ลาทีความเหงาในวันเสาร์สีม่วง เรื่องสั้นกวน ๆ by ล. วิลิศมาหรา

กระทู้สนทนา
ลาทีความเหงาในวันเสาร์สีม่วง



                                                                                                                                            
โดย...ล. วิลิศมาหรา


            ความเหงา...เพื่อนสนิทของใครหลาย ๆ คน มันเกาะติดเราตลอดเหมือนไม่มีวันพรากกันไปไหน หวังไว้ว่าสักวัน เราจะพบใครที่เดินเข้ามาในชีวิต ช่วยขจัดความเหงาให้หมดไปจากใจเสียที...ขอแค่ใครสักคน คนเดียวเท่านั้นก็เกินพอ

            คุณเคยรู้จักไอ้เพื่อนบ้าที่ชื่อความเหงาบ้างไหม โอ๊ย ผมเกลียดมันเรือหาย...วัน ๆ มันไม่ยอมไปไหนเกาะติดผมแจ
เมื่อก่อนสมัยยังอยู่ในวัยทีนเอจผมไม่เคยรู้จักมันเลยนะ ง่วนอยู่กับตำรับตำรา การบ้านกองพะเนินเป็นภูเขา เวลาเรียนกับเล่นนี่แยกกันไม่ค่อยออก แถมเล่นซนเป็นลิง เดือดร้อนครูอังคณาต้องคอยตามเอาไม้เรียวไล่ขนาบ ฝูงลิงทโมนอย่างพวกผมมีหรือจะคิดหลาบจำ สงบลงชั่วคราว เดี๋ยวก็มีเรื่องให้ครูปวดหัวใหม่ ครั้นถึงวันหยุดเสาร์อาทิตย์พวกเราชวนกันไปเฮ้ว ๆ ตามห้าง ไม่ก็ขี่มอเตอร์ไซค์เล่นตามกันเป็นขบวน จะแว้นหรือเปล่าไม่รู้...รู้แต่มันสนุก

             ล่วงเข้ายี่สิบต้น ๆ เจ้าความเหงาก็ยังอยู่ห่าง  เวลาโดนแฟนทิ้งทีก็โผล่หน้ามาที โชคยังดีที่ไอ้เพื่อนคนอื่น ๆ มันก็เป็นเหมือนกัน เลยมีคนหัวอกเดียวกันให้กอดคอกินเหล้า ปลอบใจไปพลาง ๆ ตามประสา  แต่พอขึ้นเลขสามชักไม่เข้าท่า เพราะเพื่อน ๆ ที่เคยเฮฮา กอดคอกันกินตั้งแต่พลบค่ำของอีกวัน กระทั่งพากันอ้วกแตกหลังฟาดเหล้ายืดเยื้อจนถึงตีสี่ ไอ้พวกนี้ก็เริ่มหายหน้า จากลาวงเหล้าไปทีละคนจนหมดเกลี้ยง สาเหตุคือต่างมีลูกมีเมียคอยโทรตามจิก ชะรอยพวกมันคงเบื่อทะเลาะกันกับเมีย

        เหลือผมคนเดียวที่ยังโสดโด่เด่ จะหาว่าเรื่องมากก็ใช่ ก็มันยังไม่ถูกใจ อีกอย่างผมเข็ดครับ เวลาทุ่มเทใจให้ใครแล้วถูกทิ้ง คนรักหนีไปหาคนที่ดีกว่ามันเจ็บปวดพิลึก พอโดนเข้าสองสามทีด้วยปัญหาเดิม ๆ เลยมีท้อ พาลเลิกคิดจริงจังกับใคร ตั้งใจเอาไว้ถ้าหาคนที่ใช่จริง ๆ ไม่ได้ ก็จะขอทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัยไปวัน ๆ แบบนี้แหละ สบายใจดี

