ความรู้สึกแรกที่มันเกิดขึ้นคือ....
ฉันรู้สึกหดหู่กับการนั่งอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มีนิ้วชี้ข้างขวาคอยคลิกหาเว็ปไซต์หางานเพื่อดูงานต่างๆ ที่อาจจะเหมาะสมกับฉัน งานแล้วงานเล่า ลองกดสมัครงานผ่านทางเว็ปไซต์หลายๆงานก็ไม่มีการตอบกลับ
มันเงียบ....
มันหดหู่....
มันเคว้งคว้าง....
คนที่ตกงานอยู่น่าจะรู้ถึงความรู้สึกนี้ดีที่สุด....
ถ้าอย่างนั้นไปเที่ยวดีกว่า เผื่อชีวิตมันจะดีขึ้นกว่านี้ หรือนี่จะเป็นข้ออ้างเพื่อหาเรื่องไปเที่ยวหรือเปล่า ....ฉันก็ไม่แน่ใจ
“แล้วจะไปที่ไหนดีล่ะ”
“ขอแบบประหยัดๆหน่อยนะ”
“รถไฟฟรีไหมล่ะ”
“จังหวัดไหนมีรถไฟฟรีผ่านบ้าง”
“ที่พักเอาถูกๆนะ”
ฉันกดกากบาทแท็บหน้าเว็ปไซต์สมัครงานทั้งหลายแหล่ออกไปให้หมด แล้วกดเข้าเว็ปไซต์ Search Engine ชื่อดังอย่างไม่ลังเลอะไรทั้งสิ้น
-- เที่ยว รถไฟฟรี ราคาถูก พันทิป --
ฉันค้นหาอยู่หลายกระทู้ จนในที่สุดก็มีบางสิ่งบางอย่างสะดุดตาฉันเข้าให้ นั้นไง...รถไฟฟรีไปเชียงคาน
ฉันจัดการอ่านกระทู้อย่างรวดเร็วแล้วนำไปเสนอคนที่ตกงานอีกคนหนึ่ง - แฟนฉันเอง -
แฟนฉันเห็นด้วยกับการที่เราทั้งสองคนจะได้ออกไปเจอกับอากาศภายนอกเสียบ้าง ไม่ใช่อุดอู้อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่มันทำให้เรา 2 คนหดหู่ใจ เขาบอกให้ฉันหาข้อมูลทั้งหมด วางแผนการเดินทางที่ถูกที่สุด หาโฮมสเตย์ที่ราคาพอรับได้
ไม่กี่วันหลังจากนั้น เรา 2 คนก็เก็บของเตรียมตัวเดินทาง กล้องพร้อม เสื้อผ้าพร้อม กระเป๋า เครื่องประทินผิวทั้งหลายแหล่พร้อมหมดทุกอย่าง ยกเว้นก็แต่เงินอันน้อยนิดของเราที่มันดูจะไม่ค่อยพร้อมสักเท่าไหร่ เอาน่าแค่แบงค์สีเทาใบสองใบ ไม่ถึงกับแย่ขนาดนั้นหรอกน่า
-------------------------------------
วันเดินทางมาถึง
วันที่ 19/07/2558 เวลา 23.30 น.
รถไฟฟรี.....ล่าช้า 2 ชั่วโมง
น้ำตาจะไหลกับการมานั่งรอคอยรถไฟฟรีที่สถานีบางเขน แทบอยากจะเอาหน้าก้มลงกราบรถไฟไทย มาเถอะพี่ อย่า Late เลยนะ ฉันได้ยินเสียงคนจำนวนไม่น้อยบ่นกระปอดกระแปดว่าทำไมถึงได้ช้าขนาดนี้ แล้วเราจึงใช้เวลาช่วงนั้นที่ต้องรอไปถ่ายรูปเล่นบนสะพานลอยใกล้ๆแทน
รถไฟฟรีสายตะวันออกเฉียงเหนือ กรุงเทพฯ-หนองคาย ตามกำหนดการจะถึงสถานีบางเขนเวลา 21.17 น. แต่รถไฟมาจริง 23.30 น. คืออัลไล....
