ครั้งหนึ่งที้ชั้นเคยวางแผนฆาตรกรรม..............................................................................ตัวเอง!!

5 ปีที่แล้ว  เราเคยวางแผนการชั่วร้ายที่สุดในชีวิต  แผนการที่ตั้งใจจะพรากแม่ไปจากเด็กผญ.ตัวน้อยๆ 3 คน  ด้วยการฆาตกรรม...............ตัวเอง  
     เกริ่นนำอย่างนี้  หลายท่านคงงงว่าในขณะนั้นทำไมคนเป็นแม่ลูกดกอย่างเราถึงคิดสั้น  เห็นแก่ตัว  ไม่คิดถึงลูกน้อยได้อย่างไร  มาค่ะมา...วันนี้เราตั้งใจจะอธิบายความรู้สึกนึกคิดของฆาตกรโรคจิตที่สิงอยู่ในร่าง ณ เวลานั้นให้รับรู้โดยทั่วกัน
     ราวๆ ต้นปี 53  เราเพิ่งให้กำเนิดลูกสาวตัวน้อยคนที่ 3 มาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัว  สัมพันธภาพในชีวิตคู่ดูเป็นปกติ  อาจมีปัญหาบ้าง  แต่ก็เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆทั่วไป  เรามีนิสัยขี้เล่น  ร่าเริง  อารมณ์ดี  แลดูจะมีความสุขในการเลี้ยงลูกตามประสาคนเป็นแม่ลูกอ่อน  แถมมีเด็กหญิงตัวน้อยๆ  คอยคลอเคลียอยู่ไม่ห่างอีกตั้งสองคน  ในขณะที่ที่ทุกอย่างในชีวิตดูไม่แตกต่างจากความปกติที่เคยเป็น  กลับมีบางอย่างที่ผิดปกติเริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นในจิตใจเรา  
     เราเริ่มมีปัญหาเรื่องงานซึ่งเป็นธุรกิจใต้ดิน  เก็บเงินลูกค้ายากขึ้น  หมุนเงินยากขึ้น และมักมีปากเสียงกับสามี  แต่ก็ไม่ถึงขนาดเป็นเรื่องรุนแรง  เพราะปัญหาเหล่านี้มันก็เคยมีมาเรื่อยๆ  เรียกได้ว่าเป็นของคู่กันกับธุรกิจมืดก็ว่าได้
     แต่มันกลับวางลงไม่ได้เช่นทุกครั้งเมื่อเจอปัญหา  เราเริ่มนอนไม่หลับ และมักตื่นมานั่งร้องไห้คนเดียวกลางดึก  เราเก็บทุกอย่างมาคิดวนซ้ำๆ ในทุกคืนที่ตื่น  ความกังวล  ความเครียด   มันแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้าตอนไหนเราก็ไม่รู้ตัว
     เรามองเห็นปัญหาใหญ่ขึ้น  หนักขึ้น  ชัดขึ้น  แต่มองไม่เห็นทางออกใดๆ เลย  และไม่เคยได้ระบายให้ใครฟัง เราตะเวนไหว้พระไปทั่ว  ภาวนาขอพรให้เจอทางออก  อยากพัก  อยากวางทุกสิ่ง  แล้วเราก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาในคืนหนึ่ง  เสียงนั้นบอกเราว่า 'ไปตายสิ...แล้วมันจะจบ!!!'
