ผมเป็นคนที่ใช้บริการโรงพยาบาลของรัฐเป็นประจำครับ รู้ซึ้งและเข้าใจระบบของโรงพยาบาลของรัฐเป็นอย่างดี เป็นที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องระบบและขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน ใช้เวลา และมาตรฐานการให้บริการของเจ้าหน้าที่ที่ไม่ควรคาดหวัง แต่วันนี้ (6 สิงหาคม) ผมได้มีโอกาสไปใช้บริการในโรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่ง ที่ทำให้ภาพลักษณ์ความเป็นโรงพยาบาลของรัฐแบบเดิมๆเปลี่ยนไป เป็นสิ่งที่สมควรชื่นชม เพื่อแทนคำขอบคุณของผู้ใช้บริการ และเป็นกำลังใจดีๆให้แก่บุคลากรในโรงพยาบาลแห่งนี้
ก่อนอื่นผมต้องขอเล่าถึงสาเหตุที่ได้ไปโรงพยาบาลแห่งนี้ก่อนนะครับ แต่มันเป็นเหตุผลที่ค่อนข้างน่าอาย เกี่ยวข้องกับสิ่งไม่ดี แต่ผมจะยอมพลีชีพเล่าเรื่องตามความจริง เพื่อเป็นข้อมูลดีๆเผื่อผู้ที่มีปัญหาอย่างผมได้มีแนวทางในการปฏิบัติด้วย
คือผม ได้ไปซุกซนในปาร์ตี้ลับๆมาครับ เหล้า ยา เซ็กส์ จัดเต็มมาครบตามสไตล์ผู้ชายชิคๆ แล้วจบคืนอันแฮปปี้ด้วยการมีเซ็กส์ครับ แต่ ผมดันไปมีเซ็กส์กับผู้ชายด้วยกันแบบจัดเต็มโดยไม่ใส่ถุงยาง แถมเป็นอีเวนท์แบบที่ไม่ได้มีแค่ 2 คนอีกต่างหาก เอาเป็นว่า ผมไปมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาครับ
หลังจากนั้นผมเมายาอยู่เป็นวันๆ กว่าจะรู้สึกมีสติรู้ผิดชอบชั่วดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปนั้น ช่างเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายและอาจนำมาซึ่งความวินาสสันตะโรในชีวิตมากๆ คราวนี้ก็นอยด์จัดเลยครับ วิตกกังวลจนนอนไม่ได้ ทำอะไรไม่ถูก นั่งเสิชหาข้อมูลจนมันตีกันในหัว และกลัวตัวเองน่าจะเจอแจ็คพอตติดเชื้อ HIV อะไรแบบนี้ เป็นความรู้สึกที่นรกมากครับ ไอ้การวิตกกังวลแบบที่ต้องลุ้นเนี่ย จนบังเอิญ ไปเจอบทความหนึ่งของสภากาชาดไทย ว่ามีแนวทางหนึ่งสำหรับการป้องกันโรคเอดส์สำหรับผู้ที่ไปมีพฤติกรรมเสี่ยงมา โดยการรับประทานยาต้านไวรัสแบบฉุกเฉินที่ต้องได้รับยาภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากที่ไปมีพฤติกรรมเสี่ยงมา เท่านั้นแหละครับ เหมือนพระมาลัยมาโปรดสัตว์นรก ผมนี้รีบไปโรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก โรงพยาบาลนี้ขอไม่เอ่ยชื่อนะครับ เพราะประสบการณ์ที่นี่ทำเอาผมนี้เหมือนตกนรกขุมที่ลึกกว่า
เมื่อผมไปถึงโรงพยาบาล จัดการกรอกข้อมูลส่วนตัวในแบบฟอร์ม และนำไปยื่นให้ "พยาบาล" ที่อยู่จุดคัดกรองผู้ป่วยเป็นด่านแรก
พยาบาล : เป็นไรมา
ผม : คือผมไปมีพฤติกรรมเสี่ยงติดเชื้อ HIV มาอ่ะครับ (ผมยังพูดไม่จบกำลังจะพูดต่อ พยาบาลท่านนั้นก็พูดสวนขึ้นว่า)