เมื่อรถไฟมาเรารีบขึ้นรถไฟเพื่อไปหาที่นั่งของตัวเองทันที พอไปถึงก็โดนใครไม่รู้จับจองที่นั่งไปแล้ว ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมไม่นั่งตามเลขของตัวเอง แถมบางคนยังนอนเหยียดขา พาดขา ไปอีกเก้าอี้หนึ่งเพื่อความสบายส่วนตัวอีกต่างหาก สุดท้ายฉันกับแฟนก็ตัดสินใจไปหาที่นั่งว่างที่อื่น แต่ไม่นานหลังจากนั้นเราก็โดนไล่ที่ซะอย่างนั้น กำลังหลับสบายแท้ๆ แต่ไม่เป็นไร เราไปไล่ที่ไอ้คนที่มันนั่งที่เรากันดีกว่า เอาจริงๆจะเรียกว่าไล่ก็ไม่ถูก แค่ขอร้องเขาดีๆ เขาก็ยอมลุกให้เราแล้ว คนไทยด้วยกันไม่เห็นต้องใจร้ายใส่กันจริงไหม
วันที่ 20/07/2558 เวลาประมาณ 05.30 น.
ฉันตื่นขึ้นมาอีกทีก็ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว เอาจริงๆฉันนอนหลับไม่ค่อยเต็มอิ่มซักเท่าไหร่ เพราะมีเสียงคนขายมาม่า กาแฟ น้ำเปล่า อยู่ตลอดระยะทางจากกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเชิญชวนให้ซื้อไก่ย่างวิเชียรบุรี บอกตรงๆว่าเราทั้งคู่น้ำลายซอด้วยความหิวโหยมาก ไก่หลายตัวผ่านเราไปพร้อมกับทิ้งกลิ่นหอมๆเอาไว้ด้วย
แน่นอนว่าทริปนี้ของเราทั้งคู่เป็นทริปราคาประหยัด ดังนั้นอาหารเช้าของเรายังไงก็เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากน้ำพริกปลาทู และเนื้อเค็มทอดแสนอร่อยที่แม่เตรียมมาให้เรากินกัน มันยังคงนอนรอเราอยู่ในกระเป๋าบนที่วางกระเป๋าเหนือศรีษะ
ถึงสถานีขอนแก่น ชายตรงหน้าของเราทั้งสองคนก็ลุกหยิบสัมภาระของตัวเองแล้วเดินจากไป คราวนี้ที่นั่งเป็นของเราทั้งคู่แล้ว แฟนฉันคว้ากระเป๋าใบโตลงมา ฉันรับมาแล้วเปิดควานหาถุงข้าวน้อยๆแสนอร่อย
แกะหนังยางออกมา.....
กลิ่นงี้โชย....
ข้าวบูด....
-------------------------------------
วันที่ 20/07/2558 เวลา 09.35 น.
ในที่สุดเราก็ถึงสถานีอุดรธานี ก้นเมื่อยๆของเราร้องครางมานานแล้ว มันต้องการให้เราลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายเสียที เรารีบลงรถไฟเพื่อไปต่อรถเมล์ทันที มีสกายแลปมาเรียกเราก็ไม่เอา เพราะเราไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อความสะดวกสบายนั้น แต่มันก็ไม่ได้เลวร้าย เราตกงาน เรามีเวลาเหลือเฟือ เราไม่ต้องรีบ เราไม่ต้องแข่งกับใครในตอนนี้
เราตกลงขึ้นรถเมล์สีเหลืองที่หน้าโรงพยาบาลเอกอุดร แค่คนละ 10 บาทก็พาเราไปถึง บขส.อุดรธานี 2 ได้ในราคาแสนถูก แถมส่งถึงข้างในบขส.เลยด้วย แต่อยากจะบอกว่าคุณลุงผู้เป็นทั้งคนขับและกระเป๋าเก็บเงินนั้น ขับรถเมล์ได้ Slow Life สุดๆไปเลย ไม่แน่ใจว่าคุณลุงเหยียบถึง 40 ไหมนะ
เมื่อถึง บขส.อุดรธานี 2 ฉันเสนอให้เราทั้งคู่กินข้าวเช้ากันก่อน จากนั้นก็ไปซื้อตั๋วขึ้นรถทัวร์ อุดรธานี-เลย ราคาคนละ 100 บาท ระหว่างทางมีซาลาเปาขึ้นมาขาย ซื้อกินคนละลูกให้พออิ่ม ราคาเบาๆแค่ 10 บาท เราใช้เวลานั่งเมื่อยอยู่บนรถทัวร์กว่า 3 ชั่วโมงครึ่งก็ถึง บขส.เลย
มีเรื่องตื่นเต้นนิดหน่อยตอนใกล้ถึงบขส. คือมีรถสองแถวไปเชียงคานกำลังติดไฟแดงพอดี เจ้าหน้าที่บนรถทัวร์รีบบอกทุกคนที่จะไปต่อรถสองแถวสายเลย-เชียงคาน ให้รีบลงไปขึ้นรถซะ จะได้ไม่ต้องไปนั่งรอรถเที่ยวถัดไปให้เสียเวลา
วิ่งกันไม่คิดชีวิต
-------------------------------------
วันที่ 20/07/2558 เวลา 16.30 น.
