ร้านนี้คงเป็นร้านหนึ่งที่หลายคนอยากจะไปลอง เพราะด้วยชื่อเสียงของคำว่า Michelin Star แต่เดี๋ยวก่อน ร้านนี้ไม่ใช่ร้าน Michelin Star restaurant นะคะ เป็นแค่ร้านที่เจ้าของ คือ Chef Joel Robuchon ชาวฝรั่งเศส มาเปิดสาขาที่เมืองไทย แล้วร้านเค้าที่กรุงเทพจริงๆนะชื่อ L’Atelier de Joël Robuchon
Joel Robuchon เปิดร้านอาหารหลายร้านมากทั่วโลก เช่น London, Tokyo, Taipei, Monaco and etc. แล้วเค้าถือเป็นเชฟที่เปิดร้านอาหารแล้วได้ดาวเยอะที่สุดคือ 25 ดาว(รวมกันของหลายร้าน) ก่อนอื่นเลย ดาว Michelin ไม่ได้ติดตัวเชฟ แต่ติดที่ร้านอาหาร และดาวมากสุดสำหรับร้านอาหารคือ 3 ดาว ที่ประเทศไทยของเรายังไม่มีร้านอาหารที่ได้ Michelin star นะคะ ในแถบเอเชีย มีแค่ ญี่ปุ่น และฮ่องกง(มาเก๊า) เท่านั้นที่มีร้าน Michelin star ส่วนพวกร้าน Gaggan ที่ปีนี้ได้ชื่อว่าเป็นร้านอันดับ 10 ของโลกก็ไม่มีดาวนะคะ คนละ list กัน อันนี้เค้าจัดโดย “The World’s 50 best restaurants” ซึ่งไม่เกี่ยวกับ Michelin Star ใครอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับร้าน Michelin star สามารถอ่านบทความที่เบนเคยเขียนได้ตาม link นี้ค่ะ
https://fovefood.wordpress.com/2013/01/12/michelin-star-ดาวยางรถ/
Meal : Lunch
Date : Sat 13 June 2015
คือเวลามีคำว่า Michelin star เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็จะทำให้เกิดความคาดหวังหลายๆอย่างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรสชาติและหน้าตาของอาหาร หรือการบริการ และที่สำคัญอีกอย่างคือราคา คาดหวังได้เลยว่าไม่ถูก เบนได้ยินมาแล้วว่าร้านนี้แพง ยิ่งเป็นอาหารเย็นนี้ 7 courses 7,500 บาท++ or 5 courses 5,000 บาท++ ขอไม่สู้ราคานี้ดีกว่า เลยมาทานอาหารกลางวันแทน
กลางวัน วันเสาร์คนก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร ร้านเค้าเหมือนแบ่งเป็นสองส่วนคือ ส่วนด้านหน้า นั่งแบบเป็น counter bar มองเห็นครัว ถ้ามากันสองคนตรงนี้ก็น่านั่งค่ะ เพื่อ chef (Olivier Limousin) จะมาอธิบายอาหารให้เอง และอีกส่วนเป็นโต๊ะนั่งแบบหลายคน หรือห้องส่วนตัว
เรื่องบริการคือเป็นอย่างที่คาดหวัง คือ ไม่มีที่ติ เดินเข้าไปนี่แทบจะอุ้มไปนั่งที่โต๊ะ
Set lunch นั้นจะราคาย่อมเยาว์หน่อยคือเริ่มต้นที่ 990 บาท ตามเมนู
ตัวเบนเองสั่ง 3 courses ราคา 1,450 บาท ++ โดยที่เราสามารถเลือก Starter – Main – Dessert เองได้ตาม choice ที่เค้าให้มา เบนคิดว่าเค้าน่าจะมีเปลี่ยนเมนูไปเรื่อยๆ
