คนไทยที่กลับไปเที่ยวญี่ปุ่นซ้ำมักจะเสาะแสวงหาที่เที่ยวแปลกใหม่ หนีความพลุกพล่านซ้ำซากของเมืองใหญ่อย่างโตเกียว และค้นพบว่า “หมู่บ้านพนมมือ” บนเขาสูงในเขตโตยาม่า ทางตอนกลางของญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในทางเลือกใหม่ที่น่าท่องเที่ยวค้นหา
“บ้านพนมมือ” หรือ บ้านกัชโช (Gassho House) เป็นบ้านญี่ปุ่นทรงโบราณหลังคาตั้งสูงลาดชันเหมือนคนจรดมือทั้งสองขึ้นไหว้ รูปทรงบ้านที่เป็นเอกลักษณ์แบบนี้มีเพียงคนท้องถิ่นในหมู่บ้าน 3 แห่งของจังหวัดโตยาม่า (Toyama) และกิฟุ (Gifu) เท่านั้นที่อนุรักษ์ไว้ยาวนานนับพันปี แม้จะต้องรื้อหลังเก่าทิ้งไปเพราะทนต่อกาลเวลาไม่ไหว ลูกหลานก็ยังสร้างหลังใหม่ในรูปแบบดั้งเดิมทั้งที่การสร้างบ้านกัชโชแต่ละหลัง ต้องใช้เงิน แรงงาน เวลา ศิลปะ และความใส่ใจสูงกว่าบ้านธรรมดาทั่วไปหลายเท่า
บ้านกัชโชสามารถยืนหยัดอย่างเนิบนาบท้าทายการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วของโลกภายนอก บ้านเหล่านี้เรียงตัวกันเป็นกระจุกอยู่ในเขตชิรากาวาโกะ (Shirakawa-go) และ โกกายาม่า (Gokayama) บนเทือกเขาสูง แม้จะต้องอ่อนข้อต่อแรงกระทบภายนอกและสูญหายไปบ้างเพราะภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยหรือด้วยเหตุผลอื่นใด แต่เจ้าของผู้รับมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษหลายครอบครัวก็ยังเก็บรักษาสถาปัตยกรรมที่เป็นตัวของตัวเองไว้ได้เหมาะสมดียิ่งจนน่าชื่นชม และเมื่อชาวโลกรับรู้ถึงความงดงามเช่นนี้มากขึ้น จึงได้รับการยกย่องจากยูเนสโกเป็นมรดกโลกอันน่าภูมิใจแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น
จุดเริ่มต้นของพวกเราที่จะแทรกตัวเข้าไปเป็นลูกบ้านในหมู่บ้านกัชโช คือเมืองนาโงย่า (Nagoya) เรานั่งรถไฟความเร็วสูงหรือชิงกังเซนจากกรุงโตเกียว มุ่งหน้ามาเมืองนาโงย่า เพื่อเปลี่ยนรถไฟความเร็วปกติต่อไปเมือง Toyama (หากต้องการบินตรงดิ่งจากเมืองไทยมาเมือง Nagoya ก็ทำได้ง่ายโดยเครื่องบินของการบินไทยจากสนามบินสุวรรณภูมิมาเมืองนี้เลย)
Toyama…ขุนเขาหิมะปราย
เราลงรถไฟที่สถานี Kanazawa เมืองหลวงของจังหวัด Toyama เพื่อค้างคืนและเช่ารถขับเที่ยวเลียบทะเลด้านตะวันตกก่อนจะขึ้นเขาไปนอนในบ้านกัชโช
วันรุ่งขึ้น เราไปบริษัทรถเช่าใกล้สถานีรถไฟเพื่อรับรถ Toyota Voxy 8 ที่นั่ง จากนั้นก็มุ่งหน้าออกนอกเมือง ลัดเลาะไปตามถนนสายเล็กๆมีบ้านเรือนเรียงรายน่ารักเงียบสงบ จนไปถึงทะเล อากาศวันนั้นหนาวเย็นและลมพัดแรง ประชากรนักเที่ยวทั้ง 6 คนเลยซุกตัวในรถ ปล่อยให้สายตาทอดยาวไกลไปยังทะเลและท้องฟ้าเบื้องหน้า จนมาสุดที่แหลม Noto อันเป็นจุดสุดแดนทางตะวันตกตรงข้ามเกาหลี เรากระโดดลงจากรถเพื่อถ่ายรูปกันอย่างรวดเร็ว เข้าตำรา “I come, I see, I take pictures” ทั้งที่ใจอยากเดินละเลียดบนหาดทรายขาวสะอาด แต่อากาศไม่เป็นใจให้ทำเช่นนั้น