ในที่สุดเราก็ถึงที่พักของเราเสียที เบ็ดเสร็จแล้วเราใช้เวลาในการเดินทางร่วม 18 ชม.ในการมาเชียงคาน
ถ้านั่งเครื่องบินที่ใช้เวลาแค่ 1 ชม. เราก็จะเห็นแต่ก้อนเมฆสีขาว และความตื่นเต้นเล็กน้อยตอนเครื่องขึ้น (ฉันชอบ)
ถ้านั่งรถทัวร์ บขส. ที่ใช้เวลาแค่ 8 ชม. เราก็จะเห็นแต่ทิวทัศน์โล้นๆของสองข้างถนน
แต่เรานั่งรถไฟใช้เวลาถึง 10 ชม. ต่อรถเมล์ไปบขส.อีกครึ่งชม. รถทัวร์ไปเลยอีก 3ชม.ครึ่ง ต่อสองแถวไปเชียงคานอีกครึ่งชม.
เรารู้สึกว่าเราได้ผจญภัย ได้ค้นพบอะไรหลายๆแบบ ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตแบบต่างๆ ได้มองเห็นการใช้ชีวิตที่ไม่ต้องเร่งรีบอะไร ไปเรื่อยๆในช่วงเวลาหนึ่ง Slow Life ของคนตกงาน
-- ไทยกันเอง -- คือชื่อเกสเฮ้าส์ที่ฉันมาพัก
-- ป้าเป๊ะ-- คือเจ้าของเกสเฮ้าส์นี้ เป็นกันเอง น่ารัก พูดเก่ง
ฉันจองห้องพักราคาคืนละ 500 บาทไว้ ป้าชวนให้เราขึ้นไปดูห้องพัก เมื่อตกลงเรื่องห้องกันเรียบร้อย เราก็จัดการกับร่างกายของตัวเองคือ อาบน้ำพักผ่อนก่อนแล้วค่อยออกไปหาอะไรกินกัน เวลาผ่านไปซักพักหนึ่งเราก็เดินออกจากห้องพักเพื่อไปหาข้าวเที่ยงตอน 5 โมงเย็นกินกัน พอลงไปก็เจอป้าเป๊ะชวนคุย และแนะนำที่กินที่เที่ยวต่างๆ
ที่นี่เราได้เจอเพื่อนใหม่ด้วยนะ ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนๆ เราก็มันจะพบเจอกับมิตรภาพอยู่เสมอ
-- แอน --
เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ น่ารัก พูดเก่ง เสียดายมากที่แอนจะต้องกลับกรุงเทพฯวันนี้แล้ว เราชวนแอนไปกินข้าว เพราะเราสองคนยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกันเลย พวกเราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนอะไรกันมากมายพอตัว แอนพยายามแนะนำที่เที่ยว ที่กินให้เรา ก่อนจะกลับก็แลกไลน์กันไว้นิดหน่อยเผื่อซักวันจะได้ไปเที่ยวด้วยกัน....
