ใครเปลี่ยนสไตล์การปั่นจากคาร์บอนมาเป็นทัวร์ริ่งแทนบ้างครับ

คือตอนนี้เปลี่ยนจากเสือภูเขามาเป็นหมอบครับ ปั่นมาได้ไม่กี่เดือนก็อัพล้อ ชุดขับ การ์มินไปหลายหมื่น แต่ปรกติเป็นคนชอบปั่นเที่ยวอยู่แล้วเมื่อก่อนปั่นภูเขามันปั่นเที่ยวล้อวิบากปั่นร้อยกว่าโลก็เอ็นแทบขาดแล้ว แถมน้ำหนัดลดลงมาจนพอปั่นหมอบได้เลยเปลี่ยนมาปั่นหมอบแทน แต่ก็ยังมีจุดหมายเดิมคือปั่นเที่ยวมากกว่า

พอมาสัปดาห์ที่แล้วได้ลองปั่นทัวร์ริ่งจริงจังข้ามคืน ปรากฏว่าหมอบมันทำความเร็วได้ดีก็จริงแต่ข้อเสียคือ ทางบ้านเรามันไม่ได้ดีขนาดนั้น พอผมปั่นไปตามทางหลวงชนบท เจอสารพัดหลุม สารพัดบ่อ ทางลูกรังสลับทางราดยางในเส้นเดียวกัน เลยมาคิดว่าเราอัพล้ออัพเกียร์มาเป็นหมื่นเพื่ออะไร มันตอบโจทย์การปั่นเราจริงๆเหรอ ถ้าจะปั่นเที่ยวจริงๆโดยใช้หมอบมันได้อยู่แต่มันก็ต้องเลือกเส้นทางตามถนนหลวงอยู่ดี ล้อที่ดีๆเหวี่ยงๆพอมาจอทางเป็นหลุมบ่อมันก็ต้องชะลอความเร็ว ค่อยๆไปอยู่ดี

ตอนแรกยอมรับเลยว่าสิ้นปีตัดสินใจไปคาร์บอนแน่ๆ เพื่ออยากเร็วขึ้นแรงขึ้น แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจแล้วออกคาร์บอนเฟรมสามสี่หมื่นมา ราคามันพอจะไปออกหมอบโครโมทัวร์ริ่งธรรมดาได้สบายๆ ปั่นปรกติเราก็ปั่นที่ 25 - 30 อยู่แล้ว มีการ์มินก็เพื่อมาคุมการออกกำลังการพัฒนาตัวเองมากกว่าพัฒนารถ

เพื่อนๆคนไหนมีประสบการณ์แบบนี้บ้างครับ ทำไมถึงตัดสินใจเปลี่ยน สุดท้ายแล้วคำตอบในใจของสายหมอบทัวร์ริ่งคือความเร็ว หรือความสบายกันแน่ ขอบคุณครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
กระแสกำลังมา
เพื่อนต่างชาติมาเมืองไทย ตกใจ ทำไมเมืองไทยมีแต่เสือหมอบ บ้านเขามีแต่จักรยานแม่บ้านใช้กันประจำวัน
ออกทริปเป็นกลุ่มใช้แต่เสือภูเขา คนเดินทางไกลกางเต้นท์จะใช้ทัวริ่ง
หมอบนี่น้อยมากเพราะมันเป็นรถแข่ง ไม่เหมาะกับการใช้งานเลยใช้แข่งอย่างเดียว
แต่พอมาเจอคนไทย ทุกคนขี่หมอบ ใช้รองเท้าคลีทหมอบสำหรับแข่งเต็มยศทุกคน งงไปเลย???
พวกคุณท่องเที่ยวด้วยรองเท้าแบบนี้กันจริงๆหรือ????
ทำไมพวกคุณใช้RBท่องเที่ยว????