จากแหลม Noto เราขับรถเรื่อยเอื่อยไปตามถนนริมหาดจนพบร้านอาหารเล็กๆริมทะเลที่ลุงกับป้าทำอาหารและบะหมี่ให้ทาน อิ่มท้องแล้ว ไปอาบน้ำแร่แช่ตัวให้เบาสบายกันดีกว่า
เนวิเกเตอร์ของโชเฟอร์ต๋อยในทริปนี้ชื่อวิว ลูกชายโชเฟอร์นั่นเอง เนฯผู้แคล่วคล่องภาษาญี่ปุ่น กด GPS ในรถ หาออนเซนในละแวกนั้น เมื่อพบที่หมายแล้วก็ไม่รอช้า มุ่งหน้าตรงไปนอนแช่น้ำแร่กันทันที…ชอบกันจริงๆ นอนเปล่าเปลือยแช่น้ำแร่เนี่ย
อาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าเมื่อเราเดินสดชื่นตัวเบาออกจากออนเซน คงต้องหาอาหารเย็นที่ไหนสักแห่งก่อนขับรถกลับที่พักในเมือง Kanazawa ทานอาหารกันให้เรียบร้อย กลับถึงโรงแรมจะได้เข้านอน ออมแรงมุ่งสู่เป้าหมายที่รอคอยในวันรุ่งขึ้น
โชเฟอร์ เนวิเกเตอร์ และผู้โดยสารหญิงอีก 4 คน กับกระเป๋าเดินทาง พร้อมเพรียงกันที่รถแต่เช้าด้วยความตื่นเต้นอยากไปถึงหมู่บ้านกัชโชให้เร็วไว เราขับรถไปบนเส้นทางที่มีเทือกเขาและป่าเขียวขจีเรียงรายกินเนื้อที่ถึง 96% ของพื้นที่จังหวัดนี้ มีอุโมงค์ลอดเขาเยอะจนนับไม่ไหว อุโมงค์บางลูกทอดยาวจนไม่อาจทราบได้ว่าเราได้ลอดภูเขามาแล้วกี่ลูก และได้ไต่ขึ้นความสูงมาแล้วกี่ร้อยเมตร
อุโมงค์ลูกหนึ่งที่เราขับลอดเข้าไป ยาวมากจนไม่น่าเชื่อว่า ตอนลอดเข้าไปฟ้ายังแจ้งแดดเปรี้ยงแจ่มใส ขับไปนานแสนนานและไต่ขึ้นความสูงอย่างไม่รู้ตัว จนเมื่อลอดออกจากอุโมงค์ จึงได้เห็นหิมะโปรยปรายลงบนกระจกหน้ารถโดยแทบไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง โชเฟอร์ถึงกับต้องเปิดกระจก ยื่นมือออกไปให้รู้แจ้งผ่านสัมผัสว่า…นี่คือหิมะแน่ๆ
สองข้างทางจากนี้ไปเริ่มมีบ้านกัชโชให้เห็นเป็นหย่อมๆ…เราเข้าสู่อาณาบริเวณมรดกโลกแล้ว
Ainokura…ภาพจริงดั่งภาพฝัน
เราไปถึงหมู่บ้านชื่อ Ainokura อันเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลก เพื่อจะพัก 2 คืนที่บ้านกัชโชหนึ่งใน 20 หลังของหมู่บ้านนี้ กัชโชบางหลังเป็นบ้านพักที่เจ้าของอยู่กันมาหลายชั่วอายุ ส่วนบ้านที่เราจะพักนั้น ลุงกับป้าเจ้าของทำเป็น homestay ที่นี่ถือเป็นหมู่บ้านกัชโชที่ใหญ่ที่สุดในบรรดา 3 หมู่บ้านที่จัดอยู่ในกลุ่มมรดกโลก
เจ้าของบ้านออกมาต้อนรับ แต่บอกว่ายังไม่ถึงเวลาเช็คอิน ป้าจะต้องออกไปจ่ายตลาด ให้พวกเราวางกระเป๋าไว้ แล้วขับรถไปเที่ยวรอบๆก่อน… เราก็ว่าง่ายเสียด้วยสิ
ลุงป้าและลูกชายพักอยู่ใน “บ้านไม่พนมมือ” หรือบ้านทรงธรรมดาอีกหลังที่ปลูกไว้ข้างๆ แต่บางครั้ง สองสามีภรรยาก็มานอนที่ชั้นบนของบ้านกัชโชเพื่อจะได้ดูแลผู้มาพัก ด้วยว่าเขตบ้านล้อมรอบด้วยภูเขาสูงที่มีหิมะปกคลุมเกือบตลอดปี ลูกชายคนเดียวของบ้านนี้เลยชอบเล่นสกี แต่หาใช่เพราะเล่นสกีในแถบนี้เท่านั้น แท้จริงแล้ว ลูกชายไปเรียนมหาวิทยาลัยที่โตเกียว แต่มีใจรักการเล่นสกี เลยฝึกฝนจนได้เป็นแชมป์สกีไปเลย
