เมื่อผมต้องเดินในทางลาดชัน ความรู้สึกเหนื่อยเริ่มประเดประดังเข้ามาแทนความกระชุ่มกระชวยที่มีตั้งแต่แรก แม้ว่าผมจะเคยเดินขึ้นเขามาก่อน แต่เหตุเพราะผมต้องเดินบนถนนที่มีการสัญจรของยานพาหนะ ทำให้รู้สึกเหนื่อยมากกว่าการเดินในป่าเขา
ผมกำหนดลมหายใจไปได้ชั่วครู่ หลังเดินผ่านด่านเก็บค่าเข้าชมน้ำตกเอราวัณออกมาด้านนอก แต่ก็ไม่ลืมบอกเจ้าหน้าที่ว่าจะกลับมาในช่วงเย็น...เจ้าหน้าที่รับทราบ ผมจึงเดินต่อไปเพื่อมุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่ โดยผ่านตลาดสดตำบลเอราวัณ ...หลังจากนั้นก็แวะนมัสการพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานบริเวณหน้าทางเข้าตลาด ก่อนมุ่งหน้าออกไปยังถนนใหญ่เข้าเส้นทางสู่สันเขื่อนศรีนครินทร์
ทางยังคงลาดชันอย่างต่อเนื่อง ผมเดินไปได้ระยะหนึ่ง เสียงมอเตอร์ไซค์ที่ตามมาจอดแวะอยู่ตรงหน้าผม...ผู้ชายคนหนึ่งบนหลังมอเตอร์ไซค์หันมาถามผม
“พี่จะไปไหน”
“ผมจะไปที่ถ้ำพระธาตุครับ”
“ผมก็จะไปที่ถ้ำพระธาตุพอดี ไปด้วยกันเลยครับ”
เสียงจากน้ำใจของชายคนนั้น ทำให้ผมรู้ว่า ไม่ว่าหนทางใดย่อมมีผู้มีน้ำใจอย่างนี้เสมอ...แต่ด้วยเจตนาที่ผมตั้งไว้แต่ต้นว่าจะเดินไป จำต้องปฏิเสธอย่างไม่เสียน้ำใจ ...ผมพนมมือตอบว่า...”ผมขอเดินดีกว่านะครับ...ขอบพระคุณมากครับ”
“เอางั้นนะ...ระวังรถด้วยล่ะ” ชายผู้มีน้ำใจคนนั้นยังแสดงน้ำใจความเป็นห่วงแทนการให้นั่งซ้อนท้าย...ก่อนจะขี่มอเตอร์ไซค์ห่างออกไป..
ผมเดินต่อด้วยรอยยิ้ม...ไม่ว่าจะที่ไหน ย่อมมีน้ำใจเสมอ...
ก่อนถึงทางแยกเลี้ยวซ้ายเส้นทางมุ่งสู่น้ำตกห้วยขมิ้น ผมมองป้ายบอกทางชี้จุดหมายของผม แต่ก็ต้องแปลกใจ ข้อความนั้นระบุว่า... “ถ้ำพระธาตุ 10 กม.” แม้ว่าผมจะศึกษาแผนที่มาก่อนออกเดินในครั้งนี้ เขาระบุว่า ถ้ำพระธาตุที่ผมจะไป ห่างจากน้ำตกเอราวัณแค่ ๕ กิโลเมตรกว่าๆ หรือว่าจะเป็นคนละที่กัน...
ดูให้รู้แน่...ผมจึงตั้งจุดหมายไว้ที่เดิม บริเวณที่ระบุในแผนที่ว่าเป็นถ้ำพระธาตุ...ทางที่ผมเดินนั้น ยิ่งลาดชันมากขึ้นกว่าเดิม สองข้างทางยังเต็มไปด้วยพงหญ้าป่ารก เสียงรถยนต์แล่นผ่านไปมาเป็นระยะๆ ผมกำหนดลมหายใจเพื่อบรรเทาความเหนื่อย แต่ลมหายใจของผมมันหนักมากขึ้นกว่าเดิม...