เค้าจะเริ่มต้นด้วย Amuse Bouche ( a single, bite-sized hors d’œuvre) มาให้
ด้วยความที่ว่าเป็นคนความจำสั่น คือจำได้ว่าด้านล่างของถ้วยนี้เป็นมะเขือเทศ jelly เย็นๆ ส่วนด้านบนเค้าบอกว่าเป็นผักกระหล่ำหรือผักกาดฝรั่งอะไรสักอย่าง บางคนอาจจะชอบบางคนอาจจะไม่ชอบ(เบนเอง) เพราะกลิ่นเขียวของมะเขือเทศมันแรงมาก แต่โดยรวมแล้วรสชาติก็โอเค ไม่ถึงกับว่าเข้ากันได้ดีมาก แต่ไปกันได้แบบไม่ขัดกัน
ส่วนถ้วยนี้มาแบบอุ่นๆ บอกตามตรงจำได้อย่างเดียวว่าด้านบนเป็น โฟมพาเมซาน ส่วนด้านล่างเป็นครีมอะไรบ้างไม่รู้ แต่ว่าครีมๆมันๆเค็มๆ เข้ากันดี อร่อย(แต่ดันจำไม่ได้ว่าคือไร) แต่เอาเถอะ เพราะถ้าคนอื่นไปก็อาจจะไม่ได้กินอย่างเดียวกันปะ? lol
มาถึงสิ่งที่เลือกเอง คือ Marinated Scottish salmon like a “gravlax”, fennel and green apple salad (สำหรับเบนพูดตรงๆว่า choice ของ starter นั้นไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร แต่ choice ของ main เนี้ยน่ากินหลายอย่าง)
จานนี้ถ่ายไงก็ไม่สวย ได้แค่นี้จริงๆ
ปลาเนื้อแน่น แต่กลิ่นกับรสนั้นอ่อนมาก(อ่อนเกิน) โดยส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบทาน Fennel เลยขอข้ามการบรรยายส่วนนี้ไป แต่คือมันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษอะนะ (Fennel คือผักหัวชนิดหนึ่ง มีรสชาติและกล่ินที่แรงคล้ายก้านขึ้นฉ่าย)
ส่วนสิ่งที่คิดว่าดีสุดของจานนี้คือ มูซมะนาวทางด้านขวาสุดทานคู่กับ pancake จิ๊วที่ให้มา 3 ชิ้น และไปแย่งของเพื่อนกินอีกสองชิ้น
อีกจานคือของเพื่อน เค้าสั่ง Crispy Poached egg “mendiant” and rocket leaves
เออ……… อธิบายตรงๆเลย มันก็คือไข่ธรรมดานะ ตามความรู้สึก เพราะคงคาดหวังไว้เยอะ เลยคิดว่าถึงจะเป็นเมนูไข่ แต่ก็น่าจะทำให้ออกมากรสชาติน่าตื่นเต้นกว่านี้หน่อย คือ presentation ดี แต่รสชาติและความแปลกใหม่นั้นไม่มี
ต่อไปความจริงควรจะเป็น main แต่เชฟใจดีทำ Scallop กับหน่อไม้ฝรั่งมาให้ลอง เพราะเค้าบอกว่าลองทำเพื่อที่จะใส่เข้าไปใน Menu
เค้าถามว่าใส่เข้าไปใสเมนูดีไหม? คำตอบคือดี เพราะเลิศสุดในทุกอย่างที่กินมาแล้วค่ะ ตัวซอสรสชาติ Umami น่าจะมีส่วนผสมของมะกอกด้วยรึเปล่าไม่แน่ใจ แต่หล่อไม้ฝรั่งแท่งโตคือดีงาม ส่วน scallop นั้นเฉยๆ เพราะคิดว่าน่าจะเป็นของแช่แข็ง แต่ทำความสุกได้กำลังดี