เราขับรถออกไปดูบ้านกัชโชในหมู่บ้านและละแวกใกล้เคียง ในบางจุดที่เราจอดรถข้างทาง เราเห็นบ้านกัชโชที่ตั้งอยู่เบื้องล่างโผล่ขึ้นมาเหมือนมือที่ยกขึ้นไหว้เด่นสลอน ที่งามกว่านั้นคือมีหิมะตกหนาบนทางเดินเป็นเส้นขาวตัดไปมาสลับกับสีน้ำตาลเข้มของบ้านแต่ละหลัง…ช่างเหมือนรูปโปสการ์ดเสียนี่กระไร
หลังคาบ้านลาดชันเพื่อไม่ให้หิมะตกค้างทับถมจนหนักเกินกว่าจะรับไหว หลังคาทำจากหญ้าที่ปูทับบนวัสดุกันน้ำเป็นชั้นๆจนหนาและหนัก ช่วยกันฝน ลมพายุแรง และอากาศหนาวเย็น
เรากลับไปที่บ้านพักเมื่อใกล้เวลาอาหารค่ำ ภาพแรกที่เห็นเมื่อย่างเท้าเข้าไปในห้องนั่งเล่นโอ่โถง ทำให้พวกเราตะลึงงัน…มันช่างเหมือนภาพในฉากหนังญี่ปุ่นโบราณ มีเตาขุดเป็นหลุมบนพื้นกลางห้อง หม้อน้ำสีดำห้อยจากเพดานมาอยู่เหนือกลางเตา เพื่อให้ความร้อนจากถ่านเตาคอยอุ่นน้ำร้อนตลอดเวลา รอบๆเตามีปลา Cod แม่น้ำย่าง เสียบไม้ปักไว้ 6 ตัว และสำรับอาหารแบบญี่ปุ่นตั้งไว้ 6 ชุด…เราสะกดความตื่นเต้นจากภาพตื่นตาตื่นใจแทบจะไม่อยู่ หลงคิดไปว่าหลุดเข้ามาอยู่ในฉากหนังญี่ปุ่นได้อย่างไรนี่
ทุกคนกุลีกุจอลงนั่งหน้าสำรับอาหารของตนเอง ล้อมวงหน้าเตา สายตาจดจ้องปลาย่างของตนเองและถ้วยใบเล็กใบน้อยในสำรับ ขณะที่ลุงกับป้ากำลังง่วนเตรียมอาหารอยู่ในครัวใกล้ๆ สักครู่ใหญ่ๆ ป้าก็ยกถาดอาหารหวานคาวและข้าวมาให้แต่ละคน เมื่อได้อาหารกันครบถ้วนแล้ว ป้าก็เสิร์ฟชาให้ดื่มชื่นใจก่อนเริ่มอาหารมื้อเย็นในบรรยากาศและฉากที่ยากจะบรรยายความรู้สึกได้ครบครัน
เสร็จสิ้นอาหารเย็นและถาดอาหารหายเข้าครัวไปหมดแล้ว ห้องอาหารก็กลับมาทำหน้าที่ห้องนั่งเล่นที่มีไออุ่นจากเตาช่วยบรรเทาความหนาวเหน็บในยามดึก เราทยอยกันไปอาบน้ำให้ห้องน้ำแบบญี่ปุ่น มีเก้าอี้เตี้ยๆให้นั่งฟอกสบู่ อาบน้ำ สระผม ที่จัดทำไว้อย่างดี ป้าเล่าว่า การทำบ้านให้เป็น homestay นั้น ต้องผ่านการแนะนำ ช่วยเหลือ และตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้มาตรฐาน และคงเอกลักษณ์ของ homestay ไว้
คืนนั้นอากาศข้างนอกหนาวยะเยือก ลุงจึงเอาเครื่องทำความร้อนใช้น้ำมันก๊าดมาจุดไว้ในห้อง เพื่อช่วยให้เราไม่หนาวเหน็บจนนอนไม่หลับ กลิ่นฉุนของน้ำมันก๊าดทำให้บางคนหลับๆตื่นๆทั้งคืน แต่ก็ให้ความรู้สึก “โบราณ” ดี
ตื่นเช้า แง้มหน้าต่างจากห้องนอนโล่งกว้างที่แต่ละคนเลือกมุมโปรดเพื่อซุกตัว เห็นข้างนอกขาวโพลนไปหมด หิมะตกเกือบตลอดคืน กระป๋องน้ำอัดลมที่โชเฟอร์วางไว้นอกหน้าต่างเย็นเฉียบ เหมือนแช่อยู่ในตู้เย็นเทวดาสร้าง…ได้เวลาล้างหน้าแปรงฟันเพื่อทานอาหารเช้า ทุกคนนั่งประจำที่เหมือนเมื่อวานเย็น