"ขอบคุณนะแอน สำหรับคำแนะนำต่างๆ แม้จะในระยะเวลาอันสั้นก็ตาม"
หลังจากอิ่มท้องกันแล้วเรา 2 คนก็ออกปั่นจักรยานที่ป้าเป๊ะเตรียมไว้ให้ฟรีสำหรับคนที่มาพักที่นี่โดยเฉพาะ ปั่นไปเรื่อยๆตามลำน้ำโขง บรรยากาศดูสนุกสนานเล็กน้อยเพราะมีเด็กนักเรียนจากโรงเรียนใกล้ๆมานั่งเล่น คุยเล่นกันเต็มไปหมด
วันนี้ดูไม่เหงาสักเท่าไหร่ สำหรับเชียงคานตอนหน้าฝน
เราเจอกุ้งเสียบตามที่เห็นในพันทิป ราคาน่าลองแค่ไม้ละ 10 บาท จัดการซื้อมา 2 ไม้ แบ่งกันกินคนละไม้ ก็อร่อยดีกินได้เพลินๆ ใครไปก็คงต้องลองชิมสักนิด แต่ระวังก้ามกุ้งจิ้มเหงือก
หลังจากนั้นเราก็ไปเดินเล่นถนนคนเดิน วันนี้วันจันทร์ ร้านรวงยังพอเปิดอยู่บ้าง คนก็ยังเยอะพอตัว เห็นของกินต่างๆ น่าสนใจไปหมด ฉันจัดการเฉาก๊วยไปหนึ่งถ้วย ราคาเบาๆ 20 บาท ให้เครื่องเยอะมาก ทั้งเฉาก๊วย ลูกชิด วุ้นมะพร้าว แปะก๊วย
นอกจากร้านขายของกินก็ยังมีร้านขายเสื้อผ้า กระเป๋า ของฝากเปิดอยู่เยอะพอสมควร เราเดินเล่นไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็หยุดเดิน พอง่วงก็ก่อนจะกลับห้องไปนอน
-------------------------------------
วันที่ 21/07/2558 เวลา 08.00 น.
เช้าแล้วได้เวลาออกไปหาข้าวกินป้าเป๊ะแนะนำให้ไปลองกินข้าวปุ้นน้ำแจ่วก่อนเป็นอย่างแรก พอกินไปแล้วก็รู้สึกคล้ายๆ ต้มเลือดหมูแถวบ้านเรา มีเครื่องใน มีเส้นขนมจีน กับน้ำใสๆ ฉันรู้สึกเฉยๆกับมันนิดหน่อย แอบผิดหวังนิดนึง
จากนั้นก็ปั่นจักรยานไปถ่ายรูปตามที่ต่างๆ พอเหนื่อยก็กลับมานอนพัก พอหิวก็ออกไปหาอะไรกินต่อ ชีวิตที่เชียงคานของเราวนลูปอยู่แค่นี้ตอนแรกเราคิดกันว่าจะลองปั่นจักรยานไปแก่งคุดคู้ แต่พอเห็นเส้นทางที่ไปไม่ใช่เลาะริมโขงอย่างที่ตั้งใจ แผนก็ล้มเพราะถนนใหญ่มันอันตรายเกินไปสำหรับฉัน แต่ไม่ใช่สำหรับอีกคน
มื้อเที่ยงได้รับคำแนะนำว่าลองไปกินจุ่มนัวดู เป็นอาหารที่คล้ายๆสุกี้แถวบ้านเรา อร่อยดีแต่น้ำเยอะไปหน่อย ป้าบอกว่าร้านที่อร่อยๆเขาไม่เปิด ก็เลยแนะนำให้ไปกินอีกร้านนึง ป้าบอกว่า ร้านนี้เขาให้น้ำเยอะไปหน่อย จุ่มนัวต้องกินแบบขลุกขลิก มีน้ำนิดๆจะอร่อยเข้มข้น แซบๆ
ตกเย็นเราไปเดินเล่นริมแม่น้ำโขงตามเคย ซื้อปาท่องโก๋ยัดไส้กับข้าวจี่มากินด้วยกัน นั่งกินอยู่ริมโขง วิวดีอย่าบอกใคร วันนี้ริมโขงดูเศร้าๆเหงาๆแปลกๆ ฉันว่าฉันไม่ค่อยชอบบรรยากาศเหงาๆแบบนี้ซักเท่าไหร่ บางทีคนอย่างฉันควรจะไปเที่ยวช่วงวันหยุดน่าจะดีที่สุด มาวันธรรมดาแล้วมันเหงาเกินไปจริงๆ
แล้วอยู่ๆก็มีฝนตกลงมาปรอยๆ นานๆเข้าก็หนักขึ้นเรื่อยๆ มันยิ่งทำเอาบรรยากาศเหงาหนักขึ้นไปอีก ช่างไม่เหมือนเมื่อวานเลยจริงๆ เพราะนอกจากนักท่องเที่ยวจะกลับไปกันเกือบหมดแล้ว กลับต้องมาเจอฝนเทกระหน่ำอย่างต่อเนื่องแบบนี้ บอกตรงๆว่าถึงมากับแฟนก็เหง๊าเหงา
นี่ฉันหนีความหดหู่มาเจอความเหงา....