พยาบาล : เสี่ยงยังไง? ถุงแตกเหรอ
อื้อหืออออ สายตาชาวบ้านร้านตลาดแถวนั้นที่ได้ยิน พากันมองมาที่ผม ผมรู้สึกว่าไม่โอเคละ เลยพูดเตือนสติพยาบาลท่านนั้นว่า ใจเย็นๆครับคุณพยาบาล ผมอายเค้า เด๋วขอเวลาฟังผมแป๊บนึงนะครับ แล้วเธอก็คงรู้ตัวก็เลยพูดเบาลง
ผม : ไม่ได้ถุงแตกครับ แต่ผมไม่ได้ใส่เลย
พยาบาล : คือจะมาตรวจเลือดใช่มั้ย
ผม : ครับ แล้วก็จะมาปรึกษาแพทย์ ขอรับยาต้านไวรัสแบบฉุกเฉินครับ
พยาบาล : ยาต้านไวรัสฉุกเฉินอะไร? มันมีที่ไหน? ไม่มี๊ แล้วนี่ไปเสี่ยงมาเมื่อไหร่
ผม : คืนวันที่ 4 ครับ
พยาบาล : โอ้ย ตรวจตอนนี้มันยังไม่เจอหรอก โน่น รอ 3 เดือน 6 เดือนค่อยมาตรวจ ตรวจวันนี้ก็เจ็บตัวฟรี
ผม : คือผมอ่านมาในเน็ต เค้าบอกว่ามีวิธีการนี้ บลาๆๆๆ
พยาบาล : จะเชื่อเน็ตหรือจะเชื่อโรงพยาบาล
ในที่สุด ผมก็พ่ายแพ้ต่อเธอครับ เดินคอตกกลับมา ในระหว่างนั้นก็เอามือถือขึ้นมาเพื่อเข้าไปอ่านบทความนั้นของสภากาชาดไทยอีกครั้ง นั่นแหละทำให้ผมคิดได้ว่า ถ้าข้อมูลนี้มาจากสภากาชาด ทำไมเราไม่ไปสภากาชาดซะเลยล่ะ มายืนโง่อะไรอยู่ตรงนี้!!!! เดชะบุญว่า โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี เป็นโรงพยาบาลในสังกัดสภากาชาดไทย นั่นก็คือ
"โรงพยาบาลสมเด็จบรมราชเทวี ณ ศรีราชา"
ผมไปศรีราชาอย่างไว ถึงโรงพยาบาลปุ๊บ จัดการกรอกข้อมูลในแบบฟอร์ม และยื่นต่อพยาบาลที่จุดคัดกรองผู้ป่วยเหมือนโรงพยาบาลแรกเป๊ะ แต่การให้บริการช่างดูเป็นผู้ดีมีอารยะ พอเห็นว่าเป็นการมาตรวจเกี่ยวกับ HIV พยาบาลตรงนี้ไม่ซักไซ้ข้อมูลให้เราขายหน้าประชาชี แต่ส่งเราไปคุยกับ "เจ้าหน้าที่ที่ให้คำปรึกษาด้านนี้โดยตรง" ในสถานที่ที่มิดชิด ซึ่งที่นี่เค้าตั้งชื่อน่ารักๆว่า "ศูนย์มิตรภาพ" ซึ่งก็สมกับชื่อศูนย์เค้าหละครับ คือเป็นมิตรมากๆ เจ้าหน้าที่พูดคุยกับเราด้วยความเป็นมิตร รับฟังและเข้าใจ รวมทั้งให้คำแนะนำอย่างดี หลังจากนั้น เขาก็ส่งผมไปเจาะเลือดตรวจ HIV
ต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับ ว่าการตรวจเลือดหาเชื้อ HIV แบบทั่วๆไปนั้น ควรตรวจหลังรับเชื้อมาประมาณ 3 เดือนขึ้นไปถึงจะให้ผลที่แน่ชัด แต่ในเคสผม ซึ่งเสี่ยงรับเชื้อมายังไม่ถึง 2 วันเลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมต้องตรวจล่ะ ก็เพื่อยืนยันว่าเราไม่ได้เป็นผู้ติดเชื้อมาก่อนไงครับ เพราะถ้าเราติดเชื้อมาก่อนที่จะมีเหตุการณ์เสี่ยงนี้ เราจะได้รับการรักษาครับ ไม่ใช่เอายาไปกินเพื่อป้องกันฉุกเฉิน (ไหนใครบอกว่าตรวจวันนี้เจ็บตัวฟรีวะ) พอเจาะเลือดเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็ส่งไปพบกับคุณพยาบาลที่แผนกอายุรกรรม พยาบาลท่านนี้ผมไม่ทราบว่าชื่อจริงชื่ออะไรนะครับ แต่เห็นเค้าเรียกกันว่าดาว ก็คิดว่าพยาบาลท่านนี้น่าจะมีชื่อเล่นว่า คุณดาว
