เรื่องสั้น
ของกลางหาย
เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓ เวลา ๒๑.๐๐ น. ของวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน น.ส.กัลยา อายุ ๕๒ ปี อาชีขายลอตเตอรี่อยู่ที่ตำบลหัวรอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดอยุธยา ได้เข้าแจ้งความแก่นายร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรเจ้าของท้องที่ มีความว่า
ขณะที่ตนไปช่วยงานที่วิทยาเขตพาณิชย์พระนครศรีอยุธยาอยู่นั้น ได้มีวายร้ายสองคน ได้เข้ามากระชากสร้อยคอทองคำหนักหกสลึง ซึ่งมีจี้ทองคำห้อยอยู่ ขาดติดมือวิ่งหนีไปต่อหน้าต่อตา และหลบหนีไปได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ลงบันทึกประจำวันไว้ และจะได้สืบจับตัวคนร้ายอย่างกวดขันต่อไป
เวลาล่วงไปสองวัน จนถึงวันที่ ๒๙ เดือนเดียวกัน น.ส.กัลยา ได้นั่งขายลอตเตอรี่อยู่ที่หน้าร้านของตนตามปกติ ก็ได้เห็นคนร้ายสองคนที่ชิงสร้อยไป ซึ่งตนจำหน้าได้ เป็นอย่างดี กำลังจะเดินผ่านไปเข้าร้านทองที่อยู่ใกล้กัน
จึงได้แจ้งให้สายตรวจช่วยจับกุมตัวไว้ได้โดยละม่อม
แต่เมื่อค้นตัวผู้ต้องหา ก็ไม่พบสร้อยของกลางแต่อย่างใด เพราะปรากฏว่าผู้ต้องหาคนที่กำสร้อยคออยู่ ได้เห็นตำรวจเสียก่อน จึงเอาสร้อยคอใส่ปากกลืนลงท้องไปอย่างไม่ค่อยจะสะดวกนัก
ทางพนักงานสอบสวนกับ น.ส.กัลยา จึงได้พาผู้ต้องหาคนที่มีสร้อยหกสลึงอยู่ในท้อง ไปให้นายแพทย์ที่โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาถ่ายเอกซเรย์ ก็พบว่าสร้อยคอของกลางได้นอนสงบนิ่งอยู่ในกระเพาะอาหารของจำเลยอย่างชัดเจน
แพทย์จึงให้จำเลยกินยาถ่าย แล้วให้ เจ้าหน้าที่นำตัวจำเลยกลับมาควบคุมไว้ที่สถานีตำรวจ โดยใส่กุญแจมือติดกับประตูห้องควบคุมด้านนอก และให้จ่านายสิบตำรวจผู้หนึ่ง คอยเฝ้าสังเกตอาการของจำเลยอย่างใกล้ชิด ถ้าจำเลยปวดท้องจะถ่ายอุจจาระก็ให้นำตัวไปถ่ายกลางแจ้งหลังโรงพัก เพื่อนำของกลางมาคืนผู้เสียหาย
พอรุ่งขึ้น น.ส.กัลยา ก็มาสอบถาม เกี่ยวกับสร้อยคอของกลางนั้น คุณจ่าแก ปฏิเสธว่าเมื่อจำเลยถ่ายออกมาแล้ว ก็ไม่มีสร้อยคอเส้นนั้นแต่อย่างใด น.ส.กัลยา จึงแจ้งให้นายร้อยเวรคนเดิมทราบ แล้วพาจำเลยคนเก่าไปเอ็กซเรย์ที่โรงพยาบาลเดิมอีก คราวนี้ไม่ปรากฏว่ามีสายสร้อยในกระเพาะของจำเลยเหมือนคราวก่อน น.ส.กัลยา จึงแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ ตำรวจสถานีนั้นทราบ
ผู้บังคับบัญชาจึงสั่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยมีสารวัตรปราบปรามเป็นประธาน และรองสารวัตรปราบปรามอีกสองนายเป็นกรรมการ และให้รายงานโดยด่วน
คดีนี้ผู้เสียหายขาดทุนอยู่คนเดียว เพราะแม้จะได้ตัวคนร้ายมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ของกลางคืน เหตุทั้งนี้ก็เพราะตนไม่ได้อยู่คอยเฝ้าจำเลยในเวลาถ่ายทุกข์ จึงไม่เห็นด้วยตาตนเองว่า สร้อยของกลางนั้นหายไปได้อย่างไร จะว่าไฟธาตุของจำเลยแรงมากจนสามารถหลอมทองคำหนักหกสลึงให้ละลาย ปนไปกับอุจจาระหมด ก็ดูจะเป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
แล้วก็ไม่ทราบว่า ป่านนี้จะได้ข้อเท็จจริงกันหรือยัง.
