วันหนึ่งกับชีวิตพยาบาลธรรมดาคนหนึ่ง
เรื่องมีอยู่ว่า คนไข้คุณยายแก่ๆอายุประมาณ 70กว่าปี เหยียบตะปู แล้วไม่ได้รักษา มารักษาจนแผลอักเสบลุกลาม จนทนไม่ได้มารักษาที่โรงพยาบาลแพทย์สั่งการรักษาให้นอนโรงพยาบาล แผลที่เท้ายายพองจนมีเนื้อตายได้เลาะเนื้อบางส่วนออกแล้วแพทย์ ได้เอาผิวหนังส่วนต้นขามาปะ เรียก skin graft. แต่คุณยายโชคไม่ค่อยดี หลังแพทย์ผ่าตัด แผลส่วนที่ถูกเลาะเอาผิวหนังไปปะที่แผล เรียกdoner ถูกสั่งห้ามเปิดแผลจนกว่าจะครบ2สัปดาห์ โดยทุกวันแพทย์มาเยี่ยมก็ไม่เคยสนใจแผลที่ doner. เพราะเข้าใจว่าเป็นแผลผ่าตัด วันที่11 ของการปิดแผล แผลยายเริ่มซึมออกมานอกก้อสที่ปิดแน่นและยังมีผ้ายืดที่รียกว่าelastic bandage พันไว้ ยายบ่นคันแผลมากปวดแผลด้วย ยายเริ่มบ่นให้พยาบาลฟังตั้งแต่วันที่ 8 แต่ไม่มีพยาบาลกล้าคุยกะแพทย์ เผอิญวันที่11 อาจเป็นความใจกล้าของพยมบาลบวกกับความสงสารคุณยายที่อ้อนวอนร้องขอว่าปวดคันแผลไม่ไหว ช่วยดูแผลให้ยายด้วยทำไมมันคัน ปวดมากขึ้นทุกวัน พยาบาลใจกล้าคนนี้ได้รายงานแพทย์ไป ตามอาการ. แพทย์สั่งให้เอาคลายผ้าพันแผลออกแล้วเอาก้อสส่วนบนออกด้วยเหลือไว้แต่ก้อนชั้นใน. พยาบาลไม่รอดช้าทำตามที่แพทย์สั่ง แต่เมื่อเปิดผลโดยคลายผ้าพันแผลออก แล้วจะเอาก้อสออก. โอ้คุณพระ แผลยายมีสีคล้ายหนอง ขุ่นเหมือนนมข้น. ในใจพยาบาลแอบสงสารคุณยายมาก เรยให้ญาติถ่ายรูปไว้ เพื่อให้แพทย์ดูแผล พยาบาลเลยทำแผลเปลี่ยนผ้าก้อสให้ยาย เก็บน้ำสีข้นคล้ายหนองส่งเพาะเชื้อ คุณยายยกมือไหว้ขอบคุณ รับไหว้คุณยายแทบไม่ทัน แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น พยาบาลด้วยความที่เหตุสุดวิสัย ขึ้นเวรคนเดียว จึงทำแผลปิดแผลเสร็จล้างมือให้สะอาดจึงได้โทรศัพท์แจ้งแพทย์ทราบว่าแผลที่แพทย์ให้เปิดเฉพาะด้านนอกมันทำไม่ได้ก้อสมันติดกรังแผลเพราะเลือด จึงทำแผลให้ใหม่ แพทย์โกรธมากไม่ฟังเหตุและผลใดๆ ต่อว่าพยาบาล ว่าไม่ทำตามคำสั่ง. ต่อว่าพยาบาลให้ไปขอโทษคนไข้ แต่แพทย์ไม่ฟังเหตุผลและสาเหตุที่ต้องทำแผลเพราะอะไร พยาบาลนิ่งเงียบทบทวนสิ่งที่ทำ และทุกความคิดก็มีเหตุและผลเหมือนกัน วันรุ่งขึ้นแพทย์มาดูอาการแล้วให้ผู้ป่วยกลับบ้านทั้งๆที่ได้ยาฆ่าเชื้อ 3วัน แต่มียากินต่อที่บ้าน. 4วันต่อมา พยาบาลติดตามผลเพาะเชื้อที่ส่งไปด้วยความจดจ่อ เพราะในใจคาใจมากที่แพทย์ต่อว่าเขาอย่าไม่มีเหตุผล ผลมาแล้วเจ้าหน้าที่ห้อง lap โทรมาแจ้งว่า ผลเพาะเชื้อจากหนองที่ส่งขึ้นเชื้อสำคัญ. คือเชื้อดื้อยา เป็นเชื้อที่ต้องเฝ้าระวังต้องแจ้งทีมควบคุมการติดเชื้อของโรงพยาบาลทราบ ใจของพยาบาลรู้สึกว่าสิ่งที่ตนทำให้กับผู้ป่วยนั้นเป็นบุญไม่ใช่บาปแน่นอน เรื่องราวตอนต่อไปจะเป็นยังไงจะมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าการที่เราทำอะไรด้วยเหตุและผล นึกถึงผลดีมากกว่าผลเสียจงทำเถิดอย่างน้อยก็ได้บุญ บุญนั้นจะปกป้องเราไปทุกหนทุกแห่ง. จากใจพยาบาลที่มีจิตสำนึกของพยาบาลโดยแท้ไม่ได้ปรุงแต่งใดๆๆ