นั่งรถไฟฟรีไปเที่ยวเชียงคานกับคนตกงาน 2 คน
ความรู้สึกแรกที่มันเกิดขึ้นคือ....
ฉันรู้สึกหดหู่กับการนั่งอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มีนิ้วชี้ข้างขวาคอยคลิกหาเว็ปไซต์หางานเพื่อดูงานต่างๆ ที่อาจจะเหมาะสมกับฉัน งานแล้วงานเล่า ลองกดสมัครงานผ่านทางเว็ปไซต์หลายๆงานก็ไม่มีการตอบกลับ
มันเงียบ....
มันหดหู่....
มันเคว้งคว้าง....
คนที่ตกงานอยู่น่าจะรู้ถึงความรู้สึกนี้ดีที่สุด....
ถ้าอย่างนั้นไปเที่ยวดีกว่า เผื่อชีวิตมันจะดีขึ้นกว่านี้ หรือนี่จะเป็นข้ออ้างเพื่อหาเรื่องไปเที่ยวหรือเปล่า ....ฉันก็ไม่แน่ใจ
“แล้วจะไปที่ไหนดีล่ะ”
“ขอแบบประหยัดๆหน่อยนะ”
“รถไฟฟรีไหมล่ะ”
“จังหวัดไหนมีรถไฟฟรีผ่านบ้าง”
“ที่พักเอาถูกๆนะ”
ฉันกดกากบาทแท็บหน้าเว็ปไซต์สมัครงานทั้งหลายแหล่ออกไปให้หมด แล้วกดเข้าเว็ปไซต์ Search Engine ชื่อดังอย่างไม่ลังเลอะไรทั้งสิ้น
-- เที่ยว รถไฟฟรี ราคาถูก พันทิป --
ฉันค้นหาอยู่หลายกระทู้ จนในที่สุดก็มีบางสิ่งบางอย่างสะดุดตาฉันเข้าให้ นั้นไง...รถไฟฟรีไปเชียงคาน
ฉันจัดการอ่านกระทู้อย่างรวดเร็วแล้วนำไปเสนอคนที่ตกงานอีกคนหนึ่ง - แฟนฉันเอง -
แฟนฉันเห็นด้วยกับการที่เราทั้งสองคนจะได้ออกไปเจอกับอากาศภายนอกเสียบ้าง ไม่ใช่อุดอู้อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่มันทำให้เรา 2 คนหดหู่ใจ เขาบอกให้ฉันหาข้อมูลทั้งหมด วางแผนการเดินทางที่ถูกที่สุด หาโฮมสเตย์ที่ราคาพอรับได้
ไม่กี่วันหลังจากนั้น เรา 2 คนก็เก็บของเตรียมตัวเดินทาง กล้องพร้อม เสื้อผ้าพร้อม กระเป๋า เครื่องประทินผิวทั้งหลายแหล่พร้อมหมดทุกอย่าง ยกเว้นก็แต่เงินอันน้อยนิดของเราที่มันดูจะไม่ค่อยพร้อมสักเท่าไหร่ เอาน่าแค่แบงค์สีเทาใบสองใบ ไม่ถึงกับแย่ขนาดนั้นหรอกน่า
-------------------------------------
วันเดินทางมาถึง
วันที่ 19/07/2558 เวลา 23.30 น.
รถไฟฟรี.....ล่าช้า 2 ชั่วโมง
น้ำตาจะไหลกับการมานั่งรอคอยรถไฟฟรีที่สถานีบางเขน แทบอยากจะเอาหน้าก้มลงกราบรถไฟไทย มาเถอะพี่ อย่า Late เลยนะ ฉันได้ยินเสียงคนจำนวนไม่น้อยบ่นกระปอดกระแปดว่าทำไมถึงได้ช้าขนาดนี้ แล้วเราจึงใช้เวลาช่วงนั้นที่ต้องรอไปถ่ายรูปเล่นบนสะพานลอยใกล้ๆแทน
รถไฟฟรีสายตะวันออกเฉียงเหนือ กรุงเทพฯ-หนองคาย ตามกำหนดการจะถึงสถานีบางเขนเวลา 21.17 น. แต่รถไฟมาจริง 23.30 น. คืออัลไล....