ป้ายกกาน้ำชาและถ้วยชามาให้ดื่มรออาหารเช้าที่ใกล้จะเสร็จ สำรับอาหารเช้ามีข้าวเปล่า พร้อมด้วยกับข้าวหลากหลายและไข่ดาว ทานอาหารเช้าเสร็จก็ได้เวลาออกไปขับรถท่องเที่ยวหมู่บ้านใกล้เคียง เราตั้งใจจะไปดูบ้านกัชโชอายุ 300 ปีที่หมู่บ้าน Ishikawa ซึ่งเป็นหมู่บ้านมรดกโลกอีกแห่ง แต่ขับไปจนใกล้ถึงที่หมายจึงได้รู้ว่า ถนนปิดเพราะเมื่อคืนหิมะตกหนัก เลยหันรถกลับหมู่บ้าน Ainokura ของเราท่ามกลางหิมะโปรยปรายตลอดทาง และแวะจอดดูภาพสวยงามข้างทางเป็นระยะๆ
หมู่บ้าน Ainokura เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่มีรถบัสขนาดใหญ่มาจอด เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเดินเล่น ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่มีชีวิต คือยังมีผู้คนอาศัย ทำมาค้าขาย มีโรงอาบน้ำสาธารณะ และพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านให้เข้าชม แม้จะมีนักท่องเที่ยวมาแวะเวียน แต่ Ainokura ก็ยังไม่ถึงกับจัดฉากเพื่อเอาเงินนักท่องเที่ยวจนขาดเสน่ห์อย่างหมู่บ้าน Shirakawa-go ที่ทัวร์ทั้งหลายพานักท่องเที่ยวไปจู่โจมโรมรัน และมีรถทัวร์วิ่งเข้าออกจอแจคับคั่งทั้งวัน…หลังจากทริปไปนอนในบ้านกัชโชที่ Ainokura เรากลับไป Toyama อีกครั้ง และแวะไปดูหมู่บ้านกัชโช Shirakawa-go เรารู้สึกผิดหวังกับการบริหารจัดการหมู่บ้านท่องเที่ยวแห่งนี้
เย็นวันที่ 2 ลุงกับป้าจัดเซ็ทอาหารให้แต่ละคนอย่างอลังการกว่าเมื่อวาน สำรับของแต่ละคนมีหม้อไฟ ซึ่งมีเนื้อ ปลา และอะไรอีกสารพัดอยู่ในหม้อร้อน วันนี้เราคุ้นเคยกับบรรยากาศในห้อง แต่ไม่วายสนุกกับการควานหาอาหารในหม้อไฟ และชิมอาหารเคียงมากมายในสำรับ
Kanazawa…สู่โลกความจริง
หลังอาหารเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราใส่ชุดยูกาตะออกไปถ่ายรูปท่ามกลางหิมะโปรยปรายที่หน้าบ้านกัชโช ทำท่าทางและโพสท่าให้ดูเป็นญี่ปุ่นเท่าที่พึงทำได้ โพสท่ากันไปหัวเราะกันไป ก่อนลาจากเจ้าของบ้านเพื่อขับรถกลับไปเมือง Kanazawa อันเป็นจุดเริ่มต้นการขับรถเที่ยวหมู่บ้านมรดกโลกของเราในครั้งนี้
ลุงกับป้า และลูกชายนักสกีที่พอดีกลับมาเยี่ยมบ้าน มายืนส่งและถ่ายรูปกับพวกเราที่หน้าบ้านกัชโช ทุกคนร่ำลากันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม…เรายิ้มให้กับความหวังที่จะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง
เราขับรถออกจากหมู่บ้าน Ainokura มุ่งตรงลงเขากลับไปเมือง Kanazawa ที่นั่งรถไฟมาถึงและมาเช่ารถเมื่อหลายวันก่อน หิมะยังคงตกตลอดทางจนลอดเข้าอุโมงค์ยาวเหยียดลูกที่ลอดมาแล้วเมื่อขามา ขับลอดอุโมงค์นานแสนนาน จนโผล่ออกมาเผชิญกับความอัศจรรย์…ไม่มีหิมะเลยแม้แต่เกร็ดเดียว และไม่มีร่องรอยของหิมะตกแม้แต่น้อย
เราวิ่งลงเขามากี่ร้อยเมตร หาได้ทราบไม่…ช่างเป็นอุโมงค์มหัศจรรย์เสียจริง
แล้วเราก็ถึงสถานีรถไฟ Kanazawa โชเฟอร์ปล่อยให้พวกเราเอากระเป๋าลงจากรถหมด แล้วขับรถไปเติมน้ำมันเต็มถังที่ปั๊มน้ำมันตรงข้ามก่อนนำรถไปคืนบริษัทรถเช่า