Main course นั้นมีให้เลือกหลายอย่าง แล้วก็น่ากินหลายอย่างด้วย โชคดีที่มากันหลายคนหน่อย เลยสั่งกันคนละอย่าง จะได้ลองของกันและกัน ถ้ามีใครรังเกียจไม่ให้ลองอาหารจานเค้าเนี้ย คือ ไม่คบค้าสมาคมด้วยแน่นอน บายย
ตัวเบนเองสั่ง Fluffy and creamy cod brandade with olive oil
presentation สวย แต่รสชาติน่าเบื่อและจืดชีดมาก แต่ถ้าเป็นคนชอบทานอาหารรสอ่อนๆอาจจะชอบ แต่เบนทานเหลือ คือมีปลา cod เป็นชิ้นๆมาแล้วก็แบบบดอยู่ด้านล่าง แต่สำหรับเบน ทั้งสองอย่างชืดมาก ส่วนใหญ่คำแรกเวลาทานเข้าไปควรจะรู้สึกซู้ซ่าบ้างอะไรบ้าง แต่นี่จืดสนิท ถึง texture จะดีก็เหอะ แต่คำแรกที่คิด สิ่งที่คิดในหัวคือ “ฉันเลือกจานผิด” ไหนดูสิ คนอื่นตัดสินใจได้ดีกว่ารึเปล่า
Seared wagyu thin flank with slowly cooked shallots and mangetourt รสชาติดี แต่เนื้อไม่นุ่ม สำหรับเบน ไม่น่าจะเอา flank มาทำเป็นเนื้อชิ้นหนาแบบนี้ (flank อร่อยสุดเอาไปหั่นเป็นชิ้นบางๆลวกกินกับก๋วยเตี๊ยวเนื้อ) แต่พอมาทำแบบนี้แล้วมัน tough ไปนิดนึง ถึงกลิ่นและรสชาติจะโอเค แต่ texture ไม่ผ่าน
Pan-sauteed monkfish served with an artichoke mooseline ทานไปหนึ่งคำ จำไม่ค่อยได้ว่ารสชาติเป็นยังไง ไม่ได้ขอทานเพิ่ม แต่นั้นก็สามารถบอกอะไรได้เยอะ แต่ไม่ได้มีที่จะติในส่วนไหน
ตั้งแต่เริ่มต้นเลย ทุกคนตื่นเต้นกับการรอทานขนมมาก เพราะว่ามีขนมวางอยู่บนรถเข็นแล้วมันดูน่าทานมาก
แต่แล้วเมื่อสั่งขนมเสร็จ มาเสริฟที่โต๊ะแล้วหน้าตากลายเป็นแบบนี้
เห็นแบบนี้ก็เลยผิดหวังนิดหน่อย แต่รสชาติมันก็โอเค แค่ไม่ถึงกับ wow เท่านั้นเอง
นอกเหนือจากขนม ก็สามารสั่ง cheese ได้ด้วย
Cheese selection เค้าใช้ได้เลยดีเดียว แต่ก็คงแล้วแต่วันว่าวันนั้นจะไปเจอ cheese อะไร
ก่อนกลับก็ไปขอบคุณเชฟสำหรับฟรี scallop ที่อร่อยที่สุดของวันนี้นะคะ
สรุป : ด้วยความคาดหวังที่ค่อยข้างสูง เนื่องจากเป็นร้านดังที่ Michelin star (related)(แค่เกี่ยวข้องแต่ไม่ใช่) ถือว่ามื้อนี้ไม่ได้ผิดหวังอะไร แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่า “wow มันอร่อยมาก” ด้วยราคาที่จ่าย 2,000 บาท กับอาหารและบริการที่ได้ คิดว่าเป็นราคาที่เหมาะสม
เพราะถ้าเทียบจริงๆสำหรับร้าน Michelin โดยส่วนใหญ่ ถ้า 1 ดาว อย่างน้อยก็เริ่มต้นที่ประมาณ 100 euro(4000 บาท) ละ ไม่รวม drink ถ้าเป็น 2 ดาวก็ 150euro ขึ้น หรือถ้าเป็น 3 ดาวก็ 200 euro ขึ้น
