในช่วงต้นทศวรรศที่ 1970 ฝรั่งเศสต้องการเครื่องบินรบรุ่นใหม่ๆที่สมรรถนะที่สูงและเป็นต้องเป็นเครื่องบินอเนคประสงค์(multi-role) สามารถทำภารกิจที่ mirage 1,3,4 สามารถทำได้ เพราะว่าทั้ง mirage1,3,4 นั้นไม่ใช่เครื่องบินรบที่ทำภารกิจทดแทนกันได้แบบเต็มประสิทธิภาพมากนักถึงมันจะรูปร่างคล้ายๆกันก็ตาม(ยกเว้น mirage1) เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการบินเพราะฝรั่งเศสไม่ต้องการมีเครื่องบินรบหลายๆแบบมากเกินไป เนื่องจากมีค่าใช่จ่ายในการบำรุงที่สูง มาถึงช่วงทศววรศที่ 1975 การพัฒนาได้เริ่มขึ้นกองทัพฝรั่งเศสได้มอบหมายให้บริษัท dassault เป็นคนออกแบบเครื่องบินรบรุ่นใหม่นี้(ซึ่งต่อการพัฒนาได้ประสบความสำเร็จและได้กลายเป็น mirage 2000 อันโด่งดัง) จนถึงในช่วงทศววรศที่ 1979 ฝรั่งเศสได้เข้าร่วมโครงการ European Collaborative Fighter หรือชื่อย่อ ECA ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น European Combat Aircraft ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาเครื่องบินรบระหว่างชาติยุโรปด้วยกันทั้งหมด 5 ชาติได้แก่ อิตาลี สเปน เยอรมันตะวันตก อังกฤษ ฝรั่งเศส และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นของเครื่องบินที่สวยและปราดเปรียวน่าเกรงขามที่สุด(สำหรับ จขกท.)


การร่วมมือและการแตกหัก
หลังจากฝรั่งเศสได้เข้าร่วมโครงการ ECA แล้วการพัฒนาเครื่องบิยรบร่วมกันระหว่าง 5 ชาติก็ได้เริ่มขึ้น หลังจากได้หารือการพัฒนาร่วมกันระหว่าง 5 ชาติก็ได้ข้อสรุปว่าเครื่องบินรุ่นใหม่ที่พวกเขาต้องการต้องเป็นเครื่องบิน 2 เครื่องยนต์ มี 1 ที่นั่ง ใช้ปีกสามเหลี่ยมและมีปีกคานาร์ด(ปีกหน้าอันเล็กๆ)เสริมความคล่องตัว และเป็นเครื่องบินอเนคประสงค์(multi-role) การพัฒนาเครื่องบินต้นแบบได้เริ่มขึ้นในปี 1981 การพัฒนาได้เริ่มขึ้นโดยตัวต้นแบบได้ถูกตั้งชื่อว่า act 92
รูปของ act 92

มาถึงจุดแตกหักในช่วงปี 1984 ฝรั่งเศสต้องการให้เครื่องบินรุ่นใหม่ที่กำลังพัฒนานี้สามารถขึ้นลงเรือบรรทุกเครื่องบินได้และตัวเครื่องบินต้องมีน้ำหนักที่เบากว่าตัวต้นแบบที่ 5 ชาติได้พัฒนาขึ้น จนในช่วงปี 1985 จากความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกันทำให้ฝรั่งเศสได้ตัดสินใจแยกตัวออกจากโครงการหันมาพัฒนาตัวต้นแบบของตัวเอง โดยอาศัยรุ่นต้นแบบอย่าง act 92 ที่ตัวเองได้พัฒนาร่วมกับ 4 ชาติเป็นตัวต้นแบบในการพัฒนา(ซึ่งต่อมาทั้ง 4 ชาติได้ร่วมมือกันและพัฒนากลายเป็น euro typhoon) โดยในตอนนั้นรัฐบาลฝรั่งเศสได้ส่งความต้องการเครื่องบินแบบใหม่ที่ฝรั่งเศสกำลังพัฒนาไปให้ทางบริษัท dassault ทราบ โดยมันต้องมีสมรรถภาพในการปฏิบัติภารกิจทั้ง อากาศ-สู่-อากาศ อากาศ-สู่-บก และต้องปฏิบัติภารกิจได้ทุกสภาพอากาศและปฏิบัติได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งแตกต่างจากญาติพี่น้องท้องเดียวกันอย่าง typhoon ซึ่งเป็นการร่วมพัฒนาและออกเงินร่วมกันต่างกับเจ้าต้นแบบเครื่องบินต้นฝรั่งเศสรุ่นนี้ ที่ทางการฝรั่งเศสต้องออกแบบเองและจ่ายเงินเองทั้งหมด อย่างที่บอกไปข้างบนการพัฒนาเครื่องบินฝรั่งเศสรุ่นนี้เพื่อมาทดแทนเครื่องบิน mirage รุ่นเก่าๆทั้งหมด