วันเวลาเหมือนฝันในบ้านพนมมือสิ้นสุดลง เพื่อเริ่มต้นการเดินทางโดยรถไฟจาก Kanazawa กลับกรุงโตเกียวอีกครั้ง
นอนแอบอิงในบ้านมรดกโลก
“บ้านพนมมือ” หรือ บ้านกัชโช (Gassho House) เป็นบ้านญี่ปุ่นทรงโบราณหลังคาตั้งสูงลาดชันเหมือนคนจรดมือทั้งสองขึ้นไหว้ รูปทรงบ้านที่เป็นเอกลักษณ์แบบนี้มีเพียงคนท้องถิ่นในหมู่บ้าน 3 แห่งของจังหวัดโตยาม่า (Toyama) และกิฟุ (Gifu) เท่านั้นที่อนุรักษ์ไว้ยาวนานนับพันปี แม้จะต้องรื้อหลังเก่าทิ้งไปเพราะทนต่อกาลเวลาไม่ไหว ลูกหลานก็ยังสร้างหลังใหม่ในรูปแบบดั้งเดิมทั้งที่การสร้างบ้านกัชโชแต่ละหลัง ต้องใช้เงิน แรงงาน เวลา ศิลปะ และความใส่ใจสูงกว่าบ้านธรรมดาทั่วไปหลายเท่า
บ้านกัชโชสามารถยืนหยัดอย่างเนิบนาบท้าทายการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วของโลกภายนอก บ้านเหล่านี้เรียงตัวกันเป็นกระจุกอยู่ในเขตชิรากาวาโกะ (Shirakawa-go) และ โกกายาม่า (Gokayama) บนเทือกเขาสูง แม้จะต้องอ่อนข้อต่อแรงกระทบภายนอกและสูญหายไปบ้างเพราะภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยหรือด้วยเหตุผลอื่นใด แต่เจ้าของผู้รับมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษหลายครอบครัวก็ยังเก็บรักษาสถาปัตยกรรมที่เป็นตัวของตัวเองไว้ได้เหมาะสมดียิ่งจนน่าชื่นชม และเมื่อชาวโลกรับรู้ถึงความงดงามเช่นนี้มากขึ้น จึงได้รับการยกย่องจากยูเนสโกเป็นมรดกโลกอันน่าภูมิใจแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น
จุดเริ่มต้นของพวกเราที่จะแทรกตัวเข้าไปเป็นลูกบ้านในหมู่บ้านกัชโช คือเมืองนาโงย่า (Nagoya) เรานั่งรถไฟความเร็วสูงหรือชิงกังเซนจากกรุงโตเกียว มุ่งหน้ามาเมืองนาโงย่า เพื่อเปลี่ยนรถไฟความเร็วปกติต่อไปเมือง Toyama (หากต้องการบินตรงดิ่งจากเมืองไทยมาเมือง Nagoya ก็ทำได้ง่ายโดยเครื่องบินของการบินไทยจากสนามบินสุวรรณภูมิมาเมืองนี้เลย)
Toyama…ขุนเขาหิมะปราย
เราลงรถไฟที่สถานี Kanazawa เมืองหลวงของจังหวัด Toyama เพื่อค้างคืนและเช่ารถขับเที่ยวเลียบทะเลด้านตะวันตกก่อนจะขึ้นเขาไปนอนในบ้านกัชโช
วันรุ่งขึ้น เราไปบริษัทรถเช่าใกล้สถานีรถไฟเพื่อรับรถ Toyota Voxy 8 ที่นั่ง จากนั้นก็มุ่งหน้าออกนอกเมือง ลัดเลาะไปตามถนนสายเล็กๆมีบ้านเรือนเรียงรายน่ารักเงียบสงบ จนไปถึงทะเล อากาศวันนั้นหนาวเย็นและลมพัดแรง ประชากรนักเที่ยวทั้ง 6 คนเลยซุกตัวในรถ ปล่อยให้สายตาทอดยาวไกลไปยังทะเลและท้องฟ้าเบื้องหน้า จนมาสุดที่แหลม Noto อันเป็นจุดสุดแดนทางตะวันตกตรงข้ามเกาหลี เรากระโดดลงจากรถเพื่อถ่ายรูปกันอย่างรวดเร็ว เข้าตำรา “I come, I see, I take pictures” ทั้งที่ใจอยากเดินละเลียดบนหาดทรายขาวสะอาด แต่อากาศไม่เป็นใจให้ทำเช่นนั้น