คุณพยาบาลดาว พาผมเข้ามาคุยในห้องที่มิดชิด ตอนนั้นผลเลือดยังไม่ออก แต่คุณพยาบาลเข้ามาคุยรายละเอียดถึงพฤติกรรมการเสี่ยงของผม ผมก็เล่าอย่างละเอียดโดยไม่กั๊กครับ เพราะรู้สึกสบายใจมาก คุณพยาบาลสอบถามด้วยความสุภาพ เป็นกันเอง ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมเครียดนรกแตก หลังจากนั้นคุณพยาบาลดาวก็ให้คำแนะนำ ในกรณีที่ถ้าผลเลือดออกมาเป็นบวก แสดงว่าเราเป็นผู้ติดเชื้อมาแต่แรกแล้ว เราจะได้รับการรักษาอย่างไร ดูแลตัวเองอย่างไร แนะนำแม้กระทั่งการใช้ชีวิตในสังคม การตอบคำถามในกรณีที่มีพวกสอดรู้สอดเห็นถาม และที่สำคัญคือการให้กำลังใจ ที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่มีค่าและงดงามมากในเวลาแบบนี้ แต่ถ้าผลออกมาเป็นลบ นั่นหมายความว่าเราไม่ใช่ผู้ติดเชื้อ แต่เป็น "ผู้ที่เสี่ยงจะติดเชื้อ" จะได้รับการรักษาด้วยการให้ยาต้านไวรัส ซึ่งคุณหมอจะเป็นคนสั่งยาอีกที
ในที่สุด ผลเลือดก็ออกมาครับ ผลเป็นลบ นั่นหมายความว่า ผมไม่ใช่ผู้ติดเชื้อ แต่เป็นผู้ที่เสี่ยงว่าจะติดเชื้อ (ฟังดูเหมือนดีนะ แต่ไม่เลยครับ ยังไงมันก็เสี่ยงอยู่ดี) คุณพยาบาลดาว ก็ส่งพบแพทย์เฉพาะทางด้านโรคนี้โดยเฉพาะ ซึ่งคุณพยาบาลดาวเปิดดูในคอมให้ว่าตอนนี้คุณหมอท่านนี้มีเคสอยู่กี่เคส เราเป็นคิวที่เท่าไหร่ รอประมาณกี่นาที ซึ่งผมชอบวิธีการนี้มาก ไม่ใช่ให้เรารอแบบไร้จุดหมายดีครับ
ผมรอพบแพทย์อยู่พักใหญ่ ก็ถึงคิวผมเข้าพบแพทย์ ซึ่งผมประทับใจคุณหมอมากๆ เกิดมายังไม่เคยพบเคยเห็นคุณหมอโรงพยาบาลรัฐที่ไหนแสนดีแบบนี้ คุณหมอท่านชื่อ พ.ญ. ธีรารัตน์ เอาตั้งแต่ผมเปิดประตูเข้าไป คุณ
กมือไหว้สวัสดี ทักทายผมจนผมรับไหว้แทบไม่ทัน แล้วก็พูดคุยดีมากๆ รู้สึกได้ว่าคุณหมอให้ความสำคัญกับอาการหรือข้อมูลของเรา คำแนะนำก็เป็นประโยชน์กับเรามากๆ และที่สำคัญ กำลังใจมาเต็ม บรรเทาใจเราที่วิตกกังวลได้ระดับหนึ่ง ซึ่งก็วิเศษที่สุดแล้วในอารมณ์นี้ครับ
สรุปคือคุณหมอสั่งยาที่เป็นยาต้านเชื้อแบบฉุกเฉินให้ เป็นยา 2 ตัว ต้องทานพร้อมกัน เวลาเป๊ะๆ ระบุในซองยา ให้ตั้งนาฬิกาปลุกสำหรับทานยาเลย ทานพร้อมอาหารด้วยครับ และทานต่อเนื่องไปจนยาหมด แล้วก็นัดมาตรวจเลือด 3 ครั้ง คืออีก 1 เดือน 3 เดือน และ 6 เดือน ข้างหน้า นั่นหมายความว่า ช่วงเวลานรกที่ผมต้องลุ้นนั้นมันยาวนานถึง 6 เดือน!!!! และยาที่ว่า ไม่ได้ให้ผล 100% เป็นเพียงวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อเท่านั้น และยาก็มีผลข้างเคียง (ซึ่งผมทานแล้วบอกเลยว่า มึนหัว มวนท้องสุดๆ)