คือมาทานอาหารกลางวันรู้สึกว่าคุ้มค่า แต่ถ้ามาทานอาหารเย็นแล้วต้องจ่าย 8 พันกว่าบาทนี่ไม่แน่ใจเท่าไหรว่าจะรู้สึกอย่างไร เพราะราคานี้ไปกิน Michelin 2-3 ดาวได้อยู่ (แต่ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน 555)
[CR] รีวิวร้าน Joel Robuchon Bangkok
Joel Robuchon เปิดร้านอาหารหลายร้านมากทั่วโลก เช่น London, Tokyo, Taipei, Monaco and etc. แล้วเค้าถือเป็นเชฟที่เปิดร้านอาหารแล้วได้ดาวเยอะที่สุดคือ 25 ดาว(รวมกันของหลายร้าน) ก่อนอื่นเลย ดาว Michelin ไม่ได้ติดตัวเชฟ แต่ติดที่ร้านอาหาร และดาวมากสุดสำหรับร้านอาหารคือ 3 ดาว ที่ประเทศไทยของเรายังไม่มีร้านอาหารที่ได้ Michelin star นะคะ ในแถบเอเชีย มีแค่ ญี่ปุ่น และฮ่องกง(มาเก๊า) เท่านั้นที่มีร้าน Michelin star ส่วนพวกร้าน Gaggan ที่ปีนี้ได้ชื่อว่าเป็นร้านอันดับ 10 ของโลกก็ไม่มีดาวนะคะ คนละ list กัน อันนี้เค้าจัดโดย “The World’s 50 best restaurants” ซึ่งไม่เกี่ยวกับ Michelin Star ใครอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับร้าน Michelin star สามารถอ่านบทความที่เบนเคยเขียนได้ตาม link นี้ค่ะ https://fovefood.wordpress.com/2013/01/12/michelin-star-ดาวยางรถ/
Meal : Lunch
Date : Sat 13 June 2015
คือเวลามีคำว่า Michelin star เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็จะทำให้เกิดความคาดหวังหลายๆอย่างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรสชาติและหน้าตาของอาหาร หรือการบริการ และที่สำคัญอีกอย่างคือราคา คาดหวังได้เลยว่าไม่ถูก เบนได้ยินมาแล้วว่าร้านนี้แพง ยิ่งเป็นอาหารเย็นนี้ 7 courses 7,500 บาท++ or 5 courses 5,000 บาท++ ขอไม่สู้ราคานี้ดีกว่า เลยมาทานอาหารกลางวันแทน
กลางวัน วันเสาร์คนก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร ร้านเค้าเหมือนแบ่งเป็นสองส่วนคือ ส่วนด้านหน้า นั่งแบบเป็น counter bar มองเห็นครัว ถ้ามากันสองคนตรงนี้ก็น่านั่งค่ะ เพื่อ chef (Olivier Limousin) จะมาอธิบายอาหารให้เอง และอีกส่วนเป็นโต๊ะนั่งแบบหลายคน หรือห้องส่วนตัว
เรื่องบริการคือเป็นอย่างที่คาดหวัง คือ ไม่มีที่ติ เดินเข้าไปนี่แทบจะอุ้มไปนั่งที่โต๊ะ
Set lunch นั้นจะราคาย่อมเยาว์หน่อยคือเริ่มต้นที่ 990 บาท ตามเมนู
ตัวเบนเองสั่ง 3 courses ราคา 1,450 บาท ++ โดยที่เราสามารถเลือก Starter – Main – Dessert เองได้ตาม choice ที่เค้าให้มา เบนคิดว่าเค้าน่าจะมีเปลี่ยนเมนูไปเรื่อยๆ
เค้าจะเริ่มต้นด้วย Amuse Bouche ( a single, bite-sized hors d’œuvre) มาให้