จากแหลม Noto เราขับรถเรื่อยเอื่อยไปตามถนนริมหาดจนพบร้านอาหารเล็กๆริมทะเลที่ลุงกับป้าทำอาหารและบะหมี่ให้ทาน อิ่มท้องแล้ว ไปอาบน้ำแร่แช่ตัวให้เบาสบายกันดีกว่า
เนวิเกเตอร์ของโชเฟอร์ต๋อยในทริปนี้ชื่อวิว ลูกชายโชเฟอร์นั่นเอง เนฯผู้แคล่วคล่องภาษาญี่ปุ่น กด GPS ในรถ หาออนเซนในละแวกนั้น เมื่อพบที่หมายแล้วก็ไม่รอช้า มุ่งหน้าตรงไปนอนแช่น้ำแร่กันทันที…ชอบกันจริงๆ นอนเปล่าเปลือยแช่น้ำแร่เนี่ย
อาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าเมื่อเราเดินสดชื่นตัวเบาออกจากออนเซน คงต้องหาอาหารเย็นที่ไหนสักแห่งก่อนขับรถกลับที่พักในเมือง Kanazawa ทานอาหารกันให้เรียบร้อย กลับถึงโรงแรมจะได้เข้านอน ออมแรงมุ่งสู่เป้าหมายที่รอคอยในวันรุ่งขึ้น
โชเฟอร์ เนวิเกเตอร์ และผู้โดยสารหญิงอีก 4 คน กับกระเป๋าเดินทาง พร้อมเพรียงกันที่รถแต่เช้าด้วยความตื่นเต้นอยากไปถึงหมู่บ้านกัชโชให้เร็วไว เราขับรถไปบนเส้นทางที่มีเทือกเขาและป่าเขียวขจีเรียงรายกินเนื้อที่ถึง 96% ของพื้นที่จังหวัดนี้ มีอุโมงค์ลอดเขาเยอะจนนับไม่ไหว อุโมงค์บางลูกทอดยาวจนไม่อาจทราบได้ว่าเราได้ลอดภูเขามาแล้วกี่ลูก และได้ไต่ขึ้นความสูงมาแล้วกี่ร้อยเมตร
อุโมงค์ลูกหนึ่งที่เราขับลอดเข้าไป ยาวมากจนไม่น่าเชื่อว่า ตอนลอดเข้าไปฟ้ายังแจ้งแดดเปรี้ยงแจ่มใส ขับไปนานแสนนานและไต่ขึ้นความสูงอย่างไม่รู้ตัว จนเมื่อลอดออกจากอุโมงค์ จึงได้เห็นหิมะโปรยปรายลงบนกระจกหน้ารถโดยแทบไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง โชเฟอร์ถึงกับต้องเปิดกระจก ยื่นมือออกไปให้รู้แจ้งผ่านสัมผัสว่า…นี่คือหิมะแน่ๆ
สองข้างทางจากนี้ไปเริ่มมีบ้านกัชโชให้เห็นเป็นหย่อมๆ…เราเข้าสู่อาณาบริเวณมรดกโลกแล้ว
Ainokura…ภาพจริงดั่งภาพฝัน
เราไปถึงหมู่บ้านชื่อ Ainokura อันเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลก เพื่อจะพัก 2 คืนที่บ้านกัชโชหนึ่งใน 20 หลังของหมู่บ้านนี้ กัชโชบางหลังเป็นบ้านพักที่เจ้าของอยู่กันมาหลายชั่วอายุ ส่วนบ้านที่เราจะพักนั้น ลุงกับป้าเจ้าของทำเป็น homestay ที่นี่ถือเป็นหมู่บ้านกัชโชที่ใหญ่ที่สุดในบรรดา 3 หมู่บ้านที่จัดอยู่ในกลุ่มมรดกโลก
เจ้าของบ้านออกมาต้อนรับ แต่บอกว่ายังไม่ถึงเวลาเช็คอิน ป้าจะต้องออกไปจ่ายตลาด ให้พวกเราวางกระเป๋าไว้ แล้วขับรถไปเที่ยวรอบๆก่อน… เราก็ว่าง่ายเสียด้วยสิ
ลุงป้าและลูกชายพักอยู่ใน “บ้านไม่พนมมือ” หรือบ้านทรงธรรมดาอีกหลังที่ปลูกไว้ข้างๆ แต่บางครั้ง สองสามีภรรยาก็มานอนที่ชั้นบนของบ้านกัชโชเพื่อจะได้ดูแลผู้มาพัก ด้วยว่าเขตบ้านล้อมรอบด้วยภูเขาสูงที่มีหิมะปกคลุมเกือบตลอดปี ลูกชายคนเดียวของบ้านนี้เลยชอบเล่นสกี แต่หาใช่เพราะเล่นสกีในแถบนี้เท่านั้น แท้จริงแล้ว ลูกชายไปเรียนมหาวิทยาลัยที่โตเกียว แต่มีใจรักการเล่นสกี เลยฝึกฝนจนได้เป็นแชมป์สกีไปเลย