การพัฒนาในแบบของตัวเอง
โดยตัวต้นแบบที่ฝรั่งเศสได้พัฒนานั้นใช้ระบบ fly-by-wire (ซึ่งคงไม่ต้องอธิบายหรอกมั้งว่าเอาไว้ทำอะไร)และมีระบบควบคุมการบินที่ทันสมัยโดยคัวต้นแบบออกจากโรงงานครั้งแรกในปี 1984 โดยการเปิดตัวเครื่องบินรุ่นต้นแบบได้เริ่มขึ้นในปี 1985 ที่ Saint-Cloud และตัวเครื่องบินได้ทำการบินครั้งแรกในวันที่ 4 มิถุนายน 1986 ที่ฐานทัพอากาศ Istres-Le Tubé ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสโดยการบินทดสอบครั้งแรกนั้นได้บินเป็นเวลา 1 ชั่วโมง โดยการบินทดสอบได้บินทดสอบอยู่ที่ระดับเพดานบิน 11000 เมตรโดยตัวเครื่องบินได้บินทดสอบที่ความเร็ว 1.3 มัค การทดสอบบินยังคงดำเนินต่อไปอยู่เรื่อยๆโดยทั้งทดสอบการบินในทุกๆสภาพอากาศ ทดสอบการบินทุกๆสภาพเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งยังมีการทดสอบการขึ้น-ลงบนเรือบรรทุกเครื่องบินของฝรั่งเศสอย่าง  Clemenceau class และ  Foch Class อีกด้วย โดยการทดสอบการขึ้น-ลงบนเรือบรรทุกเครื่องบินนั้นตัวเครื่องถูกกำหนัดให้ใช้ความเร็ว 2 มัค โดยใช้เพดานบินที่ 13000 เมตร โดยตัวเครื่องต้นแบบนั้น ใช้ขุมกำลังจากเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบอย่าง General Electric F404-GE-400 ยอดฮิต ซึ่งเครื่องยนต์รุ่นนี้ก็ใช้บน f/a 18 c/d super hornet อีกด้วย ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ snecma m88 ที่ให้ขุมกำลังที่มากกว่าโดยตัวเครื่องบินได้ถูกบินทดสอบอยู่ถึง 865 ชั่วโมง โดนทางกองทัพฝรั่งเศสได้ตั้งชื่อเครื่องบินรุ่นต้นแบบนี้ว่า rafale a ซึ่งตัวต้นแบบในการสาธิตเทคโนโลยี ซึ่งต่อมาฝรั่งเศสได้ปลดประจำการเจ้า rafale a ไปในปี 1997
รูปของ rafale a


ย้อนไปในช่วงที่ rafale a บินขึ้นทดครั้งแรกในปี 1985 ฝรั่งเศสได้เริ่มหาแนวร่วมมาพัฒนาเครื่องบินรบ rafale ของฝรั่งเศสนั้นโดยฝรั่งเศสได้ตั้งชื่อเครื่องบินที่จะพัฒนาร่วมกันว่า rafale b ซึ่งเป็น rafale ที่มี 2 ที่นั่ง(ถ้างงกับ rafale a ก็สรุปง่ายๆคือ rafale a นั้นพัฒนาโดยฝรั่งเศสคนเดียวแต่ rafale b นั้นฝรั่งเศสกะจะให้เป็น rafale ที่เอาไว้ส่งออกและใช่ร่วมกันในชาติผู้ร่วมมือการในการพัฒนา)โดยฝรั่งเศสได้เชื้อเชิญ เบลเยียม เดนมาร์ก เนเธอแลนด์และนอร์เวย์ มาช่วยพัฒนาเจ้า rafale b ด้วยกัน แต่การเชื้อเชิญของฝรั่งเศสนั้นได้ถูกปฏิเสธคำเชิญทั้งหมดเนื่องจาก ทั้ง 4 ชาติมีความเห็นว่าโครงการ rafale นั้นมีแววไปไม่รอดสุงและลริการหลังการขายของฝรั่งเศสนั้นไม่ค่อยดีนัก มีแต่เบลเยียมเท่านั้นที่ถึงแม้จะปฏิเสธในการร่วมมือในการพัฒนาเจ้า rafale b ไปแต่ก็ยังวมีความสนใจเจ้า rafale b อยู่ไม่น้อย โดยในปี 1988 นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส Jacques Chirac ได้ตกลงทำสัญญาสัญญาสั่งซื้อเครื่องบิน rafale ทั้ง c ซึ่งเป็นรุ่นที่นั่งเดี่ยว และ rafale b ซึ่งเป็นรุ่น 2 ที่นั่งและรุ่น m สำหรับเรือบรรทุกเครื่องบิน โดยกองทัพได้สั่งซื้อเครื่องต้นแบบรวมกันทั้งหมด 4 เครื่อง
รูปของนายกรัฐมนตรี Jacques Chirac