ด้วยความที่ว่าเป็นคนความจำสั่น คือจำได้ว่าด้านล่างของถ้วยนี้เป็นมะเขือเทศ jelly เย็นๆ ส่วนด้านบนเค้าบอกว่าเป็นผักกระหล่ำหรือผักกาดฝรั่งอะไรสักอย่าง บางคนอาจจะชอบบางคนอาจจะไม่ชอบ(เบนเอง) เพราะกลิ่นเขียวของมะเขือเทศมันแรงมาก แต่โดยรวมแล้วรสชาติก็โอเค ไม่ถึงกับว่าเข้ากันได้ดีมาก แต่ไปกันได้แบบไม่ขัดกัน
ส่วนถ้วยนี้มาแบบอุ่นๆ บอกตามตรงจำได้อย่างเดียวว่าด้านบนเป็น โฟมพาเมซาน ส่วนด้านล่างเป็นครีมอะไรบ้างไม่รู้ แต่ว่าครีมๆมันๆเค็มๆ เข้ากันดี อร่อย(แต่ดันจำไม่ได้ว่าคือไร) แต่เอาเถอะ เพราะถ้าคนอื่นไปก็อาจจะไม่ได้กินอย่างเดียวกันปะ? lol
มาถึงสิ่งที่เลือกเอง คือ Marinated Scottish salmon like a “gravlax”, fennel and green apple salad (สำหรับเบนพูดตรงๆว่า choice ของ starter นั้นไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร แต่ choice ของ main เนี้ยน่ากินหลายอย่าง)
จานนี้ถ่ายไงก็ไม่สวย ได้แค่นี้จริงๆ
ปลาเนื้อแน่น แต่กลิ่นกับรสนั้นอ่อนมาก(อ่อนเกิน) โดยส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบทาน Fennel เลยขอข้ามการบรรยายส่วนนี้ไป แต่คือมันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษอะนะ (Fennel คือผักหัวชนิดหนึ่ง มีรสชาติและกล่ินที่แรงคล้ายก้านขึ้นฉ่าย)
ส่วนสิ่งที่คิดว่าดีสุดของจานนี้คือ มูซมะนาวทางด้านขวาสุดทานคู่กับ pancake จิ๊วที่ให้มา 3 ชิ้น และไปแย่งของเพื่อนกินอีกสองชิ้น
อีกจานคือของเพื่อน เค้าสั่ง Crispy Poached egg “mendiant” and rocket leaves
เออ……… อธิบายตรงๆเลย มันก็คือไข่ธรรมดานะ ตามความรู้สึก เพราะคงคาดหวังไว้เยอะ เลยคิดว่าถึงจะเป็นเมนูไข่ แต่ก็น่าจะทำให้ออกมากรสชาติน่าตื่นเต้นกว่านี้หน่อย คือ presentation ดี แต่รสชาติและความแปลกใหม่นั้นไม่มี
ต่อไปความจริงควรจะเป็น main แต่เชฟใจดีทำ Scallop กับหน่อไม้ฝรั่งมาให้ลอง เพราะเค้าบอกว่าลองทำเพื่อที่จะใส่เข้าไปใน Menu
เค้าถามว่าใส่เข้าไปใสเมนูดีไหม? คำตอบคือดี เพราะเลิศสุดในทุกอย่างที่กินมาแล้วค่ะ ตัวซอสรสชาติ Umami น่าจะมีส่วนผสมของมะกอกด้วยรึเปล่าไม่แน่ใจ แต่หล่อไม้ฝรั่งแท่งโตคือดีงาม ส่วน scallop นั้นเฉยๆ เพราะคิดว่าน่าจะเป็นของแช่แข็ง แต่ทำความสุกได้กำลังดี
Main course นั้นมีให้เลือกหลายอย่าง แล้วก็น่ากินหลายอย่างด้วย โชคดีที่มากันหลายคนหน่อย เลยสั่งกันคนละอย่าง จะได้ลองของกันและกัน ถ้ามีใครรังเกียจไม่ให้ลองอาหารจานเค้าเนี้ย คือ ไม่คบค้าสมาคมด้วยแน่นอน บายย