เดินมาได้ระยะหนึ่ง ผมสังเกตเห็นเหรียญบาทตกอยู่ริมทาง...สภาพเหมือนจะโดนย่ำด้วยล้อรถมานาน ผมหยิบขึ้นมาถือไว้ในมือ ตั้งใจว่าเมื่อถึงที่หมายจะหยอดใส่ตู้บริจาคเพื่อทำบุญ...ในระยะไม่ถึงร้อยเมตร ผมก็พบอีก ๒ เหรียญ เริ่มเอะใจ...ทำไมถึงมีเหรียญบาทมาตกอยู่บริเวณนี้
ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปมาก...ผมเงยหน้าหันไปเห็นศาลหลังเล็กที่ตั้งอยู่บนเนินเขาริมถนน ระบุว่า “ศาลเจ้าพ่อปู่ดำ” นั่นคือคำตอบ
อาจจะเป็นเศษทานที่คนโปรยไว้ หรือ เป็นพิธีกรรมอะไรบางอย่างที่ผมอาจจะไม่ทราบ หรือเป็นเส้นทางที่มีพิธีศพผ่านมาแล้วญาติโปรยทานไว้เพื่อเปิดทาง เป็นไปได้ทั้งนั้น...ผมจึงเดินข้ามไปอีกฝั่ง ยืนหน้าศาลเจ้าพ่อปู่ดำ โปรยเหรียญในมือทั้ง ๓ เหรียญ ลงบนพื้นก่อนจะพนมมือไหว้ อธิษฐานจิต…
“...เวลาพระสงฆ์ท่านออกเดินทางหรือบิณฑบาต ท่านจะไม่เก็บสิ่งของมีค่าที่พบเจอระหว่างทาง แม้เงินแค่บาทเดียวท่านก็จะไม่หยิบ...กระผมเป็นใครจึงต้องสัมผัสเหรียญอันเป็นเงินตราที่วางอยู่ตรงหน้านั้น การไปแตะต้องแม้จะเป็นเศษทานก็ถือว่า กระผมได้กระทำผิดไป กระผมขอคืนเหรียญเหล่านี้ไว้ให้กับสถานที่แห่งนี้...และต่อไป หากพบเจอของมีค่าระหว่างเดิน กระผมจะไม่แตะต้องมันอีก...”
แม้จะมิใช่ความต้องการในเงินตรานั้น แต่ผมก็ไม่ควรแตะต้องหรือสัมผัสเงินตรานั้น การใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ ล้วนต้องอาศัยเงินตราเพื่อให้ได้มาซึ่งการดำรงชีวิต เรายอมแลกเวลากำลังกายและใจเพื่อนำเงินตรามาต่อเติมคำว่า "ชีวิต" ให้เต็ม เราได้สิ่งนั้นมาแต่เราก็สูญเสียบางสิ่งไป..บังเอิญว่า ผมมาเดินอยู่ในยุคที่ “เงินตรา” มีค่ายิ่งกว่า “ความดี”
ผมเดินจากศาลเจ้าพ่อปู่ดำมาไม่นาน ก็พบทางแยกซึ่งเป็นเส้นทางที่ผมหมายเอาไว้ จากนั้นจึงเดินลัดเลาะไปบนทางลูกรัง สองข้างทางคือไร่สวนของชาวบ้านละแวกนั้น...ทางลูกรังนำผมเข้าไปเส้นทางที่เต็มไปด้วยป่าไผ่ บรรยากาศสงบ แต่ไม่เงียบด้วยเสียงเสียดสีของต้นไผ่เมื่อลมพัดผ่าน
เส้นทางเหมือนจะไร้จุดหมายของผมก็เป็นจริง...ไม่ปรากฏวี่แววว่าจะมีถ้ำพระธาตุที่ผมหมายไว้ตั้งแต่ต้น ..ถ้ำพระธาตุจริงๆ อยู่ห่างจากจุดนี้ไปตามถนนใหญ่อีก ๘ กิโลเมตร...