       จริง ๆ แล้วผมหน้าตาดีนะครับ ถึงไม่หล่อขั้นเทพแบบโดม ปกรณ์ลัม แต่สาวๆก็ชอบเหล่ผมละ อันนี้ไม่ได้โม้ ผมพิถีพิถันเรื่องการแต่งตัว เสื้อผ้าของใช้มีระดับ เรียกว่าเนี้ยบตั้งแต่หัวจดเท้า ผมทำตัวหล่อประชดคนที่ทิ้งกันไป ผมไม่มีวันมานั่งเศร้าทำตัวทรุดโทรมให้เขาสมเพช แต่ก็อย่างที่บอก ผมเข็ดเรื่องความรัก ถ้าจะมีอีกครั้งต้องแน่ใจจริง ๆ ว่า “ใช่” แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่เจอคนที่ใช่เสียที

       ที่บ้านผมฐานะดีเสียด้วย พูดแล้วจะหาว่าคุย รายได้ที่บ้านเดือนละเป็นแสน ผมขายกะทิครับ รับมะพร้าวมาจากแถวนครปฐมและราชบุรี เอามาเข้าเครื่องไฮดอลิกคั้นออกมาเป็นกะทิ ขายวันละเกือบสามร้อยกิโลกรัม ลูกค้าคือพวกร้านอาหาร ร้านทำขนมกับคนทำกับข้าวขาย นอกจากนั้นยังขายขนมจีนกับพวกใบตองใบเตย ที่บ้านมีแม่อีกคนแต่ท่านอายุมากแล้ว ผมเลยทำกันเองสองคนกับน้องสาว ผลัดเวรเฝ้าร้าน ผมตื่นแต่ตีหนึ่งเฝ้าครึ่งเช้าถึงเที่ยง พอครึ่งบ่ายถึงค่ำน้องสาวค่อยมาเปลี่ยนเวร ยายนี่ก็โสดไม่รู้ทำไมเหมือนกัน

         หลังเที่ยงวันเป็นต้นไปผมก็เลยว่าง คราวนี้ไอ้ความเหงาที่ว่า มันก็เริ่มเข้ามาเสนอหน้าบ่อยขึ้น ๆ จนตอนนี้เรากลายเป็นเพื่อนสนิทกัน มันคอยเป็นเงาตามตัวผมไปแล้ว ไล่ก็ไม่ไป....ไอ้สลัด....

    “พี่อ๊อดไปดูบอลกัน”

         น้องผู้ชายพวกนี้เจอกันในเฟสบุค พอเพื่อน ๆ แต่งงานไปหมด ทีนี้ผมก็ต้องหันมาคบกับเพื่อนรุ่นน้องแทน ต้องหาเพื่อนใหม่ ๆ มาไล่ความเหงาไปเสียบ้าง ก่อนจะจิตตกจนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ผมนี่อยากขอบคุณเจ้าของเฟสบุค คุณมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก เสียจริง ๆ ถ้าไม่ได้เขา ผมกับไอ้ความเหงาคงไม่มีทางพรากจากกันเลยสักวัน  แต่เด็กพวกนี้ก็ใช่ว่าจะเข้ามาคุยกับผมบ่อย ถึงยังไงเราก็ต่างวัย อย่างที่น้องสาวผมชอบแซวว่า ผมเป็นเจ้าคุณปู่ในหมู่หลาน ๆ นอกจากบางวันที่พวกเขาตั้งใจชวนผมเป็นพิเศษอย่างเช่นคืนวันศุกร์เมื่อวานนี้

    “ที่ไหน”

        ผมถามกลับไป น้องคนนี้ชื่อเสก โลโก้ สงสัยมันคงตั้งใจตั้งชื่อล้อเลียนพี่เสก โลโซ มันบอกชื่อร้านเหล้าที่มีจอยักษ์บริการคอบอลแห่งหนึ่ง อ้อ วันนี้มีศึกวันแดงเดือดนี่เอง มิน่าไอ้นี่ชวนยิก ๆ ผมตอบตกลงไป เด็ก ๆ พวกนี้คบหากันมาระยะหนึ่งแล้ว พวกมันบ้าบอล เวลาไปดูบอล ผมว่าดูพวกมันออกท่าทางเชียร์บอลมันกว่าดูบอลเสียอีก พอบอลชนะพวกถึงกับแก้ผ้าตามคำท้า แก้ผ้าโทง ๆ วิ่งรอบร้านมันก็เคย เวลาชนะนี่ดีใจกันแบบหลุดโลก ทำเอาผมขำหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง แต่พอบอลแพ้ก็พากันซึมกะทือ กินข้าวกินปลาไม่ลงเรียกหาแต่เหล้ามาย้อมใจ บางคนคงไม่แค่เสียใจแต่เห็นทีจะเสียเงินด้วย