ผมนี่อยากจะบอกเลย ไทยแลนนะยู เสียตังไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้
รู้หรือเปล่าsetเกียร์พื้นฐานเริ่มต้นของหมอบไทยคือ105นี่สำหรับรถแม่บ้านไว้จ่ายตลาดนะ
เก็บตังค์ได้เมื่อไหร่อัพเกียร์ก่อน อัพแล้วปั่นได้ไกลขึ้นแค่ไหนไม่รู้ แต่เกียร์รถกรูต้องอัพอันดับแรก
พวกเราต้องใช้ทุกเศษเสี้ยวความstiff รีดเค้นทุกwattออกมาเพื่อทริปพาแม่บ้านไปตลาดน้ำ
แถมยังต้องคงความaerodynamic แหวกทุกสายลมเพื่อหมกคันหน้าให้แนบสนิดพิชิตทริปใจเกินร้อย
ยูจะมาให้เราใช้เสือภูเขา รองเท้าทัวริ่ง ออกทริปปั่นไปกินสเต็กได้ยังไง ถ้าเราไปถึงช้ากว่าอีกกลุ่มแล้วเนื้อหมดจะทำยังไง
ไหนจะเรื่องที่ยูไม่ค่อยเห็นกันคือ ความหล่อบนตราชั่ง ใครหนักกว่า6.8นี่เมิงย้ายสัญชาติเลย ออกจากเมืองไทยไปเลย
แต่น้ำหนักรถไอ้หัวลากที่เราตามหมกมันทุกวันหนัก9โล(บอกมันด้วยอย่าอัพเด๋วกรูใส้แตก)

คือถ้าทุกคนใช้เสือภูเขาออกทริปมันก็ไปด้วยกันได้หมดไง แล้วมันก็ไปได้ทุกเส้นทางไม่ต้องห่วงไง แล้วก็ปลอดภัยไง
แล้วถ้าเผือกมีใครเอาหมอบมาร่วมทริปคันนึง มันก็เร็วกว่าเราไง แล้วมันก็เยาะเย้ย ทริปท่องเที่ยวแม่มbreakawayตลอดทาง เรายอมได้เหรอ ก็ต้องเอาหมอบมาซัดกับมัน
เราก็เลยต้องบอกต่อๆกันไงว่า ซื้อภูเขาไปเดี๋ยวก็ต้องขายทิ้ง ซื้อหมอบจบเลย ถ้าไม่ซื้อเมิงก็หลุดกลุ่มแบบนี้แหละ ออกทริปท่องเที่ยวแบบชาวไทยเขาไม่รอกันนะ เจออีกทีที่ปั๊มจุดพักโน่นนนนนน  ถนนหนทางมันจะแย่มันจะไม่เหมาะยังไงเราสนใจเหรอ
แม้จะใช้แค่ออกกำลังกายธรรมดาก็จำเป็นต้องหมอบอยู่ดีเพราะเพื่อนแนะนำมา หมอบจบเลย
หมอบถึ๊งเต็มบ้านเต็มเมืองแบบนี้ไง

ก็แล้วแต่เงินของใครก็ของมัน จะซื้ออะไรก็ตามต้องการไป ช่วงเวลานี้ยังเป็นช่วงตื่นตัว เราเชื่อว่าบ้านเมืองคนอื่นก็เคยเป็นแบบนี้เช่นกัน ให้เวลาสักพัก เมื่ออยู่ตัวแล้ว คัดสันคัดกรองแล้ว ต่อไปมันก็จะแตกแขนงกันออกไปตามความเหมาะสมเอง

แล้วมันเกี่ยวกับที่ถามมาเหรอเนี่ย 5555
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
เฟรม carbon มัน aero กว่านิดๆ มัน save แรงครับ ถ้าปั่นเกิน 30 km/hr

แต่ผมนี่ชอบไปดูดทัวริ่งโครโม ประจำ มันวิ่งนิ่งดีจัง 28-30 ยาวๆ

ทางราบมันไม่ต่างเท่าไหร่หรอกครับ ถ้าระยะเกิน 200 ความเร็วที่ได้ก็ต่างกันไม่มาก หลัก ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น

(ปั่นทั่วริ่ง ครึ่งชั่วโมง แทบไม่มีนัยยะสำคัญ)