#########
ของกลางหาย ๓๐ ก.ค.๕๘
ของกลางหาย
เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓ เวลา ๒๑.๐๐ น. ของวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน น.ส.กัลยา อายุ ๕๒ ปี อาชีขายลอตเตอรี่อยู่ที่ตำบลหัวรอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดอยุธยา ได้เข้าแจ้งความแก่นายร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรเจ้าของท้องที่ มีความว่า
ขณะที่ตนไปช่วยงานที่วิทยาเขตพาณิชย์พระนครศรีอยุธยาอยู่นั้น ได้มีวายร้ายสองคน ได้เข้ามากระชากสร้อยคอทองคำหนักหกสลึง ซึ่งมีจี้ทองคำห้อยอยู่ ขาดติดมือวิ่งหนีไปต่อหน้าต่อตา และหลบหนีไปได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ลงบันทึกประจำวันไว้ และจะได้สืบจับตัวคนร้ายอย่างกวดขันต่อไป
เวลาล่วงไปสองวัน จนถึงวันที่ ๒๙ เดือนเดียวกัน น.ส.กัลยา ได้นั่งขายลอตเตอรี่อยู่ที่หน้าร้านของตนตามปกติ ก็ได้เห็นคนร้ายสองคนที่ชิงสร้อยไป ซึ่งตนจำหน้าได้ เป็นอย่างดี กำลังจะเดินผ่านไปเข้าร้านทองที่อยู่ใกล้กัน
จึงได้แจ้งให้สายตรวจช่วยจับกุมตัวไว้ได้โดยละม่อม
แต่เมื่อค้นตัวผู้ต้องหา ก็ไม่พบสร้อยของกลางแต่อย่างใด เพราะปรากฏว่าผู้ต้องหาคนที่กำสร้อยคออยู่ ได้เห็นตำรวจเสียก่อน จึงเอาสร้อยคอใส่ปากกลืนลงท้องไปอย่างไม่ค่อยจะสะดวกนัก
ทางพนักงานสอบสวนกับ น.ส.กัลยา จึงได้พาผู้ต้องหาคนที่มีสร้อยหกสลึงอยู่ในท้อง ไปให้นายแพทย์ที่โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาถ่ายเอกซเรย์ ก็พบว่าสร้อยคอของกลางได้นอนสงบนิ่งอยู่ในกระเพาะอาหารของจำเลยอย่างชัดเจน
แพทย์จึงให้จำเลยกินยาถ่าย แล้วให้ เจ้าหน้าที่นำตัวจำเลยกลับมาควบคุมไว้ที่สถานีตำรวจ โดยใส่กุญแจมือติดกับประตูห้องควบคุมด้านนอก และให้จ่านายสิบตำรวจผู้หนึ่ง คอยเฝ้าสังเกตอาการของจำเลยอย่างใกล้ชิด ถ้าจำเลยปวดท้องจะถ่ายอุจจาระก็ให้นำตัวไปถ่ายกลางแจ้งหลังโรงพัก เพื่อนำของกลางมาคืนผู้เสียหาย
พอรุ่งขึ้น น.ส.กัลยา ก็มาสอบถาม เกี่ยวกับสร้อยคอของกลางนั้น คุณจ่าแก ปฏิเสธว่าเมื่อจำเลยถ่ายออกมาแล้ว ก็ไม่มีสร้อยคอเส้นนั้นแต่อย่างใด น.ส.กัลยา จึงแจ้งให้นายร้อยเวรคนเดิมทราบ แล้วพาจำเลยคนเก่าไปเอ็กซเรย์ที่โรงพยาบาลเดิมอีก คราวนี้ไม่ปรากฏว่ามีสายสร้อยในกระเพาะของจำเลยเหมือนคราวก่อน น.ส.กัลยา จึงแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ ตำรวจสถานีนั้นทราบ
ผู้บังคับบัญชาจึงสั่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยมีสารวัตรปราบปรามเป็นประธาน และรองสารวัตรปราบปรามอีกสองนายเป็นกรรมการ และให้รายงานโดยด่วน
คดีนี้ผู้เสียหายขาดทุนอยู่คนเดียว เพราะแม้จะได้ตัวคนร้ายมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ของกลางคืน เหตุทั้งนี้ก็เพราะตนไม่ได้อยู่คอยเฝ้าจำเลยในเวลาถ่ายทุกข์ จึงไม่เห็นด้วยตาตนเองว่า สร้อยของกลางนั้นหายไปได้อย่างไร จะว่าไฟธาตุของจำเลยแรงมากจนสามารถหลอมทองคำหนักหกสลึงให้ละลาย ปนไปกับอุจจาระหมด ก็ดูจะเป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
แล้วก็ไม่ทราบว่า ป่านนี้จะได้ข้อเท็จจริงกันหรือยัง.
#########