ผมทำผิดพลาด...ที่นี่ไม่ใช่จุดหมายที่ผมต้องการ
ครั้นผมจะเดินต่อไปอีก แม้จะเดินถึงจุดหมาย แต่ขากลับ ผมต้องเดินในเวลาค่ำระหว่างทางแน่นอน ซึ่งไม่ใช่สถานการณ์ที่ผมต้องการให้เกิดขึ้นเลยในการเดินครั้งนี้
สุดท้ายผมก็ตัดสินใจ...
ผมหยุดเดิน...ยืนนิ่ง พนมมือระหว่างอก อธิษฐานจิตอีกครั้ง...
“...กระผมกราบขอขมาคุณพระรัตนตรัย เจ้าป่าเจ้าเขา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และผู้มีพระคุณเมตตาต่อกระผมทั้งหลาย กระผมมาผิดเส้นทางโดยมิได้มีเจตนา แม้นระยะการเดินของกระผมจะบรรลุเป้าหมาย แต่จุดหมายของกระผมกลับไปไม่ถึง กระผมรู้สึกล้มเหลวในการเดินครั้งนี้...กระผมขอหยุด ณ ตรงนี้ แล้วจะหันหลังกลับในเส้นทางเดิมที่กระผมเดินมา...ขอท่านทั้งหลายโปรดจงให้อภัย งดโทษงดภัยต่อกระผมด้วยเถิด...”
สายลมพัดปะทะตัวผมวูบหนึ่ง กลิ่นใบไผ่ชัดเจนมากในฆานประสาท ...ผมรู้สึกเสียใจ...แต่ก็ระลึกได้ว่า เรามาเดินไม่ได้จะเอาอะไร เรามาเดินเพื่อเรียนรู้จากก้าวย่างของการเดิน เรามาเดินเพื่อสัมผัสลมหายใจของตนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราไม่ได้มาเดินเพื่อให้ถึงจุดหมายแล้วก็กลับ...การปล่อยวาง เสมือนการได้รับ สิ่งที่ผมได้รับคือ การเรียนรู้ตัวเอง ยามเหนื่อย ใจเราเป็นอย่างไร ยามท้อเวลาเดิน ใจเรายังเบาอยู่หรือไม่ นั่นคือการเรียนรู้ เป็นบททดสอบ ผมใช้ถนนเป็นห้องเรียนรู้ใจตัวเอง...บนหนทางที่ผมก้าวย่างไปนั้น ผมไม่ได้อะไร และผมก็ไม่เสียอะไร...เป็นการเรียนรู้ภายในใจของผมอย่างแท้จริง...
ผมเดินย้อนกลับมาจากทางลูกรังสู้ถนนลาดยาง กลับเส้นทางเดิมที่ผมเดินมา ถนนในช่วงนี้เป็นขาลง ทำให้การเดินของผมรุดหน้าเร็วกว่าขาขึ้น คลายความเมื่อยล้าลงไปมาก การเดินสะดวกสบายกว่ามาก ไม่มีแสงแดด ฟ้าครึ้มด้วยเมฆหมอก ใจชื้นขึ้นมาบ้าง...ผมเดินกลับพร้อมกับนึกทบทวนครุ่นคิดในใจ...แม้นว่าวันนี้ผมจะเดินไม่ถึงจุดหมาย และผมก็ได้เรียนรู้หัวใจตัวเอง จุดหมายไม่ใช่สิ่งสำคัญเสมอไป หากแต่ระหว่างการเดิน เราเรียนรู้อะไรไปแล้วบ้าง...นั่นล่ะคือสิ่งสำคัญ...