เราขับรถออกไปดูบ้านกัชโชในหมู่บ้านและละแวกใกล้เคียง ในบางจุดที่เราจอดรถข้างทาง เราเห็นบ้านกัชโชที่ตั้งอยู่เบื้องล่างโผล่ขึ้นมาเหมือนมือที่ยกขึ้นไหว้เด่นสลอน ที่งามกว่านั้นคือมีหิมะตกหนาบนทางเดินเป็นเส้นขาวตัดไปมาสลับกับสีน้ำตาลเข้มของบ้านแต่ละหลัง…ช่างเหมือนรูปโปสการ์ดเสียนี่กระไร
หลังคาบ้านลาดชันเพื่อไม่ให้หิมะตกค้างทับถมจนหนักเกินกว่าจะรับไหว หลังคาทำจากหญ้าที่ปูทับบนวัสดุกันน้ำเป็นชั้นๆจนหนาและหนัก ช่วยกันฝน ลมพายุแรง และอากาศหนาวเย็น
เรากลับไปที่บ้านพักเมื่อใกล้เวลาอาหารค่ำ ภาพแรกที่เห็นเมื่อย่างเท้าเข้าไปในห้องนั่งเล่นโอ่โถง ทำให้พวกเราตะลึงงัน…มันช่างเหมือนภาพในฉากหนังญี่ปุ่นโบราณ มีเตาขุดเป็นหลุมบนพื้นกลางห้อง หม้อน้ำสีดำห้อยจากเพดานมาอยู่เหนือกลางเตา เพื่อให้ความร้อนจากถ่านเตาคอยอุ่นน้ำร้อนตลอดเวลา รอบๆเตามีปลา Cod แม่น้ำย่าง เสียบไม้ปักไว้ 6 ตัว และสำรับอาหารแบบญี่ปุ่นตั้งไว้ 6 ชุด…เราสะกดความตื่นเต้นจากภาพตื่นตาตื่นใจแทบจะไม่อยู่ หลงคิดไปว่าหลุดเข้ามาอยู่ในฉากหนังญี่ปุ่นได้อย่างไรนี่
ทุกคนกุลีกุจอลงนั่งหน้าสำรับอาหารของตนเอง ล้อมวงหน้าเตา สายตาจดจ้องปลาย่างของตนเองและถ้วยใบเล็กใบน้อยในสำรับ ขณะที่ลุงกับป้ากำลังง่วนเตรียมอาหารอยู่ในครัวใกล้ๆ สักครู่ใหญ่ๆ ป้าก็ยกถาดอาหารหวานคาวและข้าวมาให้แต่ละคน เมื่อได้อาหารกันครบถ้วนแล้ว ป้าก็เสิร์ฟชาให้ดื่มชื่นใจก่อนเริ่มอาหารมื้อเย็นในบรรยากาศและฉากที่ยากจะบรรยายความรู้สึกได้ครบครัน
เสร็จสิ้นอาหารเย็นและถาดอาหารหายเข้าครัวไปหมดแล้ว ห้องอาหารก็กลับมาทำหน้าที่ห้องนั่งเล่นที่มีไออุ่นจากเตาช่วยบรรเทาความหนาวเหน็บในยามดึก เราทยอยกันไปอาบน้ำให้ห้องน้ำแบบญี่ปุ่น มีเก้าอี้เตี้ยๆให้นั่งฟอกสบู่ อาบน้ำ สระผม ที่จัดทำไว้อย่างดี ป้าเล่าว่า การทำบ้านให้เป็น homestay นั้น ต้องผ่านการแนะนำ ช่วยเหลือ และตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้มาตรฐาน และคงเอกลักษณ์ของ homestay ไว้
คืนนั้นอากาศข้างนอกหนาวยะเยือก ลุงจึงเอาเครื่องทำความร้อนใช้น้ำมันก๊าดมาจุดไว้ในห้อง เพื่อช่วยให้เราไม่หนาวเหน็บจนนอนไม่หลับ กลิ่นฉุนของน้ำมันก๊าดทำให้บางคนหลับๆตื่นๆทั้งคืน แต่ก็ให้ความรู้สึก “โบราณ” ดี
ตื่นเช้า แง้มหน้าต่างจากห้องนอนโล่งกว้างที่แต่ละคนเลือกมุมโปรดเพื่อซุกตัว เห็นข้างนอกขาวโพลนไปหมด หิมะตกเกือบตลอดคืน กระป๋องน้ำอัดลมที่โชเฟอร์วางไว้นอกหน้าต่างเย็นเฉียบ เหมือนแช่อยู่ในตู้เย็นเทวดาสร้าง…ได้เวลาล้างหน้าแปรงฟันเพื่อทานอาหารเช้า ทุกคนนั่งประจำที่เหมือนเมื่อวานเย็น
ป้ายกกาน้ำชาและถ้วยชามาให้ดื่มรออาหารเช้าที่ใกล้จะเสร็จ สำรับอาหารเช้ามีข้าวเปล่า พร้อมด้วยกับข้าวหลากหลายและไข่ดาว ทานอาหารเช้าเสร็จก็ได้เวลาออกไปขับรถท่องเที่ยวหมู่บ้านใกล้เคียง เราตั้งใจจะไปดูบ้านกัชโชอายุ 300 ปีที่หมู่บ้าน Ishikawa ซึ่งเป็นหมู่บ้านมรดกโลกอีกแห่ง แต่ขับไปจนใกล้ถึงที่หมายจึงได้รู้ว่า ถนนปิดเพราะเมื่อคืนหิมะตกหนัก เลยหันรถกลับหมู่บ้าน Ainokura ของเราท่ามกลางหิมะโปรยปรายตลอดทาง และแวะจอดดูภาพสวยงามข้างทางเป็นระยะๆ