       พอรับปากน้องมันแล้ว ผมจึงนับดูแบงค์ในกระเป๋าตังค์ กะใส่ไปเผื่อน้อง ๆ ด้วย อ้าว ผมเป็นพี่ใหญ่นี่ครับ จะให้น้อง ๆ จ่ายก็ดูกระไร แต่ไม่บ่อยนักหรอกของอย่างนี้มันต้องมีลิมิต  อีกอย่าง ผมอยู่เกินตีหนึ่งไม่ได้เพราะมีงานต้องรับผิดชอบ น้อง ๆ มันรู้นาน ๆ ถึงมาชวนที  เมื่อวานนี้สนุกดีครับ แต่พอวันนี้ผมก็กลับมาเหงาตามเดิม

       แต่ถ้าวันนี้น้อง ๆ มาชวนไปกินเหล้าอีกผมคงไม่ไป เมื่อคืนเมาจนเละ ปวดหัวด้วย ผลัดเวรเฝ้าร้านกับน้องสาวแล้วเดินเข้าห้องชงกาแฟกิน งัดสมุดบันทึกเล่มเก่าออกมากางอ่านที่เคยบันทึกเอาไว้ว่า วันไหนถ้าไม่มีอารมณ์จะออกไปเฮฮากับพวกนั้นจริง ๆ ผมก็มีข้ออ้างเท่ ๆ คือ

“พี่ไม่ว่าง กำลังเขียนนิยายอยู่”

       เวลาต้องการปฏิเสธคำชวนผมมักจะบอกอย่างนี้ ผมบอกน้อง ๆ เหล่านั้นว่าอยากเป็นนักเขียน ฟังดูเหมือนเป็นอาชีพลม ๆ แล้ง ๆ แต่มันโรแมนติกดีนะ และเป็นหนึ่งในความฝันเลยทีเดียว ผมอุตส่าห์เลือกเรียนสื่อสารมวลชนจนจบ แถมยังไปเรียนภาษาเพิ่มจากสถาบันสอนภาษาชื่อดังอีกต่างหาก เพื่อความฝันนี้โดยเฉพาะและตอนนี้ผมก็กำลังตะกายไปให้ถึงมันอยู่

       เป็นเรื่องจริงที่ผมกำลังหัดเขียนนิยาย เริ่มจากตัวเองเป็นคนชอบจดบันทึก จดมันทุกวันเพื่อฆ่าเวลาไม่ให้อยู่เฉย ๆ มันเหงา พอเขียนไปเยอะ ๆ แล้วลองเอามาอ่านดู เห็นมันเข้าท่าเป็นเรื่องเป็นราวดี ผมก็เลยเอาเรื่องตัวเองผูกเป็นนิยาย  สมมุติตัวเองเป็นตัวเอก เป็นเจ้าชายที่ไหนสักแห่งปลอมตัวมาตามหาเจ้าสาวในอุดมคติ

อืม... พอนึกมาถึงเจ้าสาวในอุดมคติ บอกตามตรงว่ารู้สึกสับสน ผมต้องการคู่ชีวิตแบบไหนกันแน่ สองคนที่เคยคิดว่าใช่แต่เพราะมัวลังเลผมก็เลยโดนทิ้ง อีกคนที่เขาจริงจังด้วยผมก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงเพราะไม่รู้ใจตัวเอง ในที่สุดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เขาเลือกทิ้งผมไปหาคนที่ใช่กว่า ผมเลยต้องพักนิยายไว้แค่นี้ด้วยความอิดหนาระอาใจ

“แล้วพี่เขียนเสร็จยัง ขออ่านหน่อยสิ”