เดินถึงทางแยก เลี้ยวขวาเพื่อกลับเข้าเขตอุทยานฯ เอราวัณ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ในป้อมยามคอยดูแลความเรียบร้อยในเส้นทาง ในช่วงขามาเขาไม่ทันได้สังเกตเห็นผมเพราะระหว่างนั้น มีผู้แวะเข้ามาถามทางพอดี ขาลงมาเขาจึงหันมาทักทายผม และผมก็ทักทายตอบ บอกเล่าถึงจุดประสงค์การเดินของผมในครั้ง เขาพยักหน้ารับทราบ ผมเดินมาได้ระยะหนึ่ง สุนัขสองตัว วิ่งไล่หลังลัดหน้าไปมาระหว่างผมเดิน เจ้าสองตัวนั้นคือสหายผู้ร่วมทาง...เป็นสองตัวแรกที่ยินดีร่วมเดินทางกับผม...แม้ระยะทางสั้นๆ ไม่ถึงกิโลเมตรก็ตาม
ผู้ร่วมเดินของผมคือ เป็นสหายร่วมทางที่ไม่ใช่แค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น แต่เป็นสหายร่วมโลก ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน ต่างคนต่างต้องการมีชีวิตอยู่ ต่างกันเพียงว่า สหายสองตัวของผมนี้ เขาดำรงอยู่ไปตามสัญชาตญาณ แต่ตัวผมเองอยู่เพื่อต้องการชีวิตที่มีความหมาย แม้การเดินของผมในครั้งนี้ก็เพื่อค้นหาความหมายในชีวิตเช่นกัน...
ก่อนที่ผมจะเข้าที่พักในเขตอุทยานฯ ผมแวะกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุหน้าตลาดอีกครั้ง เมื่อผ่านด่านเก็บค่าเข้าชม เจ้าหน้าที่จำผมได้ ผมแวะทักทายเสร็จก็เดินกลับที่พักไปด้วยความอ่อนล้าของร่างกาย...
วันนี้ผมไม่บรรลุเป้าหมายทางกายภาพ แต่ผมก็ได้บรรลุเป้าหมายของการเรียนรู้ทางจิตใจของผมแล้ว...ค่ำคืนนี้ผมได้พักผ่อน แต่เมื่อถึงคราวรุ่งสาง ชีวิตก็ยังต้องเดินต่อไป ไม่ใช่แค่ตัวผมคนเดียว แต่หมายถึงทุกชีวิตบนโลกใบนี้...เราต่างพากันเดิน เดินกันอย่างเหน็ดเหนื่อย เดินเพื่อไปในที่ที่ไม่ต้อง “เดิน” อีก...
[CR] เราเดินไปด้วยกัน...
ผมกำหนดลมหายใจไปได้ชั่วครู่ หลังเดินผ่านด่านเก็บค่าเข้าชมน้ำตกเอราวัณออกมาด้านนอก แต่ก็ไม่ลืมบอกเจ้าหน้าที่ว่าจะกลับมาในช่วงเย็น...เจ้าหน้าที่รับทราบ ผมจึงเดินต่อไปเพื่อมุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่ โดยผ่านตลาดสดตำบลเอราวัณ ...หลังจากนั้นก็แวะนมัสการพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานบริเวณหน้าทางเข้าตลาด ก่อนมุ่งหน้าออกไปยังถนนใหญ่เข้าเส้นทางสู่สันเขื่อนศรีนครินทร์
ทางยังคงลาดชันอย่างต่อเนื่อง ผมเดินไปได้ระยะหนึ่ง เสียงมอเตอร์ไซค์ที่ตามมาจอดแวะอยู่ตรงหน้าผม...ผู้ชายคนหนึ่งบนหลังมอเตอร์ไซค์หันมาถามผม
“พี่จะไปไหน”
“ผมจะไปที่ถ้ำพระธาตุครับ”
“ผมก็จะไปที่ถ้ำพระธาตุพอดี ไปด้วยกันเลยครับ”
เสียงจากน้ำใจของชายคนนั้น ทำให้ผมรู้ว่า ไม่ว่าหนทางใดย่อมมีผู้มีน้ำใจอย่างนี้เสมอ...แต่ด้วยเจตนาที่ผมตั้งไว้แต่ต้นว่าจะเดินไป จำต้องปฏิเสธอย่างไม่เสียน้ำใจ ...ผมพนมมือตอบว่า...”ผมขอเดินดีกว่านะครับ...ขอบพระคุณมากครับ”
“เอางั้นนะ...ระวังรถด้วยล่ะ” ชายผู้มีน้ำใจคนนั้นยังแสดงน้ำใจความเป็นห่วงแทนการให้นั่งซ้อนท้าย...ก่อนจะขี่มอเตอร์ไซค์ห่างออกไป..
