ภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.wearethemighty.com/11-things-probably-didnt-know-saving-private-ryan-2015-01 [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.rantlifestyle.com/2014/06/26/things-you-didnt-know-about-saving-private-ryan/ และ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.yahoo.com/movies/13-things-you-didn-t-c1413494911375.html จ้า
1. หนังถ่ายทำตามลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง สตีเว่น สปีลเบิร์ก ผู้กำกับคิดว่าการถ่ายทำวิธีนี้จะช่วยให้นักแสดงอินกับเนื้อเรื่องและเหตุการณ์ได้มากขึ้น โดยเฉพาะการสูญเสียเพื่อนทหารไประหว่างทาง ที่เจ๋งมากๆ คือมันช่วยให้เหล่านักแสดงเข้าใจความรู้สึกหงุดหงิดที่ตัวละครมีต่อ "ไรอัน" ที่ไม่ได้ร่วมเดินทางเสี่ยงตายด้วยกันได้
2. ฉากบุกหาดนอร์มองดี ในวันดีเดย์ ประเทศฝรั่งเศสนั้น ทั้งกองไปถ่ายทำที่ไอร์แลนด์แทนเพราะรัฐบาลฝรั่งเศสไม่อนุญาตให้ไปถ่ายทำกันที่หาดนอร์มองดีของจริง
3. บทของจ่าอากาศเอกไมค์ ฮอร์วาธนั้นตอนแรกถูกเสนอให้ บิลลี่ บ็อบ ธอร์นตัน มารับบท แต่ธอร์นตันบอกปัดไปเพราะกลัวน้ำและไม่อยากถ่ายทำฉากยกพลขึ้นบกด้วย
4. ผลสุดท้ายบทจ่าอากาศเอกฮอร์วาธเลยมาลงตัวที่นักแสดง ทอม ไซส์มอร์ ซึ่งผู้กำกับสปีลเบิร์กลังเลมากว่าจะให้เขามารับบทนี้ดีไหมเพราะตอนนั้นไซส์มอร์ดันมีปัญหาเรื่องติดยาอยู่ อย่างไรก็ดี สปีลเบิร์กได้รับใบยืนยันว่าผลบำบัดของไซส์มอร์นั้นได้ผลทุกวัน แต่พร้อมกันนี้เขาก็ขู่นักแสดงหนุ่มด้วยว่า ถ้าเกิดผลบำบัดผลบำบัดยังแสดงผลว่าไซส์มอร์ยังติดสารเสพติดอยู่ มีอันได้ถ่ายใหม่ทุกฉากแน่ๆ (T T โห่ย)
5. ตอนแรกสปีลเบิร์กคิดว่า แมตต์ ดามอน ผอมไปสำหรับบทพลทหารเจมส์ ไรอัน แต่ก็เปลี่ยนความคิดเมื่อได้พบปะกันในที่สุด
6. เรื่องเกี่ยวกับพี่ชายที่พลทหารไรอันเล่านั้นไม่มีอยู่ในบท แต่แมตต์ด้นขึ้นมาเองล้วนๆ และสปีลเบิร์กก็ตัดสินใจยัดมันลงในหนัง
7. ฉากพลทหารสแตนลีย์ เมลลิช ถูกทหารอีกฝ่ายแทง ทหารฝ่ายนั้นกล่าวเป็นภาษาเยอรมันว่า "ยอมแพ้ซะ นี่เป็นโอกาสของแกแล้ว มันง่ายสำหรับแกนะ ง่ายกว่ามาก"
8. สปีลเบิร์กจำต้องตัดฉากรุนแรงจากสงครามออกร่วมๆ 5 นาที เพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับเรต nc-17
9. บทกัปตันที่ทอม แฮงค์รับเล่นนั้นอายุ 41 ปี ทั้งที่ความเป็นจริงในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กัปตันของเหล่าทหารราบมีอายุเฉลี่ย 26 ปีเท่านั้น