โดยฝรั่งเศสมีความต้องการเครื่องบิน rafale ทุกรุ่นรวมทั้งหมด 338 ลำ แต่ในช่วงทศวรรศที่ 1990 ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมายไม่ว่าจะเป็นกำแพงเบอร์ลินถูกทำลาย ตามมาด้วยสหภาพโซเวียตล่มสลายกลายเป็นรัสเซียในปัจจุบัน นั่นเองทำให้รัสเซียในตอนนั้นไม่ได้เป็นภัยคุกคามของฝรั่งเศสอีกต่อไปบวกกับเกิดปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ในช่วงที่สหภาพโซเวียตล่มสลายพอดีดิบพอดีทำให้ลบประมาณของกองทัพถูกตัดทอน การลดงบด้านการทหารได้ลามมายังโครงการ rafale ของฝรั่งเศสอีกด้วยโดยโครงการ Rafale ของฝรั่งเศสถูกตัดงบไปถึง 340 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นั่นเองทำให้เรื่องการสั่งซื้อ rafale ถูกทบทวนใหม่อีกครั้งโดยมีการสั่งซื้อน้อยลงเนื่องจากถูกตัดงบเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ บวกกับปัญหาความล่าช้าในการผลิตตัวเครื่องบินเนื่องจากวัสดุในการทำเครื่องบินนั้นมีราคาสูงขึ้น ทำให้ฝรั่งเศสต้องหันไปอัพเกรดเจ้า mirage 1c จำนวน 55 ลำไปอัพเกรดเป็น mirage 1ct ไปพลางๆรอเจ้า rafale ไปก่อน
รูปของ mirage 1ct

ย้อนไปในช่วงปี 1989 อีกรอบในหว่างที่กำลังทดสอบเจ้า rafale a ซึ่งเป็นรุ่นที่สาธิตทางเทคโนโลยีนั้น ฝรั่งเศสได้มีโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่-โจมี-ทิ้งระเบิดแบบใหม่ เพื่อมาทดแทนเจ้า f8 cruseider ที่ประจำการมาอย่างยาวนานกว่า 40 ปี โดยตอนแรกฝรั่งเศสได้เล็งเจ้า f/a 18 hornet มือสองออสเตเลีย,แคนาดา,สหรัฐอเมริกา เพื่อมาประจำการรอเจ้า rafale m(รุ่นสำหรับเรือบรรทุกเครื่องบิน)ไปก่อน ซึ่งสหรัฐมีความยินดีอย่างมากที่จะขายเจ้า f/a 18 มือสองให้ฝรั่งเศสไปใช้ โดยส่งเครื่องบินไปให้ฝรั่งเศสทดลองแต่ภายหลังฝรั่งเศสได้ปฏิเสธดีลของ f/a 18 ไปเนื่องจากถูกตัดงบประมาณไปก่อน