ตัวเบนเองสั่ง Fluffy and creamy cod brandade with olive oil
presentation สวย แต่รสชาติน่าเบื่อและจืดชีดมาก แต่ถ้าเป็นคนชอบทานอาหารรสอ่อนๆอาจจะชอบ แต่เบนทานเหลือ คือมีปลา cod เป็นชิ้นๆมาแล้วก็แบบบดอยู่ด้านล่าง แต่สำหรับเบน ทั้งสองอย่างชืดมาก ส่วนใหญ่คำแรกเวลาทานเข้าไปควรจะรู้สึกซู้ซ่าบ้างอะไรบ้าง แต่นี่จืดสนิท ถึง texture จะดีก็เหอะ แต่คำแรกที่คิด สิ่งที่คิดในหัวคือ “ฉันเลือกจานผิด” ไหนดูสิ คนอื่นตัดสินใจได้ดีกว่ารึเปล่า
Seared wagyu thin flank with slowly cooked shallots and mangetourt รสชาติดี แต่เนื้อไม่นุ่ม สำหรับเบน ไม่น่าจะเอา flank มาทำเป็นเนื้อชิ้นหนาแบบนี้ (flank อร่อยสุดเอาไปหั่นเป็นชิ้นบางๆลวกกินกับก๋วยเตี๊ยวเนื้อ) แต่พอมาทำแบบนี้แล้วมัน tough ไปนิดนึง ถึงกลิ่นและรสชาติจะโอเค แต่ texture ไม่ผ่าน
Pan-sauteed monkfish served with an artichoke mooseline ทานไปหนึ่งคำ จำไม่ค่อยได้ว่ารสชาติเป็นยังไง ไม่ได้ขอทานเพิ่ม แต่นั้นก็สามารถบอกอะไรได้เยอะ แต่ไม่ได้มีที่จะติในส่วนไหน
ตั้งแต่เริ่มต้นเลย ทุกคนตื่นเต้นกับการรอทานขนมมาก เพราะว่ามีขนมวางอยู่บนรถเข็นแล้วมันดูน่าทานมาก
แต่แล้วเมื่อสั่งขนมเสร็จ มาเสริฟที่โต๊ะแล้วหน้าตากลายเป็นแบบนี้
เห็นแบบนี้ก็เลยผิดหวังนิดหน่อย แต่รสชาติมันก็โอเค แค่ไม่ถึงกับ wow เท่านั้นเอง
นอกเหนือจากขนม ก็สามารสั่ง cheese ได้ด้วย
Cheese selection เค้าใช้ได้เลยดีเดียว แต่ก็คงแล้วแต่วันว่าวันนั้นจะไปเจอ cheese อะไร
ก่อนกลับก็ไปขอบคุณเชฟสำหรับฟรี scallop ที่อร่อยที่สุดของวันนี้นะคะ
สรุป : ด้วยความคาดหวังที่ค่อยข้างสูง เนื่องจากเป็นร้านดังที่ Michelin star (related)(แค่เกี่ยวข้องแต่ไม่ใช่) ถือว่ามื้อนี้ไม่ได้ผิดหวังอะไร แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่า “wow มันอร่อยมาก” ด้วยราคาที่จ่าย 2,000 บาท กับอาหารและบริการที่ได้ คิดว่าเป็นราคาที่เหมาะสม
เพราะถ้าเทียบจริงๆสำหรับร้าน Michelin โดยส่วนใหญ่ ถ้า 1 ดาว อย่างน้อยก็เริ่มต้นที่ประมาณ 100 euro(4000 บาท) ละ ไม่รวม drink ถ้าเป็น 2 ดาวก็ 150euro ขึ้น หรือถ้าเป็น 3 ดาวก็ 200 euro ขึ้น
คือมาทานอาหารกลางวันรู้สึกว่าคุ้มค่า แต่ถ้ามาทานอาหารเย็นแล้วต้องจ่าย 8 พันกว่าบาทนี่ไม่แน่ใจเท่าไหรว่าจะรู้สึกอย่างไร เพราะราคานี้ไปกิน Michelin 2-3 ดาวได้อยู่ (แต่ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน 555)