หมู่บ้าน Ainokura เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่มีรถบัสขนาดใหญ่มาจอด เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเดินเล่น ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่มีชีวิต คือยังมีผู้คนอาศัย ทำมาค้าขาย มีโรงอาบน้ำสาธารณะ และพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านให้เข้าชม แม้จะมีนักท่องเที่ยวมาแวะเวียน แต่ Ainokura ก็ยังไม่ถึงกับจัดฉากเพื่อเอาเงินนักท่องเที่ยวจนขาดเสน่ห์อย่างหมู่บ้าน Shirakawa-go ที่ทัวร์ทั้งหลายพานักท่องเที่ยวไปจู่โจมโรมรัน และมีรถทัวร์วิ่งเข้าออกจอแจคับคั่งทั้งวัน…หลังจากทริปไปนอนในบ้านกัชโชที่ Ainokura เรากลับไป Toyama อีกครั้ง และแวะไปดูหมู่บ้านกัชโช Shirakawa-go เรารู้สึกผิดหวังกับการบริหารจัดการหมู่บ้านท่องเที่ยวแห่งนี้
เย็นวันที่ 2 ลุงกับป้าจัดเซ็ทอาหารให้แต่ละคนอย่างอลังการกว่าเมื่อวาน สำรับของแต่ละคนมีหม้อไฟ ซึ่งมีเนื้อ ปลา และอะไรอีกสารพัดอยู่ในหม้อร้อน วันนี้เราคุ้นเคยกับบรรยากาศในห้อง แต่ไม่วายสนุกกับการควานหาอาหารในหม้อไฟ และชิมอาหารเคียงมากมายในสำรับ
Kanazawa…สู่โลกความจริง
หลังอาหารเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราใส่ชุดยูกาตะออกไปถ่ายรูปท่ามกลางหิมะโปรยปรายที่หน้าบ้านกัชโช ทำท่าทางและโพสท่าให้ดูเป็นญี่ปุ่นเท่าที่พึงทำได้ โพสท่ากันไปหัวเราะกันไป ก่อนลาจากเจ้าของบ้านเพื่อขับรถกลับไปเมือง Kanazawa อันเป็นจุดเริ่มต้นการขับรถเที่ยวหมู่บ้านมรดกโลกของเราในครั้งนี้
ลุงกับป้า และลูกชายนักสกีที่พอดีกลับมาเยี่ยมบ้าน มายืนส่งและถ่ายรูปกับพวกเราที่หน้าบ้านกัชโช ทุกคนร่ำลากันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม…เรายิ้มให้กับความหวังที่จะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง
เราขับรถออกจากหมู่บ้าน Ainokura มุ่งตรงลงเขากลับไปเมือง Kanazawa ที่นั่งรถไฟมาถึงและมาเช่ารถเมื่อหลายวันก่อน หิมะยังคงตกตลอดทางจนลอดเข้าอุโมงค์ยาวเหยียดลูกที่ลอดมาแล้วเมื่อขามา ขับลอดอุโมงค์นานแสนนาน จนโผล่ออกมาเผชิญกับความอัศจรรย์…ไม่มีหิมะเลยแม้แต่เกร็ดเดียว และไม่มีร่องรอยของหิมะตกแม้แต่น้อย
เราวิ่งลงเขามากี่ร้อยเมตร หาได้ทราบไม่…ช่างเป็นอุโมงค์มหัศจรรย์เสียจริง
แล้วเราก็ถึงสถานีรถไฟ Kanazawa โชเฟอร์ปล่อยให้พวกเราเอากระเป๋าลงจากรถหมด แล้วขับรถไปเติมน้ำมันเต็มถังที่ปั๊มน้ำมันตรงข้ามก่อนนำรถไปคืนบริษัทรถเช่า
วันเวลาเหมือนฝันในบ้านพนมมือสิ้นสุดลง เพื่อเริ่มต้นการเดินทางโดยรถไฟจาก Kanazawa กลับกรุงโตเกียวอีกครั้ง