10. ฉากที่แจ็คสัน สไนเปอร์ผู้ยิงทหารเยอรมันร่วงผ่านกล้องโทรทรรศน์ปืนนั้นเป็นการแสดงความเคารพต่อนาวิกโยธินคาร์ลอส แฮทช์ค็อกค์-สไนเปอร์ที่สอยสไนเปอร์ฝ่ายตรงข้ามผ่านกล้องโทรทรรศน์
11. เสียงปืนในเรื่องเป็นเสียงจากปืนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จริงๆ เพราะสปีลเบิร์กอยากให้มันออกมาสมจริงที่สุด
12. และก็เพื่อความสมจริงอีกเช่นกัน ผู้กำกับเลยไปเชิญเดล ไดย์ อดีตนาวิกโยธิน (และร่วมแสดงเป็นท่านผู้พันในหนังเรื่องนี้ด้วย) มาเป็นติวเตอร์ให้นักแสดง งานนี้เลยรากเลือดกันแบบไม่ต้องถาม จัดให้นักแสดงซิทอัพ, ลุกนั่ง, วิ่งกว่า 6 ไมล์และฝึกการใช้อาวุธ
13. ฉากเปิดตัวของเรื่องนี้ ได้มาจากเมื่อครั้งสปีลเบิร์กไปโปรโมตเรื่อง Duel เมื่อปี 1972 ที่ฝรั่งเศสและเห็นสุสานทหารนอร์มังดีเข้า "ผมเห็นชายคนหนึ่งเดินตรงมาพร้อมกับคนทั้งครอบครัว เขาทรุดตัวลงอยู่หน้ากางเขนและดาว 6 แฉก (สัญลักษณ์ของชาวยิว) และตั้งต้นสะอื้นอย่างคุมไม่อยู่ คนในครอบครัวต้องพยุงเขายืนขึ้น นั่นแหละ เป็นที่มาของหนัง มันเริ่มจากสิ่งที่ผมสังเกตเห็นตรงหน้านี่เอ
ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันนะคะ
Page:
https://www.facebook.com/llkhimll
Blog:
http://llkhimll.wordpress.com/
13 เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับ Saving Private Ryan
1. หนังถ่ายทำตามลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง สตีเว่น สปีลเบิร์ก ผู้กำกับคิดว่าการถ่ายทำวิธีนี้จะช่วยให้นักแสดงอินกับเนื้อเรื่องและเหตุการณ์ได้มากขึ้น โดยเฉพาะการสูญเสียเพื่อนทหารไประหว่างทาง ที่เจ๋งมากๆ คือมันช่วยให้เหล่านักแสดงเข้าใจความรู้สึกหงุดหงิดที่ตัวละครมีต่อ "ไรอัน" ที่ไม่ได้ร่วมเดินทางเสี่ยงตายด้วยกันได้
2. ฉากบุกหาดนอร์มองดี ในวันดีเดย์ ประเทศฝรั่งเศสนั้น ทั้งกองไปถ่ายทำที่ไอร์แลนด์แทนเพราะรัฐบาลฝรั่งเศสไม่อนุญาตให้ไปถ่ายทำกันที่หาดนอร์มองดีของจริง
3. บทของจ่าอากาศเอกไมค์ ฮอร์วาธนั้นตอนแรกถูกเสนอให้ บิลลี่ บ็อบ ธอร์นตัน มารับบท แต่ธอร์นตันบอกปัดไปเพราะกลัวน้ำและไม่อยากถ่ายทำฉากยกพลขึ้นบกด้วย