การทดสอบก่อนเข้าประจำการ
ย้อนไปในปี 1991 ก่อนช่วงโซเวียตล่มสลาย โดยหลังจากที่ฝรั่งเศสได้ทำการทดสอบเจ้า rafale ไปไม่นาน ก็ได้แยกเป็นรุ่นๆไปโดยแบ่งเป็นรุ่นหลักๆ 3 รุ่นคือ
1.รุ่น c สำหรับที่นั่งเดี่ยว
2.รุ่น b สำหรับสองที่นั่ง
3.รุ่น m สำหรับเรือบรรทุกเครื่องบิน
โดยรุ่น c ถูกทดสอบและบินครั้งแรกเสร็จในช่วง 19 พฤษภาคม 1991(รุ่นอื่นจะไม่ขอกล่าวถึงเนื่องจากมีพื้นฐานแทบไม่ต่างจากรุ่น c) โดยสิ่งที่รุ่น c ต่างจากรุ่น a รุ่นต้นแบบนั้นไม่ว่าจะตัวฝาคลอบห้องนักบินถูกครอบด้วยสารลดการสะท้อนรังสีเรดาร์(canopy) และตัวเครื่องมีหน้าตัดขนาดเรดาร์(rca) น้อยกว่ารุ่น a โดยเครื่องบินทำจากวัสดุที่ถูกเคลือบด้วย radar-absorbent materials หรือ ram ซึ่งช่วยในการดูดซับเรดาร์ ทำให้เครื่องบินมีขนาดหน้าตัดในจอเรดาร์ลดลง ในขณะที่รุ่น b 2 ที่นั่งนั้นที่สเปคโดยรวมแทบไม่ได้ต่างจากรุ่น c เท่าไหร่นักถูกทดสอบและบินขึ้นครั้งแรกในวันที่ 30 เมษายน 1993 โดยรุ่น b นั้นจะหนักกว่ารุ่น c อยู่ 350 กิโลกรัมแต่สมารถบรรจุน้ำมันได้น้อยกว่ารุ่น c อยู่ 500 ลิตร(นั่นทำให้รุ่น b มีระยะบินที่สั้นกว่ารุ่น c) โดยทั้งรุ่น c และรุ่น b ได้ถูกทดสอบการใช้อาวุธไม่ว่าจะเป็นอาวุธอากาศ-สู่-อากาศ และอากาศ-สู่-พื้น โดยตัวเครื่องบินถูกออกแบบมาให้สามารถติดถังน้ำมันขนาด 2000 ลิตรได้สูงสุด 3 ถัง ในขณะที่กองทัพเรือนั้นก็ได้มีความต้องการเจ้า rafale รุ่น m(สำหรับเรือบรรทุกเครื่องบิน)เช่นกันเพื่อมาทดแทนเจ้า f8 cruseider ที่ประจำการมายาวนานกว่า 40 ปี
รูปของ f8 cruseider ญาติของ a7 corsair

โดย rafale m บินขึ้นครั้งแรกในวันที่ 12 ธันวาคม 1991 โดยการทดสอบการบินครั้งแรกนั้นเป็นการทดสอบขึ้นบินจากทางภาคพื้นดินเนื่องจากฝรั่งเศสยังไม่ได้ติดตั้งตะขอเกี่ยวสำหรับเรือบรรุทกเครื่องบิน กว่าจะไปติดก็ปาไปในช่วงมิถุนายน-สิงหาคม 1992 การทดสอบบินครั้งที่ 2 ตามมาติดๆโดยเป็นการทดสอบขึ้นบินจากเรือบรรทุกเครื่องบิน foch class ในช่วงเดือนเมษายน 1993 และทดสอบขึ้นครั้งที่ 2 จากเรือบรรทุกเครื่องบินลำเดิมตามมาติดๆในวันที่ 8 พฤษจิกายน 1993 โดยสิงที่ rafale m จะแตกต่างจากรุ่น c กับ b นั้น ตัวเครื่องนั้นจะถูกออกแบบให้สามารถถูกขนย้ายในตัวลิฟท์ของเรือบรรทุกเครื่องบินได้และสามารถจอดเก็บไว้ในเรือบรรทุกเครื่องบินได้ โดยตัวฐานล้อได้ถูกออกแบบมาให้แข็งแรงเป็นพิเศษเพือรองรับแรงกระแทกในการจอดบนเรือบรรทุกเครื่องบิน และตัวเครื่องได้ติดตั้งตะขอสำหรับเกี่ยวสลิงบนตัวเรือบรรทุกเครื่องบินเพื่อช่วยในการเบรกไม่ให้เครื่องบินหยุดไม่ทันจนตกทะเล นอกจากนี้ตรงฐานล้อยังติดตั้ง jump strut เพื่อช่วยในการ take off ในระยะสั้นๆ โดยตัว rafale m จะมีน้ำหนักมากกว่า c อยู่ที่ 500 กิโลกรัม โดยฝรั่งเศสมีแผนจะนำเจ้า rafale m ไปใช้บนเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ลำแรกของฝรั่งเศสอย่าง Charles de Gaulle class
รูปของ Charles de Gaulle class
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่