เมื่อรถไฟมาเรารีบขึ้นรถไฟเพื่อไปหาที่นั่งของตัวเองทันที พอไปถึงก็โดนใครไม่รู้จับจองที่นั่งไปแล้ว ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมไม่นั่งตามเลขของตัวเอง แถมบางคนยังนอนเหยียดขา พาดขา ไปอีกเก้าอี้หนึ่งเพื่อความสบายส่วนตัวอีกต่างหาก สุดท้ายฉันกับแฟนก็ตัดสินใจไปหาที่นั่งว่างที่อื่น แต่ไม่นานหลังจากนั้นเราก็โดนไล่ที่ซะอย่างนั้น กำลังหลับสบายแท้ๆ แต่ไม่เป็นไร เราไปไล่ที่ไอ้คนที่มันนั่งที่เรากันดีกว่า เอาจริงๆจะเรียกว่าไล่ก็ไม่ถูก แค่ขอร้องเขาดีๆ เขาก็ยอมลุกให้เราแล้ว คนไทยด้วยกันไม่เห็นต้องใจร้ายใส่กันจริงไหม
วันที่ 20/07/2558 เวลาประมาณ 05.30 น.
ฉันตื่นขึ้นมาอีกทีก็ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว เอาจริงๆฉันนอนหลับไม่ค่อยเต็มอิ่มซักเท่าไหร่ เพราะมีเสียงคนขายมาม่า กาแฟ น้ำเปล่า อยู่ตลอดระยะทางจากกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเชิญชวนให้ซื้อไก่ย่างวิเชียรบุรี บอกตรงๆว่าเราทั้งคู่น้ำลายซอด้วยความหิวโหยมาก ไก่หลายตัวผ่านเราไปพร้อมกับทิ้งกลิ่นหอมๆเอาไว้ด้วย
แน่นอนว่าทริปนี้ของเราทั้งคู่เป็นทริปราคาประหยัด ดังนั้นอาหารเช้าของเรายังไงก็เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากน้ำพริกปลาทู และเนื้อเค็มทอดแสนอร่อยที่แม่เตรียมมาให้เรากินกัน มันยังคงนอนรอเราอยู่ในกระเป๋าบนที่วางกระเป๋าเหนือศรีษะ
ถึงสถานีขอนแก่น ชายตรงหน้าของเราทั้งสองคนก็ลุกหยิบสัมภาระของตัวเองแล้วเดินจากไป คราวนี้ที่นั่งเป็นของเราทั้งคู่แล้ว แฟนฉันคว้ากระเป๋าใบโตลงมา ฉันรับมาแล้วเปิดควานหาถุงข้าวน้อยๆแสนอร่อย
แกะหนังยางออกมา.....
กลิ่นงี้โชย....
ข้าวบูด....
-------------------------------------
วันที่ 20/07/2558 เวลา 09.35 น.
ในที่สุดเราก็ถึงสถานีอุดรธานี ก้นเมื่อยๆของเราร้องครางมานานแล้ว มันต้องการให้เราลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายเสียที เรารีบลงรถไฟเพื่อไปต่อรถเมล์ทันที มีสกายแลปมาเรียกเราก็ไม่เอา เพราะเราไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อความสะดวกสบายนั้น แต่มันก็ไม่ได้เลวร้าย เราตกงาน เรามีเวลาเหลือเฟือ เราไม่ต้องรีบ เราไม่ต้องแข่งกับใครในตอนนี้
เราตกลงขึ้นรถเมล์สีเหลืองที่หน้าโรงพยาบาลเอกอุดร แค่คนละ 10 บาทก็พาเราไปถึง บขส.อุดรธานี 2 ได้ในราคาแสนถูก แถมส่งถึงข้างในบขส.เลยด้วย แต่อยากจะบอกว่าคุณลุงผู้เป็นทั้งคนขับและกระเป๋าเก็บเงินนั้น ขับรถเมล์ได้ Slow Life สุดๆไปเลย ไม่แน่ใจว่าคุณลุงเหยียบถึง 40 ไหมนะ
เมื่อถึง บขส.อุดรธานี 2 ฉันเสนอให้เราทั้งคู่กินข้าวเช้ากันก่อน จากนั้นก็ไปซื้อตั๋วขึ้นรถทัวร์ อุดรธานี-เลย ราคาคนละ 100 บาท ระหว่างทางมีซาลาเปาขึ้นมาขาย ซื้อกินคนละลูกให้พออิ่ม ราคาเบาๆแค่ 10 บาท เราใช้เวลานั่งเมื่อยอยู่บนรถทัวร์กว่า 3 ชั่วโมงครึ่งก็ถึง บขส.เลย
มีเรื่องตื่นเต้นนิดหน่อยตอนใกล้ถึงบขส. คือมีรถสองแถวไปเชียงคานกำลังติดไฟแดงพอดี เจ้าหน้าที่บนรถทัวร์รีบบอกทุกคนที่จะไปต่อรถสองแถวสายเลย-เชียงคาน ให้รีบลงไปขึ้นรถซะ จะได้ไม่ต้องไปนั่งรอรถเที่ยวถัดไปให้เสียเวลา
วิ่งกันไม่คิดชีวิต
-------------------------------------
วันที่ 20/07/2558 เวลา 16.30 น.