4. ผลสุดท้ายบทจ่าอากาศเอกฮอร์วาธเลยมาลงตัวที่นักแสดง ทอม ไซส์มอร์ ซึ่งผู้กำกับสปีลเบิร์กลังเลมากว่าจะให้เขามารับบทนี้ดีไหมเพราะตอนนั้นไซส์มอร์ดันมีปัญหาเรื่องติดยาอยู่ อย่างไรก็ดี สปีลเบิร์กได้รับใบยืนยันว่าผลบำบัดของไซส์มอร์นั้นได้ผลทุกวัน แต่พร้อมกันนี้เขาก็ขู่นักแสดงหนุ่มด้วยว่า ถ้าเกิดผลบำบัดผลบำบัดยังแสดงผลว่าไซส์มอร์ยังติดสารเสพติดอยู่ มีอันได้ถ่ายใหม่ทุกฉากแน่ๆ (T T โห่ย)
5. ตอนแรกสปีลเบิร์กคิดว่า แมตต์ ดามอน ผอมไปสำหรับบทพลทหารเจมส์ ไรอัน แต่ก็เปลี่ยนความคิดเมื่อได้พบปะกันในที่สุด
6. เรื่องเกี่ยวกับพี่ชายที่พลทหารไรอันเล่านั้นไม่มีอยู่ในบท แต่แมตต์ด้นขึ้นมาเองล้วนๆ และสปีลเบิร์กก็ตัดสินใจยัดมันลงในหนัง
7. ฉากพลทหารสแตนลีย์ เมลลิช ถูกทหารอีกฝ่ายแทง ทหารฝ่ายนั้นกล่าวเป็นภาษาเยอรมันว่า "ยอมแพ้ซะ นี่เป็นโอกาสของแกแล้ว มันง่ายสำหรับแกนะ ง่ายกว่ามาก"
8. สปีลเบิร์กจำต้องตัดฉากรุนแรงจากสงครามออกร่วมๆ 5 นาที เพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับเรต nc-17
9. บทกัปตันที่ทอม แฮงค์รับเล่นนั้นอายุ 41 ปี ทั้งที่ความเป็นจริงในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กัปตันของเหล่าทหารราบมีอายุเฉลี่ย 26 ปีเท่านั้น
10. ฉากที่แจ็คสัน สไนเปอร์ผู้ยิงทหารเยอรมันร่วงผ่านกล้องโทรทรรศน์ปืนนั้นเป็นการแสดงความเคารพต่อนาวิกโยธินคาร์ลอส แฮทช์ค็อกค์-สไนเปอร์ที่สอยสไนเปอร์ฝ่ายตรงข้ามผ่านกล้องโทรทรรศน์
11. เสียงปืนในเรื่องเป็นเสียงจากปืนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จริงๆ เพราะสปีลเบิร์กอยากให้มันออกมาสมจริงที่สุด
12. และก็เพื่อความสมจริงอีกเช่นกัน ผู้กำกับเลยไปเชิญเดล ไดย์ อดีตนาวิกโยธิน (และร่วมแสดงเป็นท่านผู้พันในหนังเรื่องนี้ด้วย) มาเป็นติวเตอร์ให้นักแสดง งานนี้เลยรากเลือดกันแบบไม่ต้องถาม จัดให้นักแสดงซิทอัพ, ลุกนั่ง, วิ่งกว่า 6 ไมล์และฝึกการใช้อาวุธ
13. ฉากเปิดตัวของเรื่องนี้ ได้มาจากเมื่อครั้งสปีลเบิร์กไปโปรโมตเรื่อง Duel เมื่อปี 1972 ที่ฝรั่งเศสและเห็นสุสานทหารนอร์มังดีเข้า "ผมเห็นชายคนหนึ่งเดินตรงมาพร้อมกับคนทั้งครอบครัว เขาทรุดตัวลงอยู่หน้ากางเขนและดาว 6 แฉก (สัญลักษณ์ของชาวยิว) และตั้งต้นสะอื้นอย่างคุมไม่อยู่ คนในครอบครัวต้องพยุงเขายืนขึ้น นั่นแหละ เป็นที่มาของหนัง มันเริ่มจากสิ่งที่ผมสังเกตเห็นตรงหน้านี่เอ
ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันนะคะ
Page: https://www.facebook.com/llkhimll
Blog: http://llkhimll.wordpress.com/