     แล้วแผนการฆาตกรรมก็ดำเนินขึ้นอย่างเงียบๆ  ภายนอกเรายังคงดูเหมือนคนปกติ  คนอื่นทั่วไปไม่มีใครรู้สึกได้ถึงความผิดปกติในใจเราแน่นอน  ไม่ได้ดูซึมเศร้า  แต่ในใจหดหู่มาก  ยังเป็นแม่ที่ยิ้มแย้มแจ่มใสให้กับลูกๆ  ยังดูเหมือนพูดคุยเป็นปกติกับคนอื่น  ไม่พูดอะไรที่ชวนทะเลาะกับสามี   แต่ทุกอาการที่แสดงออกมานั้นตรงข้ามกับจิตใจโดยสิ้นเชิง  ช่วงนี้เรายังคงตื่นกลางดึก  บางคืนก็แทบไม่นอนเลย  เพราะต้องเลี้ยงเบบี๋ด้วย  แต่ไม่มีน้ำตาแล้วจ้า  ด้วยในตอนนั้นเราเห็นทางออกที่มีแล้ว    เราเริ่มหาวิธีตาย  แล้วเลือกที่จะกระโดดน้ำตาย  เพราะคิดว่าหากลูกเห็นศพคงไม่ได้อยู่ในสภาพที่น่าเกลียดติดตาลูกไปจนโต  และไม่ต้องตายในบ้านให้คนอื่นต้องเดือดร้อนใจ
เลือกสถานที่ตาย.....  เราชอบไปวัด  ทำบุญ  ช่วงนั้นไปวัดที่อยู่ริมน้ำวัดนึงเป็นประจำ  เราจึงเลือกที่จะไปทิ้งดิ่งชีวิตที่วัดแห่งนั้น
เลือกวันตาย.....  อย่างที่บอกว่าเราชอบทำบุญ  เราจึงตั้งใจเลือกวันตายที่ตรงกับวันพระ  เพื่อที่ก่อนตายจะได้ฟังเทศน์ก่อน
และสุดท้าย...  เขียนจดหมายลาตาย  เราเขียนมันในคืนก่อนที่จะไปจบชีวิต  คืนที่ตั้งใจแน่วแน่แล้วว่ามันจะเป็นคืนสุดท้าย  เราเขียนมันไว้ 3 ฉบับพร้อมน้ำตาที่ไหลไม่หยุด    ฉบับแรกถึงพ่อกับแม่  ใจความคล้ายจดหมายลาตายของคนอื่นๆแหละ  ระลึกกรรมชั่วที่เคยทำในอดีตให้พ่อกับแม่ทุกข์ใจ  และขออโหสิกรรม  ฉบับต่อมาเขียนถึงญาติที่เคยติดค้างกัน  ขออโหสิกรรมกันไป
ฉบับสุดท้าย...ถึง 'สามี'  เนื้อหาใจความไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากการฝากฝังและวิธีดูแลลูกแต่ละคน
คืนนั้นเราไม่ได้นอน  นั่งมองหน้าลูกๆ  ทั้งสามคน  และได้ยินแต่เสียงเรียกร้องของความตายทั้งคืน
     เช้าวันดีเดย์ก็มาถึง  เราตื่นเช้าไปส่งลูกคนโตที่โรงเรียนพร้อมสามี  ในอกอุ้มลูกคนที่สองไว้  ส่วนคนสุดท้องฝากผู้ใหญ่ในบ้านไว้  ไม่ได้อุ้มออกมา  ทุกอย่างยังคงเหมือนทุกเช้าที่ต้องทำ  ต่างเพียงวันนี้สภาพเราไม่ใช่คนปกติแน่ๆ  เรารู้สึกใจหายที่ต้องจากลูก  ตลอดเช้าเราเหมือนเล่นเกมส์รัสเชี่ยนรูเล็ตที่มีชีวิตตัวเองเดิมพันแบบเงียบๆคนเดียว  เรารอคอยสัญญาณอะไรซักอย่างจากลูกน้อยหรือแม้กระทั่ง 'สามี'  เพื่อให้เราล้มเลิกแผนการซะและช่วยสนับสนุนว่าเรายังมีค่าควรแก่การมีชีวิตอยู่ต่อ  แต่...ไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ มีแต่แรงผลักให้เร่งเวลาจากไปให้เร็วขึ้น  แรงผลักนั้นมาจากเสียงเล็กๆและคำพูดไร้เดียงสาที่พูดเป็นประจำก่อนจะเดินเข้าโรงเรียน  คำพูดที่เราเป็นคนสอนเอง
     'แม่จ๋า..แม่ "ไป" ได้แล้ว  หนูดูแลตัวเองได้'
     สิ้นเสียง  เรารู้สึกเหมือนโดนกระชากวิญญาณ  น้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว  คำพูดปกติของลูกในวันที่ใจเราไม่ปกติ  สามารถทำให้เราสติแตกได้ทันที  'แม้แต่ลูกยังไม่ต้องการแก!!'--เสียงก้องในหูอีกแล้ว  เรารีบส่งลูกสาวคนที่สองให้ 'สามี' อุ้ม  แล้วบอกกับสามีว่าเราจะไม่กลับบ้านอีกต่อไป  และรีบเดินจากมาหยุดรอเรียกรถที่หน้าโรงเรียน  เรายืนอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ๆ  จนมีแท็กซี่ผ่านมาคันนึง  พร้อมๆกับรถสามีเลี้ยวออกมาจากโรงเรียน  ลูกน้อยในรถทองเห็นเราแล้วโบกมือบ๊ายบาย  พร้อมหันไปดึงแขนปะป๊าเค้าให้มองเรา  สามีหันมาแว๊บนึง  แล้วก็หันกลับไปขับรถต่อทันที  มันยิ่งทำให้เราไม่เหลือความลังเลใดๆ  รีบขึ้นรถแท็กซี่แล้วบอกจุดหมายที่เป็นปลายทางของชีวิต  