“เสร็จแล้ว แต่ขอเกลาก่อนมันยังไม่ค่อยลื่นไหล” อันนี้ผมโกหก ความจริงผมพึ่งร่างได้แค่สามบทแล้วมันดันตันอย่างที่บอก

“น่าอิจฉาจัง ได้ทำในสิ่งที่ชอบ ไม่เหมือนผม”

“เอาน่า มีงานทำดีกว่าตกงานนะ”

“ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ แต่พี่โชคดีจัง เป็นเจ้าของธุรกิจแถมยังมีเวลาทำในสิ่งที่ชอบได้อีก”

        น้องชื่อเสกยังบ่นกระปอดกระแปดถึงความลำบากในงานอาชีพของตัวเองอีกสองสามประโยค ผมได้แต่อมยิ้ม คิดเอาไว้ในใจเหมือนกันว่า ถ้าเขียนได้ดีจนตัวเองพอใจจะลองส่งสำนักพิมพ์ดูสักที่  จะว่าไปสำนวนของผมก็ไม่เลวอ่านแล้วเข้าทีดีเหมือนกัน บางทีผมอาจกลายเป็นนักเขียนระดับเบสเซลเลอร์ก็ได้ ใครจะไปรู้

      ถ้าเบื่อเขียนหนังสือขึ้นมาผมก็เข้าอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ที่เข้าบ่อยเป็นเว็บไซต์หาคู่ อย่าแปลกใจที่คนหล่อ ๆ แบบผมต้องมาหาคู่ที่นี่ ผมแค่อยากลองคุยดู ยังไม่ต้องการสร้างความผูกพันฉันคู่รักกับใคร คุยกันผ่านโซเชียลก็สนุก หายเหงาดีเหมือนกัน
     วันนี้เป็นวันเสาร์ ผมจดลงในสมุดบันทึกว่าผมเหงาหนักมาก จิ้มเฟสไล้ค์ให้เพื่อน ๆ ไปแกน ๆ ไม่ค่อยมีอารมณ์โต้ตอบ ไล่วนดูเฟสไปมาอยู่หน้าโน้ตบุก เบื่อแล้วก็เข้าเว็บไซต์หาคู่ที่เคยเข้า คลิกไปค้นหาในสิ่งที่ต้องการ วาดหวังไว้นานแล้วว่าอาจได้เจอคนที่ใช่เสียที  ผมเชื่อว่าคน ๆ นั้นน่าจะยังมีตัวตนอยู่บนโลกเบี้ยว ๆ ใบนี้

       การที่ผมช่างเลือกไม่ได้หมายความว่า คน ๆ นั้นต้องหน้าตาดีหรือมีฐานะร่ำรวยทัดเทียมกับผม แค่เขารับได้ในสิ่งที่ผมเป็น ไม่มาบีบบังคับให้เปลี่ยนแปลงตัวเองและมีความเข้าอกเข้าใจกันก็เพียงพอแล้ว ต่อให้หน้าตาบ้าน ๆ หรือจนแสนจนนั่นไม่ใช่ข้อแม้ ปัญหาก็คือคนแบบนั้นเขาอยู่ที่ไหน ทำไมช่างค้นหาได้ลำบากยากเย็นเสียเหลือเกิน
คลิกไปคลิกมาจนไปสะดุดอยู่ที่ชื่อ ๆ หนึ่ง ผมจึงคลิกเข้าไปดูภาพโปรไฟล์

       พระเจ้า! คุณเชื่อเรื่องรักแรกพบมั้ย ให้ตายเถอะ ผมเห็นใบหน้านั้นแวบแรก รู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต มันร้อนวาบ ซ่า ๆ ไปทั้งตัว ตอนที่จ้องเข้าไปในตาคู่นั้น ตาคมดำขลับ มันช่างหวานใสเหมือนเด็กขี้อ้อน จมูกเล็ก ๆโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบาง ๆ ต้องตาต้องใจบอกไม่ถูก ผมไม่รอช้ารีบค้นหาเฟสจนเจอแล้วทักไปทันที