ความประทับใจยังไม่จบครับ ณ ห้องยา เภสัชกรพูดจาดีเหมือนเดิม และให้คำแนะนำในเคสของผมเป็นพิเศษ เนื่องจากผมให้ข้อมูลว่าผมเพิ่งเสพยาเสพติดประเภทยาไอซ์ไปในตอนนั้นด้วย (ซึ่งผมไม่ได้ติดและใช้เป็นประจำนะครับ) มันเป็นยาเสพติดประเภทที่มันร้ายแรง เป็น "เมทแอมเฟตามีน" พูดง่ายๆคือเป็นพี่ชายคนโตของยาบ้าเลยทีเดียว แล้วสารเสพติดของยาเสพติดประเภทนี้จะอยู่ในร่างกายของเราเป็นเดือนๆกว่าจะขับออกหมด สรุปมาหาหมอโรงพยาบาลนี้เหมือนได้มาเรียนวิชาสุขศึกษาอีกครั้ง เพราะทุกจุดให้ความรู้ความเข้าใจกับเราไปด้วย แต่เดี๋ยวก่อน เท่านั้นยังไม่พอ ในระหว่างที่ผมรออยู่หน้าห้องยา คุณพยาบาลดาว ซึ่งกำลังออกเวรแล้ว (สังเกตจากกระเป๋าและข้าวของส่วนตัวที่หอบมา) เดินมาจะกลับบ้าน พอเห็นผม เธอก็ตั้งใจเดินมาหาผมโดยเฉพาะ ถามว่าพบคุณหมอแล้วคุณหมอว่าไงบ้าง และจบด้วยการให้กำลังใจ ไม่ให้เราคิดวิตกมากไป และกล่าวคำร่ำลากันอย่างกับคนรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน
ยังคับ ยังๆ ผมเดินออกมาจากตึกของโรงพยาบาลแล้วนะครับ ตอนนั้นเป็นเวลาเลิกงานของเจ้าหน้าที่พอดี เจ้าหน้าที่กำลังทยอยกลับบ้าน ผมก็บังเอิญเจอกับเจ้าหน้าที่ "ศูนย์มิตรภาพ" ที่ให้คำปรึกษาครั้งแรก เธอจำผมได้และเข้ามาทักทายผม และถามไถ่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เหมือนที่คุณพยาบาลดาวถามน่ะครับ และแน่นอนครับ ผมก็ได้กำลังใจ ว่าไม่ต้องกังวลอะไรมาก เหมือนเดิม
ผมว่าทั้งหมดนี้มันเป็นการบริการที่ "เหนือความคาดหมาย" มากๆครับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพบเจอที่นี่มันแสดงถึงมาตรฐาน ระบบที่มีประสิทธิภาพ บุคลากรที่มีความเป็นมืออาชีพ มีความใส่ใจ ความจริงใจ และเต็มใจให้บริการ เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม น่ายกย่อง ควรค่าแก่การเป็นแบบอย่าง เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการทางการแพทย์ให้ดียิ่งขึ้น เราอาจจะได้ยินบ่อยๆว่า โรงพยาบาลของรัฐนั้นผู้ใช้บริการเยอะ บุคลากรอาจมีความเหน็ดเหนื่อย เราต้องทำใจ ว่าการบริการก็คงทำเท่าที่ได้ แต่โรงพยาบาลสมเด็จฯ ณ ศรีราชา ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วครับ ที่นี่ก็เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ผู้ใช้บริการก็มากมาย แต่ด้วยการบริหารจัดการที่ดี ระบบที่มีประสิทธิภาพ บุคลากรที่มีคุณภาพของเขา สร้างความแตกต่างให้ภาพลักษณ์ของโรงพยาบาลรัฐเปลี่ยนไปในทางที่ดีจริงๆ
ขอบคุณทุกท่านมากๆนะครับวันนี้ ถ้าท่านได้มีโอกาสมาอ่าน ก็ถือว่านี่เป็นกำลังใจเล็กๆน้อยๆจากผู้ใช้บริการ แทนคำขอบคุณนะครับ^^