แต่พอขึ้นเขา ขึ้นเนิน แล้วรถเบาๆ มันสบายขาดีครับ

สิ่งที่อะไหล่แพงๆ มีดีอีกอย่างคือ เบาแรงขา และความเชื่อถือได้ของอุปกรณ์ มันไม่ค่อยพัง หรือมีปัญหากลางทาง

ผมมีจักรยาน 4 คัน ตั้งแต่รถคันละ 3000 พันกว่าบาท จนไปถึงหลักแสน

ไปจ่ายตลาด ปั่นเล่น ใกล้ๆ บ้าน ผมเอารถราคา 10,000 +- ไป

ให้น้องขี่ คนอื่นยืม ไปซื้อของหน้าปากซอย รถราคา 3 พัน

ให้เพื่อนยืมเวลาไปทริปด้วยกัน แล้วไม่มีจักรยาน ราคา 2 - 3 หมื่น

ปั่นเองประจำ ซ้อมทีม ปั่นทริป ปั่นคันละแสนกว่าๆ

ถ้าไปเชียงใหม่ จะเอาให้ถึง ใน 5 วัน ทั้ง 4 คันไปถึงได้หมด แต่คนปั่น สภาพสะบักสะบอมไม่เหมือนกัน

ผมลองเอาแต่ละคันไปปั่น 100km มาแล้ว เลยเข้าใจเลย

รถคันแพงสุด ผมเชื่อว่าปั่น กทม ไป เชียงใหม่ ถึงแล้วพักแล้วยังไปปั่นขึ้นดอยสุเทพ ได้สบายๆ

เพราะผมเคยเอาไปปั่นเล่นรอบเกาะภูเก็ตเป็นร้อยโล แล้วยังไปวิ่งมาราธอนต่อได้

แต่คันอื่นอาจจะไม่เป็นอย่างนั้น อีกอย่าง ความมันส์ ความสนุกในการปั่น ก็เทียบกันไม่ได้

จักรยาน มันไม่ใช่แค่ปั่นไปให้ถึง มันมีความสุนทรีย์ในขณะปั่นอยู่ด้วย

ทนปั่น กับสนุกปั่น มันต่างกัน


รถดีๆ เฟรม และอะไหล่เหมาะสมกับงาน มันตอบโจทย์ตรงนี้ มันสนุกในการปั่น

ต่อให้เป็นแม่บ้าน รถพับ รถไม้ ถ้ามันไม่พังซะก่อน มันก็พาไปถึงได้หมดแหละ ถ้าคนปั่นมีแรงปั่น หรือแรงจูงมันไป

(ปั่นบนถนนราดวัสดุปรับสภาพพื้นผิวนะ)

ไม่ใช่เอารถที่ไม่เหมาะไป อันนี้ อาจจะเอ็นหลังอักเสบ หรือก้นอักเสบก่อนถึงก็ได้

เซ็ตรถไม่ใช่แค่แพงนะ ต้องดูความเหมาะสมด้วย ผมมีเบาะ 4 ใบ ล้อ 4 ชุด สำหรับรถคันแพงสุด

รวมถึงกระบอกน้ำ ตัวยึดกระบอก กระเป๋าเสริม

ผมจะเปลี่ยนให้เหมาะสมกับระยะทาง และเส้นทางที่จะเอาไปปั่น

แต่บางทีมันก็สนุกที่เอารถที่ไม่เหมาะสมไปทำอะไรแปลกๆ นะ แต่ก็ไปแบบขำๆ ไม่หวังผลอะไรมาก และระยะเวลาไม่นาน

ผมว่ากระทู้นี้สนุกดี

อีกอย่างพวกรถทั่วริ่ง เฟรมโครโมดีๆ ราคาไม่ได้ถูกกว่ารถคาร์บอนนะครับ

โดยเฉพาะแบบประสานท่อด้วยทองเหลือง

เห็นแล้วมันจี๊ด จริงๆ

รถโครโมหนัก 6 - 7 kg มันก็มีครับ แต่เห็นราคาแล้วจะเป็นลม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่