ผมเดินต่อด้วยรอยยิ้ม...ไม่ว่าจะที่ไหน ย่อมมีน้ำใจเสมอ...
ก่อนถึงทางแยกเลี้ยวซ้ายเส้นทางมุ่งสู่น้ำตกห้วยขมิ้น ผมมองป้ายบอกทางชี้จุดหมายของผม แต่ก็ต้องแปลกใจ ข้อความนั้นระบุว่า... “ถ้ำพระธาตุ 10 กม.” แม้ว่าผมจะศึกษาแผนที่มาก่อนออกเดินในครั้งนี้ เขาระบุว่า ถ้ำพระธาตุที่ผมจะไป ห่างจากน้ำตกเอราวัณแค่ ๕ กิโลเมตรกว่าๆ หรือว่าจะเป็นคนละที่กัน...
ดูให้รู้แน่...ผมจึงตั้งจุดหมายไว้ที่เดิม บริเวณที่ระบุในแผนที่ว่าเป็นถ้ำพระธาตุ...ทางที่ผมเดินนั้น ยิ่งลาดชันมากขึ้นกว่าเดิม สองข้างทางยังเต็มไปด้วยพงหญ้าป่ารก เสียงรถยนต์แล่นผ่านไปมาเป็นระยะๆ ผมกำหนดลมหายใจเพื่อบรรเทาความเหนื่อย แต่ลมหายใจของผมมันหนักมากขึ้นกว่าเดิม...
เดินมาได้ระยะหนึ่ง ผมสังเกตเห็นเหรียญบาทตกอยู่ริมทาง...สภาพเหมือนจะโดนย่ำด้วยล้อรถมานาน ผมหยิบขึ้นมาถือไว้ในมือ ตั้งใจว่าเมื่อถึงที่หมายจะหยอดใส่ตู้บริจาคเพื่อทำบุญ...ในระยะไม่ถึงร้อยเมตร ผมก็พบอีก ๒ เหรียญ เริ่มเอะใจ...ทำไมถึงมีเหรียญบาทมาตกอยู่บริเวณนี้
ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปมาก...ผมเงยหน้าหันไปเห็นศาลหลังเล็กที่ตั้งอยู่บนเนินเขาริมถนน ระบุว่า “ศาลเจ้าพ่อปู่ดำ” นั่นคือคำตอบ
อาจจะเป็นเศษทานที่คนโปรยไว้ หรือ เป็นพิธีกรรมอะไรบางอย่างที่ผมอาจจะไม่ทราบ หรือเป็นเส้นทางที่มีพิธีศพผ่านมาแล้วญาติโปรยทานไว้เพื่อเปิดทาง เป็นไปได้ทั้งนั้น...ผมจึงเดินข้ามไปอีกฝั่ง ยืนหน้าศาลเจ้าพ่อปู่ดำ โปรยเหรียญในมือทั้ง ๓ เหรียญ ลงบนพื้นก่อนจะพนมมือไหว้ อธิษฐานจิต…
“...เวลาพระสงฆ์ท่านออกเดินทางหรือบิณฑบาต ท่านจะไม่เก็บสิ่งของมีค่าที่พบเจอระหว่างทาง แม้เงินแค่บาทเดียวท่านก็จะไม่หยิบ...กระผมเป็นใครจึงต้องสัมผัสเหรียญอันเป็นเงินตราที่วางอยู่ตรงหน้านั้น การไปแตะต้องแม้จะเป็นเศษทานก็ถือว่า กระผมได้กระทำผิดไป กระผมขอคืนเหรียญเหล่านี้ไว้ให้กับสถานที่แห่งนี้...และต่อไป หากพบเจอของมีค่าระหว่างเดิน กระผมจะไม่แตะต้องมันอีก...”