ในที่สุดเราก็ถึงที่พักของเราเสียที เบ็ดเสร็จแล้วเราใช้เวลาในการเดินทางร่วม 18 ชม.ในการมาเชียงคาน
ถ้านั่งเครื่องบินที่ใช้เวลาแค่ 1 ชม. เราก็จะเห็นแต่ก้อนเมฆสีขาว และความตื่นเต้นเล็กน้อยตอนเครื่องขึ้น (ฉันชอบ)
ถ้านั่งรถทัวร์ บขส. ที่ใช้เวลาแค่ 8 ชม. เราก็จะเห็นแต่ทิวทัศน์โล้นๆของสองข้างถนน
แต่เรานั่งรถไฟใช้เวลาถึง 10 ชม. ต่อรถเมล์ไปบขส.อีกครึ่งชม. รถทัวร์ไปเลยอีก 3ชม.ครึ่ง ต่อสองแถวไปเชียงคานอีกครึ่งชม.
เรารู้สึกว่าเราได้ผจญภัย ได้ค้นพบอะไรหลายๆแบบ ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตแบบต่างๆ ได้มองเห็นการใช้ชีวิตที่ไม่ต้องเร่งรีบอะไร ไปเรื่อยๆในช่วงเวลาหนึ่ง Slow Life ของคนตกงาน
-- ไทยกันเอง -- คือชื่อเกสเฮ้าส์ที่ฉันมาพัก
-- ป้าเป๊ะ-- คือเจ้าของเกสเฮ้าส์นี้ เป็นกันเอง น่ารัก พูดเก่ง
ฉันจองห้องพักราคาคืนละ 500 บาทไว้ ป้าชวนให้เราขึ้นไปดูห้องพัก เมื่อตกลงเรื่องห้องกันเรียบร้อย เราก็จัดการกับร่างกายของตัวเองคือ อาบน้ำพักผ่อนก่อนแล้วค่อยออกไปหาอะไรกินกัน เวลาผ่านไปซักพักหนึ่งเราก็เดินออกจากห้องพักเพื่อไปหาข้าวเที่ยงตอน 5 โมงเย็นกินกัน พอลงไปก็เจอป้าเป๊ะชวนคุย และแนะนำที่กินที่เที่ยวต่างๆ
ที่นี่เราได้เจอเพื่อนใหม่ด้วยนะ ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนๆ เราก็มันจะพบเจอกับมิตรภาพอยู่เสมอ
-- แอน --
เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ น่ารัก พูดเก่ง เสียดายมากที่แอนจะต้องกลับกรุงเทพฯวันนี้แล้ว เราชวนแอนไปกินข้าว เพราะเราสองคนยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกันเลย พวกเราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนอะไรกันมากมายพอตัว แอนพยายามแนะนำที่เที่ยว ที่กินให้เรา ก่อนจะกลับก็แลกไลน์กันไว้นิดหน่อยเผื่อซักวันจะได้ไปเที่ยวด้วยกัน....