ป.ล. ค่าตรวจ HIV ฟรีนะครับ คนไทยทุกคนตรวจได้ฟรีปีละครั้งตามสิทธิ์ในฐานะพลเมืองไทย ส่วนค่ายาต้องเสีย เนื่องจากเป็นยานอกบัญชียาหลัก พันกว่าบาทครับ ตังค์ไม่พอคุณหมอก็ใจดี๊ใจดี สั่งยาให้ก่อนสำหรับ 3 วันนี้ แล้วออกใบสั่งยาให้มารับยาอีกครั้งให้ครบ ช่างเป็นวิธีการที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพจริงๆครับ
ชื่นชมสุดยอดคุณหมอและพยาบาล รพ.สมเด็จฯ ณ ศรีราชา ที่โรงพยาบาลของรัฐที่อื่นๆควรเอาเป็นแบบอย่าง + ข้อมูลดีๆเกี่ยวกับ HIV
ก่อนอื่นผมต้องขอเล่าถึงสาเหตุที่ได้ไปโรงพยาบาลแห่งนี้ก่อนนะครับ แต่มันเป็นเหตุผลที่ค่อนข้างน่าอาย เกี่ยวข้องกับสิ่งไม่ดี แต่ผมจะยอมพลีชีพเล่าเรื่องตามความจริง เพื่อเป็นข้อมูลดีๆเผื่อผู้ที่มีปัญหาอย่างผมได้มีแนวทางในการปฏิบัติด้วย
คือผม ได้ไปซุกซนในปาร์ตี้ลับๆมาครับ เหล้า ยา เซ็กส์ จัดเต็มมาครบตามสไตล์ผู้ชายชิคๆ แล้วจบคืนอันแฮปปี้ด้วยการมีเซ็กส์ครับ แต่ ผมดันไปมีเซ็กส์กับผู้ชายด้วยกันแบบจัดเต็มโดยไม่ใส่ถุงยาง แถมเป็นอีเวนท์แบบที่ไม่ได้มีแค่ 2 คนอีกต่างหาก เอาเป็นว่า ผมไปมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาครับ
หลังจากนั้นผมเมายาอยู่เป็นวันๆ กว่าจะรู้สึกมีสติรู้ผิดชอบชั่วดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปนั้น ช่างเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายและอาจนำมาซึ่งความวินาสสันตะโรในชีวิตมากๆ คราวนี้ก็นอยด์จัดเลยครับ วิตกกังวลจนนอนไม่ได้ ทำอะไรไม่ถูก นั่งเสิชหาข้อมูลจนมันตีกันในหัว และกลัวตัวเองน่าจะเจอแจ็คพอตติดเชื้อ HIV อะไรแบบนี้ เป็นความรู้สึกที่นรกมากครับ ไอ้การวิตกกังวลแบบที่ต้องลุ้นเนี่ย จนบังเอิญ ไปเจอบทความหนึ่งของสภากาชาดไทย ว่ามีแนวทางหนึ่งสำหรับการป้องกันโรคเอดส์สำหรับผู้ที่ไปมีพฤติกรรมเสี่ยงมา โดยการรับประทานยาต้านไวรัสแบบฉุกเฉินที่ต้องได้รับยาภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากที่ไปมีพฤติกรรมเสี่ยงมา เท่านั้นแหละครับ เหมือนพระมาลัยมาโปรดสัตว์นรก ผมนี้รีบไปโรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก โรงพยาบาลนี้ขอไม่เอ่ยชื่อนะครับ เพราะประสบการณ์ที่นี่ทำเอาผมนี้เหมือนตกนรกขุมที่ลึกกว่า
เมื่อผมไปถึงโรงพยาบาล จัดการกรอกข้อมูลส่วนตัวในแบบฟอร์ม และนำไปยื่นให้ "พยาบาล" ที่อยู่จุดคัดกรองผู้ป่วยเป็นด่านแรก
พยาบาล : เป็นไรมา
ผม : คือผมไปมีพฤติกรรมเสี่ยงติดเชื้อ HIV มาอ่ะครับ (ผมยังพูดไม่จบกำลังจะพูดต่อ พยาบาลท่านนั้นก็พูดสวนขึ้นว่า)
พยาบาล : เสี่ยงยังไง? ถุงแตกเหรอ
อื้อหืออออ สายตาชาวบ้านร้านตลาดแถวนั้นที่ได้ยิน พากันมองมาที่ผม ผมรู้สึกว่าไม่โอเคละ เลยพูดเตือนสติพยาบาลท่านนั้นว่า ใจเย็นๆครับคุณพยาบาล ผมอายเค้า เด๋วขอเวลาฟังผมแป๊บนึงนะครับ แล้วเธอก็คงรู้ตัวก็เลยพูดเบาลง