เป็นพยาบาลต้องยอมทำตามคำสั่งแพทย์เท่านั้นหรือ
เรื่องมีอยู่ว่า คนไข้คุณยายแก่ๆอายุประมาณ 70กว่าปี เหยียบตะปู แล้วไม่ได้รักษา มารักษาจนแผลอักเสบลุกลาม จนทนไม่ได้มารักษาที่โรงพยาบาลแพทย์สั่งการรักษาให้นอนโรงพยาบาล แผลที่เท้ายายพองจนมีเนื้อตายได้เลาะเนื้อบางส่วนออกแล้วแพทย์ ได้เอาผิวหนังส่วนต้นขามาปะ เรียก skin graft. แต่คุณยายโชคไม่ค่อยดี หลังแพทย์ผ่าตัด แผลส่วนที่ถูกเลาะเอาผิวหนังไปปะที่แผล เรียกdoner ถูกสั่งห้ามเปิดแผลจนกว่าจะครบ2สัปดาห์ โดยทุกวันแพทย์มาเยี่ยมก็ไม่เคยสนใจแผลที่ doner. เพราะเข้าใจว่าเป็นแผลผ่าตัด วันที่11 ของการปิดแผล แผลยายเริ่มซึมออกมานอกก้อสที่ปิดแน่นและยังมีผ้ายืดที่รียกว่าelastic bandage พันไว้ ยายบ่นคันแผลมากปวดแผลด้วย ยายเริ่มบ่นให้พยาบาลฟังตั้งแต่วันที่ 8 แต่ไม่มีพยาบาลกล้าคุยกะแพทย์ เผอิญวันที่11 อาจเป็นความใจกล้าของพยมบาลบวกกับความสงสารคุณยายที่อ้อนวอนร้องขอว่าปวดคันแผลไม่ไหว ช่วยดูแผลให้ยายด้วยทำไมมันคัน ปวดมากขึ้นทุกวัน พยาบาลใจกล้าคนนี้ได้รายงานแพทย์ไป ตามอาการ. แพทย์สั่งให้เอาคลายผ้าพันแผลออกแล้วเอาก้อสส่วนบนออกด้วยเหลือไว้แต่ก้อนชั้นใน. พยาบาลไม่รอดช้าทำตามที่แพทย์สั่ง แต่เมื่อเปิดผลโดยคลายผ้าพันแผลออก แล้วจะเอาก้อสออก. โอ้คุณพระ แผลยายมีสีคล้ายหนอง ขุ่นเหมือนนมข้น. ในใจพยาบาลแอบสงสารคุณยายมาก เรยให้ญาติถ่ายรูปไว้ เพื่อให้แพทย์ดูแผล พยาบาลเลยทำแผลเปลี่ยนผ้าก้อสให้ยาย เก็บน้ำสีข้นคล้ายหนองส่งเพาะเชื้อ คุณยายยกมือไหว้ขอบคุณ รับไหว้คุณยายแทบไม่ทัน แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น พยาบาลด้วยความที่เหตุสุดวิสัย ขึ้นเวรคนเดียว จึงทำแผลปิดแผลเสร็จล้างมือให้สะอาดจึงได้โทรศัพท์แจ้งแพทย์ทราบว่าแผลที่แพทย์ให้เปิดเฉพาะด้านนอกมันทำไม่ได้ก้อสมันติดกรังแผลเพราะเลือด จึงทำแผลให้ใหม่ แพทย์โกรธมากไม่ฟังเหตุและผลใดๆ ต่อว่าพยาบาล ว่าไม่ทำตามคำสั่ง. ต่อว่าพยาบาลให้ไปขอโทษคนไข้ แต่แพทย์ไม่ฟังเหตุผลและสาเหตุที่ต้องทำแผลเพราะอะไร พยาบาลนิ่งเงียบทบทวนสิ่งที่ทำ และทุกความคิดก็มีเหตุและผลเหมือนกัน วันรุ่งขึ้นแพทย์มาดูอาการแล้วให้ผู้ป่วยกลับบ้านทั้งๆที่ได้ยาฆ่าเชื้อ 3วัน แต่มียากินต่อที่บ้าน. 4วันต่อมา พยาบาลติดตามผลเพาะเชื้อที่ส่งไปด้วยความจดจ่อ เพราะในใจคาใจมากที่แพทย์ต่อว่าเขาอย่าไม่มีเหตุผล ผลมาแล้วเจ้าหน้าที่ห้อง lap โทรมาแจ้งว่า ผลเพาะเชื้อจากหนองที่ส่งขึ้นเชื้อสำคัญ. คือเชื้อดื้อยา เป็นเชื้อที่ต้องเฝ้าระวังต้องแจ้งทีมควบคุมการติดเชื้อของโรงพยาบาลทราบ ใจของพยาบาลรู้สึกว่าสิ่งที่ตนทำให้กับผู้ป่วยนั้นเป็นบุญไม่ใช่บาปแน่นอน เรื่องราวตอนต่อไปจะเป็นยังไงจะมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าการที่เราทำอะไรด้วยเหตุและผล นึกถึงผลดีมากกว่าผลเสียจงทำเถิดอย่างน้อยก็ได้บุญ บุญนั้นจะปกป้องเราไปทุกหนทุกแห่ง. จากใจพยาบาลที่มีจิตสำนึกของพยาบาลโดยแท้ไม่ได้ปรุงแต่งใดๆๆ