"ขอบคุณนะแอน สำหรับคำแนะนำต่างๆ แม้จะในระยะเวลาอันสั้นก็ตาม"
หลังจากอิ่มท้องกันแล้วเรา 2 คนก็ออกปั่นจักรยานที่ป้าเป๊ะเตรียมไว้ให้ฟรีสำหรับคนที่มาพักที่นี่โดยเฉพาะ ปั่นไปเรื่อยๆตามลำน้ำโขง บรรยากาศดูสนุกสนานเล็กน้อยเพราะมีเด็กนักเรียนจากโรงเรียนใกล้ๆมานั่งเล่น คุยเล่นกันเต็มไปหมด
วันนี้ดูไม่เหงาสักเท่าไหร่ สำหรับเชียงคานตอนหน้าฝน
เราเจอกุ้งเสียบตามที่เห็นในพันทิป ราคาน่าลองแค่ไม้ละ 10 บาท จัดการซื้อมา 2 ไม้ แบ่งกันกินคนละไม้ ก็อร่อยดีกินได้เพลินๆ ใครไปก็คงต้องลองชิมสักนิด แต่ระวังก้ามกุ้งจิ้มเหงือก
หลังจากนั้นเราก็ไปเดินเล่นถนนคนเดิน วันนี้วันจันทร์ ร้านรวงยังพอเปิดอยู่บ้าง คนก็ยังเยอะพอตัว เห็นของกินต่างๆ น่าสนใจไปหมด ฉันจัดการเฉาก๊วยไปหนึ่งถ้วย ราคาเบาๆ 20 บาท ให้เครื่องเยอะมาก ทั้งเฉาก๊วย ลูกชิด วุ้นมะพร้าว แปะก๊วย
นอกจากร้านขายของกินก็ยังมีร้านขายเสื้อผ้า กระเป๋า ของฝากเปิดอยู่เยอะพอสมควร เราเดินเล่นไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็หยุดเดิน พอง่วงก็ก่อนจะกลับห้องไปนอน
-------------------------------------
วันที่ 21/07/2558 เวลา 08.00 น.
เช้าแล้วได้เวลาออกไปหาข้าวกินป้าเป๊ะแนะนำให้ไปลองกินข้าวปุ้นน้ำแจ่วก่อนเป็นอย่างแรก พอกินไปแล้วก็รู้สึกคล้ายๆ ต้มเลือดหมูแถวบ้านเรา มีเครื่องใน มีเส้นขนมจีน กับน้ำใสๆ ฉันรู้สึกเฉยๆกับมันนิดหน่อย แอบผิดหวังนิดนึง
จากนั้นก็ปั่นจักรยานไปถ่ายรูปตามที่ต่างๆ พอเหนื่อยก็กลับมานอนพัก พอหิวก็ออกไปหาอะไรกินต่อ ชีวิตที่เชียงคานของเราวนลูปอยู่แค่นี้ตอนแรกเราคิดกันว่าจะลองปั่นจักรยานไปแก่งคุดคู้ แต่พอเห็นเส้นทางที่ไปไม่ใช่เลาะริมโขงอย่างที่ตั้งใจ แผนก็ล้มเพราะถนนใหญ่มันอันตรายเกินไปสำหรับฉัน แต่ไม่ใช่สำหรับอีกคน
มื้อเที่ยงได้รับคำแนะนำว่าลองไปกินจุ่มนัวดู เป็นอาหารที่คล้ายๆสุกี้แถวบ้านเรา อร่อยดีแต่น้ำเยอะไปหน่อย ป้าบอกว่าร้านที่อร่อยๆเขาไม่เปิด ก็เลยแนะนำให้ไปกินอีกร้านนึง ป้าบอกว่า ร้านนี้เขาให้น้ำเยอะไปหน่อย จุ่มนัวต้องกินแบบขลุกขลิก มีน้ำนิดๆจะอร่อยเข้มข้น แซบๆ
ตกเย็นเราไปเดินเล่นริมแม่น้ำโขงตามเคย ซื้อปาท่องโก๋ยัดไส้กับข้าวจี่มากินด้วยกัน นั่งกินอยู่ริมโขง วิวดีอย่าบอกใคร วันนี้ริมโขงดูเศร้าๆเหงาๆแปลกๆ ฉันว่าฉันไม่ค่อยชอบบรรยากาศเหงาๆแบบนี้ซักเท่าไหร่ บางทีคนอย่างฉันควรจะไปเที่ยวช่วงวันหยุดน่าจะดีที่สุด มาวันธรรมดาแล้วมันเหงาเกินไปจริงๆ
แล้วอยู่ๆก็มีฝนตกลงมาปรอยๆ นานๆเข้าก็หนักขึ้นเรื่อยๆ มันยิ่งทำเอาบรรยากาศเหงาหนักขึ้นไปอีก ช่างไม่เหมือนเมื่อวานเลยจริงๆ เพราะนอกจากนักท่องเที่ยวจะกลับไปกันเกือบหมดแล้ว กลับต้องมาเจอฝนเทกระหน่ำอย่างต่อเนื่องแบบนี้ บอกตรงๆว่าถึงมากับแฟนก็เหง๊าเหงา
นี่ฉันหนีความหดหู่มาเจอความเหงา....