ผม : ไม่ได้ถุงแตกครับ แต่ผมไม่ได้ใส่เลย
พยาบาล : คือจะมาตรวจเลือดใช่มั้ย
ผม : ครับ แล้วก็จะมาปรึกษาแพทย์ ขอรับยาต้านไวรัสแบบฉุกเฉินครับ
พยาบาล : ยาต้านไวรัสฉุกเฉินอะไร? มันมีที่ไหน? ไม่มี๊ แล้วนี่ไปเสี่ยงมาเมื่อไหร่
ผม : คืนวันที่ 4 ครับ
พยาบาล : โอ้ย ตรวจตอนนี้มันยังไม่เจอหรอก โน่น รอ 3 เดือน 6 เดือนค่อยมาตรวจ ตรวจวันนี้ก็เจ็บตัวฟรี
ผม : คือผมอ่านมาในเน็ต เค้าบอกว่ามีวิธีการนี้ บลาๆๆๆ
พยาบาล : จะเชื่อเน็ตหรือจะเชื่อโรงพยาบาล
ในที่สุด ผมก็พ่ายแพ้ต่อเธอครับ เดินคอตกกลับมา ในระหว่างนั้นก็เอามือถือขึ้นมาเพื่อเข้าไปอ่านบทความนั้นของสภากาชาดไทยอีกครั้ง นั่นแหละทำให้ผมคิดได้ว่า ถ้าข้อมูลนี้มาจากสภากาชาด ทำไมเราไม่ไปสภากาชาดซะเลยล่ะ มายืนโง่อะไรอยู่ตรงนี้!!!! เดชะบุญว่า โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี เป็นโรงพยาบาลในสังกัดสภากาชาดไทย นั่นก็คือ
"โรงพยาบาลสมเด็จบรมราชเทวี ณ ศรีราชา"
ผมไปศรีราชาอย่างไว ถึงโรงพยาบาลปุ๊บ จัดการกรอกข้อมูลในแบบฟอร์ม และยื่นต่อพยาบาลที่จุดคัดกรองผู้ป่วยเหมือนโรงพยาบาลแรกเป๊ะ แต่การให้บริการช่างดูเป็นผู้ดีมีอารยะ พอเห็นว่าเป็นการมาตรวจเกี่ยวกับ HIV พยาบาลตรงนี้ไม่ซักไซ้ข้อมูลให้เราขายหน้าประชาชี แต่ส่งเราไปคุยกับ "เจ้าหน้าที่ที่ให้คำปรึกษาด้านนี้โดยตรง" ในสถานที่ที่มิดชิด ซึ่งที่นี่เค้าตั้งชื่อน่ารักๆว่า "ศูนย์มิตรภาพ" ซึ่งก็สมกับชื่อศูนย์เค้าหละครับ คือเป็นมิตรมากๆ เจ้าหน้าที่พูดคุยกับเราด้วยความเป็นมิตร รับฟังและเข้าใจ รวมทั้งให้คำแนะนำอย่างดี หลังจากนั้น เขาก็ส่งผมไปเจาะเลือดตรวจ HIV
ต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับ ว่าการตรวจเลือดหาเชื้อ HIV แบบทั่วๆไปนั้น ควรตรวจหลังรับเชื้อมาประมาณ 3 เดือนขึ้นไปถึงจะให้ผลที่แน่ชัด แต่ในเคสผม ซึ่งเสี่ยงรับเชื้อมายังไม่ถึง 2 วันเลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมต้องตรวจล่ะ ก็เพื่อยืนยันว่าเราไม่ได้เป็นผู้ติดเชื้อมาก่อนไงครับ เพราะถ้าเราติดเชื้อมาก่อนที่จะมีเหตุการณ์เสี่ยงนี้ เราจะได้รับการรักษาครับ ไม่ใช่เอายาไปกินเพื่อป้องกันฉุกเฉิน (ไหนใครบอกว่าตรวจวันนี้เจ็บตัวฟรีวะ) พอเจาะเลือดเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็ส่งไปพบกับคุณพยาบาลที่แผนกอายุรกรรม พยาบาลท่านนี้ผมไม่ทราบว่าชื่อจริงชื่ออะไรนะครับ แต่เห็นเค้าเรียกกันว่าดาว ก็คิดว่าพยาบาลท่านนี้น่าจะมีชื่อเล่นว่า คุณดาว