แม้จะมิใช่ความต้องการในเงินตรานั้น แต่ผมก็ไม่ควรแตะต้องหรือสัมผัสเงินตรานั้น การใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ ล้วนต้องอาศัยเงินตราเพื่อให้ได้มาซึ่งการดำรงชีวิต เรายอมแลกเวลากำลังกายและใจเพื่อนำเงินตรามาต่อเติมคำว่า "ชีวิต" ให้เต็ม เราได้สิ่งนั้นมาแต่เราก็สูญเสียบางสิ่งไป..บังเอิญว่า ผมมาเดินอยู่ในยุคที่ “เงินตรา” มีค่ายิ่งกว่า “ความดี”
ผมเดินจากศาลเจ้าพ่อปู่ดำมาไม่นาน ก็พบทางแยกซึ่งเป็นเส้นทางที่ผมหมายเอาไว้ จากนั้นจึงเดินลัดเลาะไปบนทางลูกรัง สองข้างทางคือไร่สวนของชาวบ้านละแวกนั้น...ทางลูกรังนำผมเข้าไปเส้นทางที่เต็มไปด้วยป่าไผ่ บรรยากาศสงบ แต่ไม่เงียบด้วยเสียงเสียดสีของต้นไผ่เมื่อลมพัดผ่าน
เส้นทางเหมือนจะไร้จุดหมายของผมก็เป็นจริง...ไม่ปรากฏวี่แววว่าจะมีถ้ำพระธาตุที่ผมหมายไว้ตั้งแต่ต้น ..ถ้ำพระธาตุจริงๆ อยู่ห่างจากจุดนี้ไปตามถนนใหญ่อีก ๘ กิโลเมตร...
ผมทำผิดพลาด...ที่นี่ไม่ใช่จุดหมายที่ผมต้องการ
ครั้นผมจะเดินต่อไปอีก แม้จะเดินถึงจุดหมาย แต่ขากลับ ผมต้องเดินในเวลาค่ำระหว่างทางแน่นอน ซึ่งไม่ใช่สถานการณ์ที่ผมต้องการให้เกิดขึ้นเลยในการเดินครั้งนี้
สุดท้ายผมก็ตัดสินใจ...
ผมหยุดเดิน...ยืนนิ่ง พนมมือระหว่างอก อธิษฐานจิตอีกครั้ง...
“...กระผมกราบขอขมาคุณพระรัตนตรัย เจ้าป่าเจ้าเขา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และผู้มีพระคุณเมตตาต่อกระผมทั้งหลาย กระผมมาผิดเส้นทางโดยมิได้มีเจตนา แม้นระยะการเดินของกระผมจะบรรลุเป้าหมาย แต่จุดหมายของกระผมกลับไปไม่ถึง กระผมรู้สึกล้มเหลวในการเดินครั้งนี้...กระผมขอหยุด ณ ตรงนี้ แล้วจะหันหลังกลับในเส้นทางเดิมที่กระผมเดินมา...ขอท่านทั้งหลายโปรดจงให้อภัย งดโทษงดภัยต่อกระผมด้วยเถิด...”
สายลมพัดปะทะตัวผมวูบหนึ่ง กลิ่นใบไผ่ชัดเจนมากในฆานประสาท ...ผมรู้สึกเสียใจ...แต่ก็ระลึกได้ว่า เรามาเดินไม่ได้จะเอาอะไร เรามาเดินเพื่อเรียนรู้จากก้าวย่างของการเดิน เรามาเดินเพื่อสัมผัสลมหายใจของตนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราไม่ได้มาเดินเพื่อให้ถึงจุดหมายแล้วก็กลับ...การปล่อยวาง เสมือนการได้รับ สิ่งที่ผมได้รับคือ การเรียนรู้ตัวเอง ยามเหนื่อย ใจเราเป็นอย่างไร ยามท้อเวลาเดิน ใจเรายังเบาอยู่หรือไม่ นั่นคือการเรียนรู้ เป็นบททดสอบ ผมใช้ถนนเป็นห้องเรียนรู้ใจตัวเอง...บนหนทางที่ผมก้าวย่างไปนั้น ผมไม่ได้อะไร และผมก็ไม่เสียอะไร...เป็นการเรียนรู้ภายในใจของผมอย่างแท้จริง...