     แน่นอนค่ะ     ...จนถึงตอนนี้เราก็ยังเป็นคน  แผนฆาตรกรรมของเราไม่สำเร็จ  เพราะพี่โชเฟอร์แท็กซี่คันนั้นมองเห็นความผิดปกติของเราซึ่งเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก  พี่เค้าไปส่งเราถึงที่แล้วจริงๆ  แต่เพราะความผิดปกติของเราทำให้พี่เค้าแอบเปิดซองอ่านจดหมายที่เราดันพกติดตัวมาแล้วขอรบกวนพี่เค้าไปแฟ็กซ์ให้ทางบ้านพ่อกับแม่  เค้าเลยย้อนกลับมาตามหาตัวเราในวัดทันที  โชคดีที่วันนั้นวันพระ  โชคดีที่วัดคนเยอะ  โชคดีที่เรายังไม่เดินไปที่ท่าน้ำ  และโชคดีที่พี่เค้าไม่ปล่อยให้เราทำมันได้สำเร็จ  โชคดีจึงเป็นของเรา  
     หลังจากวันนั้นเราก็ไม่เคยมีความคิดที่จะทำร้ายตัวเองอีกเลย  เราค่อยๆแก้ปัญหาได้ทีละเปราะ  เลิกยุ่งเกี่ยวธุรกิจใต้ดินเด็ดขาด  หันไปหางานสุจริตที่ทำแล้วสบายใจ  ล้มบ้างลุกบ้างคละๆ ไป  ที่สำคัญ  เราเห็นทางออกของปัญหาทั้งหมด  และเรียนรู้ที่จะยอมรับว่าการแก้ปัญหาต่างๆมันไม่สามารถทำให้ตรงใจเราได้ทั้งหมด
     ปัจจุบันเรากำลังเริ่มธุรกิจเล็กๆเพื่อครอบครัวของเรา  ครอบครัวที่มีแค่ พ่อ-แม่  น้องชาย  และลูกๆ ของเรา  ใช่แล้วค่ะ  ทางออกของปัญหาคือการเปลี่ยนสถานะครอบครัวกลับมาเป็นแค่ลูกของพ่อแม่และแม่ของลูกๆ แบบไร้ 'สามี'
     เราตั้งใจที่จะเขียนกระทู้นี้ขึ้นตั้งแต่กลางเดือนที่แล้ว  ช่วงกระแสข่าวดาราสาวกำลังดัง  เพราะเราคิดว่ามันอาจมีประโยชน์หากท่านจะทำความเข้าใจสภาวะทางอารมณ์ของ 'ผู้ป่วย'  เผื่อไว้ใช้สังเกตุคนใกล้ๆ ตัวที่ท่านรัก  จะได้ช่วยชีวิตเค้าได้ทันท่วงที   แต่ไม่ได้ฤกษ์งามๆ ว่างซักที  มาวันนี้ข่าวอีกหนึ่งชีวิตที่จากไป 'สำเร็จ'  ทำให้เราต้องรีบมาตั้งกระทู้ให้ 'สำเร็จ' เผื่อจะช่วยยับยั้งให้อีกหลายคนไม่สามารถฆาตรกรรมตัวเองได้สำเร็จ
     อาการที่เราเคยเป็น  และอาการที่ 'เค้า' หลายคนทั้งที่จากไปสำเร็จ  และไม่สำเร็จเป็นนั้นมันคือระยะสุดท้ายอาการป่วยที่อันตรายมากกว่าที่คิด  สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้    เมื่อไหร่ก็ยากจะคาดเดา   โดยที่ผู้ป่วยเองก็ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ  อาการที่เราเป็น  มันคือสภาวะซึมเศร้าชั่วคราวหลังคลอดเนื่องจากฮอร์โมนบางชนิดลดลงเร็วผิดปกติ  มันเลยอยู่กับเราไม่นาน    แต่ไม่ใช่ทุกคนแน่ๆที่จะโชคดีเช่นเรา  หากมันฝังตัวอยู่นานและลึกมาก  เราก็คิดว่าเป็นการยากเหลือเกินที่คนรอบข้างจะสังเกตุเห็น
     สิ่งนึงที่อยากขอ  อย่าถามกันอีกเลยว่าทำไมถึงไม่คิดถึงคนข้างหลัง  อย่าด่ากันอีกเลยว่าโง่  อย่าซ้ำเติมใดๆ กันอีกเลย   เพราะว่าเวลานั้นเรามองเห็นสิ่งที่เราจะทำให้คนรอบข้างมีความสุขได้เพียงอย่างเดียวคือ 'ตาย'...........





......................................................................................................................................................................................คุณไม่มีวันเข้าใจความโดดเดี่ยวที่เค้ามีในใจ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่