คุณพยาบาลดาว พาผมเข้ามาคุยในห้องที่มิดชิด ตอนนั้นผลเลือดยังไม่ออก แต่คุณพยาบาลเข้ามาคุยรายละเอียดถึงพฤติกรรมการเสี่ยงของผม ผมก็เล่าอย่างละเอียดโดยไม่กั๊กครับ เพราะรู้สึกสบายใจมาก คุณพยาบาลสอบถามด้วยความสุภาพ เป็นกันเอง ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมเครียดนรกแตก หลังจากนั้นคุณพยาบาลดาวก็ให้คำแนะนำ ในกรณีที่ถ้าผลเลือดออกมาเป็นบวก แสดงว่าเราเป็นผู้ติดเชื้อมาแต่แรกแล้ว เราจะได้รับการรักษาอย่างไร ดูแลตัวเองอย่างไร แนะนำแม้กระทั่งการใช้ชีวิตในสังคม การตอบคำถามในกรณีที่มีพวกสอดรู้สอดเห็นถาม และที่สำคัญคือการให้กำลังใจ ที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่มีค่าและงดงามมากในเวลาแบบนี้ แต่ถ้าผลออกมาเป็นลบ นั่นหมายความว่าเราไม่ใช่ผู้ติดเชื้อ แต่เป็น "ผู้ที่เสี่ยงจะติดเชื้อ" จะได้รับการรักษาด้วยการให้ยาต้านไวรัส ซึ่งคุณหมอจะเป็นคนสั่งยาอีกที
ในที่สุด ผลเลือดก็ออกมาครับ ผลเป็นลบ นั่นหมายความว่า ผมไม่ใช่ผู้ติดเชื้อ แต่เป็นผู้ที่เสี่ยงว่าจะติดเชื้อ (ฟังดูเหมือนดีนะ แต่ไม่เลยครับ ยังไงมันก็เสี่ยงอยู่ดี) คุณพยาบาลดาว ก็ส่งพบแพทย์เฉพาะทางด้านโรคนี้โดยเฉพาะ ซึ่งคุณพยาบาลดาวเปิดดูในคอมให้ว่าตอนนี้คุณหมอท่านนี้มีเคสอยู่กี่เคส เราเป็นคิวที่เท่าไหร่ รอประมาณกี่นาที ซึ่งผมชอบวิธีการนี้มาก ไม่ใช่ให้เรารอแบบไร้จุดหมายดีครับ
ผมรอพบแพทย์อยู่พักใหญ่ ก็ถึงคิวผมเข้าพบแพทย์ ซึ่งผมประทับใจคุณหมอมากๆ เกิดมายังไม่เคยพบเคยเห็นคุณหมอโรงพยาบาลรัฐที่ไหนแสนดีแบบนี้ คุณหมอท่านชื่อ พ.ญ. ธีรารัตน์ เอาตั้งแต่ผมเปิดประตูเข้าไป คุณกมือไหว้สวัสดี ทักทายผมจนผมรับไหว้แทบไม่ทัน แล้วก็พูดคุยดีมากๆ รู้สึกได้ว่าคุณหมอให้ความสำคัญกับอาการหรือข้อมูลของเรา คำแนะนำก็เป็นประโยชน์กับเรามากๆ และที่สำคัญ กำลังใจมาเต็ม บรรเทาใจเราที่วิตกกังวลได้ระดับหนึ่ง ซึ่งก็วิเศษที่สุดแล้วในอารมณ์นี้ครับ
สรุปคือคุณหมอสั่งยาที่เป็นยาต้านเชื้อแบบฉุกเฉินให้ เป็นยา 2 ตัว ต้องทานพร้อมกัน เวลาเป๊ะๆ ระบุในซองยา ให้ตั้งนาฬิกาปลุกสำหรับทานยาเลย ทานพร้อมอาหารด้วยครับ และทานต่อเนื่องไปจนยาหมด แล้วก็นัดมาตรวจเลือด 3 ครั้ง คืออีก 1 เดือน 3 เดือน และ 6 เดือน ข้างหน้า นั่นหมายความว่า ช่วงเวลานรกที่ผมต้องลุ้นนั้นมันยาวนานถึง 6 เดือน!!!! และยาที่ว่า ไม่ได้ให้ผล 100% เป็นเพียงวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อเท่านั้น และยาก็มีผลข้างเคียง (ซึ่งผมทานแล้วบอกเลยว่า มึนหัว มวนท้องสุดๆ)