       เหมือนเทพอุ้มสม เพียงครู่เดียวก็ได้รับทักตอบ ผมดีใจมาก เราเริ่มต้นคุยกันด้วยประโยคแนะนำตัวธรรมดา ๆจนคุ้นกัน หลังจากนั้นเราเปลี่ยนมาคุยทางวีดีโอคอล เราคุยกันนานมากตั้งแต่เที่ยงวันจนเกือบเที่ยงคืน มีหยุดพักกินขนมกินน้ำ เข้าห้องน้ำห้องท่าบ้าง เสร็จแล้วเราก็คุยกันต่อ เราหัวเราะขำ เล่าเรื่องแย่ ๆ ที่เจอให้กันฟัง ระบายเรื่องความทุกข์ในใจและปลอบโยนกันไปมา บางครั้งก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นเมื่อมีคำพูดโดนใจ ผมเล่าให้ฟังถึงความรู้สึกอบอุ่นเต็มตื้นที่อัดแน่นอยู่เต็มอก บอกไปว่าผมรอมานานเหลือเกินเขาไปหลบอยู่ที่ไหนถึงพึ่งมา ผมต้องการเห็นหน้า อยากสัมผัสใกล้ชิด อยากกอดอยากจูบ ปลายสายตอบกลับมาว่ามีความรู้สึกกับผมเช่นเดียวกัน เท่านั้นแหละน้ำตาของผมทะลักออกมาอย่างไม่รู้ตัว จนท้ายที่สุด เราก็สารภาพรักกัน

       ครับ ผมบอกรักคนที่ผมพึ่งเจอวันแรกทางวีดีโอคอล และผมเชื่อจริง ๆ ว่า คราวนี้ผมบอกรักไม่ผิดคนเหมือนสองสามครั้งก่อนหน้านั้นแน่ ๆ ซึ่งในที่สุดพวกเขาก็เลือกทิ้งผมไปแต่งงานเพื่อมีลูกมีเต้า

       เรื่องราวต่อจากนั้นค่อนข้างจะโรแมนติก ความหวานทะลุเพดานจนสุดจะทานทน... แล้วในที่สุดผมก็ตัดสินใจขอดูสัดส่วนรูปร่างว่าที่เจ้าสาวของผมตามสเต็ป

      อย่างไม่อิดออดแม้แต่น้อย เริ่มจากท่อนบนก่อน เสื้อยืดตัวนั้นค่อย ๆ ถูกถอดออก ผมไล่สายตาจากใบหน้าคมขำน่ารักนั้นมาที่ลำคอและบ่าแข็งแรงสองข้าง หน้าอกสมส่วนเต็มไปด้วยมัดกล้ามลงมาจนถึงหน้าท้องแบนราบ จ้องดูลายสักเต็มแผงอกและเต็มแขนขวาจนถึงข้อศอกข้างนั้นด้วยใจสั่น ๆ ซาบซ่านไปทั้งตัว พอเลื่อนสายตามาถึงท่อนล่าง ใจสั่น ๆ ก็เปลี่ยนเป็นเต้นโครมครามจนแทบทะลุออกมาหน้าอก เลือดฉีดขึ้นหน้าจนร้อนผ่าว ๆ ผมคอแห้ง กลืนน้ำลายเอือกก่อนครางออกมา

“บอกสถานที่มาเลยทูนหัว พี่จะไปหาเดี๋ยวนี้ ”

       เสียงของผมสั่นพร่าด้วยอารมณ์ปั่นป่วนภายใน ซึ่งคงไม่ต้องอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ขณะนี้เป็นเวลาตีหนึ่งของวันใหม่ เสียงรถขนมะพร้าวมาส่งดังกระหึ่มเข้ามาในบ้าน เสียงน้องสาวบ่นงึมงำว่าผมหายศีรษะไปไหน ผมไม่สนใจ อีกเดี๋ยวผมจะไปตามนัดแน่นอน วันเสาร์เหงาๆได้ผ่านพ้นไปเรียบร้อยแล้ว นับต่อแต่นี้ไปทุกวันของผมจะมี “เขา” เคียงข้าง.....ผมไม่เหงาอีกแล้วครับ


จบบริบูรณ์
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่