ผมเดินย้อนกลับมาจากทางลูกรังสู้ถนนลาดยาง กลับเส้นทางเดิมที่ผมเดินมา ถนนในช่วงนี้เป็นขาลง ทำให้การเดินของผมรุดหน้าเร็วกว่าขาขึ้น คลายความเมื่อยล้าลงไปมาก การเดินสะดวกสบายกว่ามาก ไม่มีแสงแดด ฟ้าครึ้มด้วยเมฆหมอก ใจชื้นขึ้นมาบ้าง...ผมเดินกลับพร้อมกับนึกทบทวนครุ่นคิดในใจ...แม้นว่าวันนี้ผมจะเดินไม่ถึงจุดหมาย และผมก็ได้เรียนรู้หัวใจตัวเอง จุดหมายไม่ใช่สิ่งสำคัญเสมอไป หากแต่ระหว่างการเดิน เราเรียนรู้อะไรไปแล้วบ้าง...นั่นล่ะคือสิ่งสำคัญ...
เดินถึงทางแยก เลี้ยวขวาเพื่อกลับเข้าเขตอุทยานฯ เอราวัณ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ในป้อมยามคอยดูแลความเรียบร้อยในเส้นทาง ในช่วงขามาเขาไม่ทันได้สังเกตเห็นผมเพราะระหว่างนั้น มีผู้แวะเข้ามาถามทางพอดี ขาลงมาเขาจึงหันมาทักทายผม และผมก็ทักทายตอบ บอกเล่าถึงจุดประสงค์การเดินของผมในครั้ง เขาพยักหน้ารับทราบ ผมเดินมาได้ระยะหนึ่ง สุนัขสองตัว วิ่งไล่หลังลัดหน้าไปมาระหว่างผมเดิน เจ้าสองตัวนั้นคือสหายผู้ร่วมทาง...เป็นสองตัวแรกที่ยินดีร่วมเดินทางกับผม...แม้ระยะทางสั้นๆ ไม่ถึงกิโลเมตรก็ตาม
ผู้ร่วมเดินของผมคือ เป็นสหายร่วมทางที่ไม่ใช่แค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น แต่เป็นสหายร่วมโลก ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน ต่างคนต่างต้องการมีชีวิตอยู่ ต่างกันเพียงว่า สหายสองตัวของผมนี้ เขาดำรงอยู่ไปตามสัญชาตญาณ แต่ตัวผมเองอยู่เพื่อต้องการชีวิตที่มีความหมาย แม้การเดินของผมในครั้งนี้ก็เพื่อค้นหาความหมายในชีวิตเช่นกัน...
ก่อนที่ผมจะเข้าที่พักในเขตอุทยานฯ ผมแวะกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุหน้าตลาดอีกครั้ง เมื่อผ่านด่านเก็บค่าเข้าชม เจ้าหน้าที่จำผมได้ ผมแวะทักทายเสร็จก็เดินกลับที่พักไปด้วยความอ่อนล้าของร่างกาย...
วันนี้ผมไม่บรรลุเป้าหมายทางกายภาพ แต่ผมก็ได้บรรลุเป้าหมายของการเรียนรู้ทางจิตใจของผมแล้ว...ค่ำคืนนี้ผมได้พักผ่อน แต่เมื่อถึงคราวรุ่งสาง ชีวิตก็ยังต้องเดินต่อไป ไม่ใช่แค่ตัวผมคนเดียว แต่หมายถึงทุกชีวิตบนโลกใบนี้...เราต่างพากันเดิน เดินกันอย่างเหน็ดเหนื่อย เดินเพื่อไปในที่ที่ไม่ต้อง “เดิน” อีก...