ความประทับใจยังไม่จบครับ ณ ห้องยา เภสัชกรพูดจาดีเหมือนเดิม และให้คำแนะนำในเคสของผมเป็นพิเศษ เนื่องจากผมให้ข้อมูลว่าผมเพิ่งเสพยาเสพติดประเภทยาไอซ์ไปในตอนนั้นด้วย (ซึ่งผมไม่ได้ติดและใช้เป็นประจำนะครับ) มันเป็นยาเสพติดประเภทที่มันร้ายแรง เป็น "เมทแอมเฟตามีน" พูดง่ายๆคือเป็นพี่ชายคนโตของยาบ้าเลยทีเดียว แล้วสารเสพติดของยาเสพติดประเภทนี้จะอยู่ในร่างกายของเราเป็นเดือนๆกว่าจะขับออกหมด สรุปมาหาหมอโรงพยาบาลนี้เหมือนได้มาเรียนวิชาสุขศึกษาอีกครั้ง เพราะทุกจุดให้ความรู้ความเข้าใจกับเราไปด้วย แต่เดี๋ยวก่อน เท่านั้นยังไม่พอ ในระหว่างที่ผมรออยู่หน้าห้องยา คุณพยาบาลดาว ซึ่งกำลังออกเวรแล้ว (สังเกตจากกระเป๋าและข้าวของส่วนตัวที่หอบมา) เดินมาจะกลับบ้าน พอเห็นผม เธอก็ตั้งใจเดินมาหาผมโดยเฉพาะ ถามว่าพบคุณหมอแล้วคุณหมอว่าไงบ้าง และจบด้วยการให้กำลังใจ ไม่ให้เราคิดวิตกมากไป และกล่าวคำร่ำลากันอย่างกับคนรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน
ยังคับ ยังๆ ผมเดินออกมาจากตึกของโรงพยาบาลแล้วนะครับ ตอนนั้นเป็นเวลาเลิกงานของเจ้าหน้าที่พอดี เจ้าหน้าที่กำลังทยอยกลับบ้าน ผมก็บังเอิญเจอกับเจ้าหน้าที่ "ศูนย์มิตรภาพ" ที่ให้คำปรึกษาครั้งแรก เธอจำผมได้และเข้ามาทักทายผม และถามไถ่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เหมือนที่คุณพยาบาลดาวถามน่ะครับ และแน่นอนครับ ผมก็ได้กำลังใจ ว่าไม่ต้องกังวลอะไรมาก เหมือนเดิม
ผมว่าทั้งหมดนี้มันเป็นการบริการที่ "เหนือความคาดหมาย" มากๆครับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพบเจอที่นี่มันแสดงถึงมาตรฐาน ระบบที่มีประสิทธิภาพ บุคลากรที่มีความเป็นมืออาชีพ มีความใส่ใจ ความจริงใจ และเต็มใจให้บริการ เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม น่ายกย่อง ควรค่าแก่การเป็นแบบอย่าง เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการทางการแพทย์ให้ดียิ่งขึ้น เราอาจจะได้ยินบ่อยๆว่า โรงพยาบาลของรัฐนั้นผู้ใช้บริการเยอะ บุคลากรอาจมีความเหน็ดเหนื่อย เราต้องทำใจ ว่าการบริการก็คงทำเท่าที่ได้ แต่โรงพยาบาลสมเด็จฯ ณ ศรีราชา ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วครับ ที่นี่ก็เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ผู้ใช้บริการก็มากมาย แต่ด้วยการบริหารจัดการที่ดี ระบบที่มีประสิทธิภาพ บุคลากรที่มีคุณภาพของเขา สร้างความแตกต่างให้ภาพลักษณ์ของโรงพยาบาลรัฐเปลี่ยนไปในทางที่ดีจริงๆ
ขอบคุณทุกท่านมากๆนะครับวันนี้ ถ้าท่านได้มีโอกาสมาอ่าน ก็ถือว่านี่เป็นกำลังใจเล็กๆน้อยๆจากผู้ใช้บริการ แทนคำขอบคุณนะครับ^^
ป.ล. ค่าตรวจ HIV ฟรีนะครับ คนไทยทุกคนตรวจได้ฟรีปีละครั้งตามสิทธิ์ในฐานะพลเมืองไทย ส่วนค่ายาต้องเสีย เนื่องจากเป็นยานอกบัญชียาหลัก พันกว่าบาทครับ ตังค์ไม่พอคุณหมอก็ใจดี๊ใจดี สั่งยาให้ก่อนสำหรับ 3 วันนี้ แล้วออกใบสั่งยาให้มารับยาอีกครั้งให้ครบ ช่างเป็นวิธีการที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพจริงๆครับ