ช่วงแรกๆที่คิมมี่เปลี่ยนสถานที่เรียนจากเด็กเนิสเซอรี่ ไปเป็นเด็กอนุบาล มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งเพื่อนใหม่ สถานที่ใหม่ ครูคนใหม่ สภาพแวดล้อมใหม่ แล้วเธอไม่ได้ไปเรียนเตรียมซัมเมอร์ก่อนเข้าเรียนเลย ทำให้เมื่อเข้าไปเรียนตอนเปิดเทอม เจอเพื่อนๆเขารู้จักสนิทสนมกันแล้ว เธอร้องไห้ทุกวันก่อนไปโรงเรียน อาการคือ เช้า ปลุกให้ตื่นก็งอแง บอกไม่มีแรง หนูเหนื่อย (นอนทั้งคืนเนี่ยนะ) หนูไม่อยากไปโรงเรียน จนแม่กับพ่อต้องหาสารพัดวิธีเทคนิคกล่อมลูกให้ไปโรงเรียน
ซึ่งผลคือ ลูกชอบไปโรงเรียนมากขึ้น และมากขึ้น วัดจากเมื่อเช้านี้เธอดื่มนมมากไปหน่อย แล้วทานข้าวตาม ผลคืออ้วก ตอนแรกก็กะว่าจะให้พักอยู่กับบ้าน แต่ 8 โมงกว่า เห็นเธอแข็งแรง วิ่งเล่นได้ปกติ เลยถามลูกว่าจะไปโรงเรียนไหม ตอนแรกอิดออด แต่อีก 5 นาทีหลังจากเก๋ใช้เทคนิคกล่อมเกลา คิมมี่ตะโกนบอกป่าป๊า “ เอาเสื้อผ้านักเรียนมาให้หน่อย หนูจะไปโรงเรียน”
ทำอย่างไรให้ลูกอยากไปโรงเรียนทุกวัน เก๋มีเทคนิคมาแชร์ค่ะ
1. ให้คนที่ลูกรู้จักคุ้นเคยไปรับ-ส่งลูกที่โรงเรียน
ช่วงอาทิตย์แรกให้พ่อแม่หรือคนที่ลูกคุ้นเคย (ตา ยาย พี่เลี้ยง) ไปรับไป- ส่ง ทุกวันค่ะ ซึ่งครอบครัวของเก๋ เก๋จะเป็นคนไปรับส่งลูกด้วยตัวเองทุกวัน เพราะตอนนี้ออกมาทำงานอาชีพอิสระ (ที่ปรึกษา,วิทยากร)จึงบริหารเวลาได้ อาจจะมีบางวันที่ติดงานจริงๆก็จะให้ป่าป๊าคิมมี่มารับแทน
2. หาสิ่งที่ลูกชอบในโรงเรียนมาเป็นแรงดึงดูด
เมื่อเข้าไปเรียนได้สักพักแล้ว เราจะสังเกตได้ว่า ลูกจะกระตือลือล้นหรือชอบอะไรในโรงเรียน ยกตัวอย่างคิมมี่ ลูกจะชอบวันพุธเพราะมีวิชาว่ายน้ำ และหลังเลิกเรียนจะชอบไปเล่นที่สนามเด็กเล่น หรือที่คิมมี่มักจะเรียกว่า “หนูอยากไปเล่นที่สนามสนุกสนาน “
เก๋บอกคิมมี่” ถ้าวันนี้หนูเป็นเด็กดี หนูไม่ร้องไห้ตอนตื่นนอน และยิ้มให้คุณครูตอนเข้าห้องเรียน แม่จะให้ไปเล่นที่สนามสนุกสนาน 1 ชั่วโมง“ การมีสิ่งที่ชอบในโรงเรียนจะเป็นแรงขับได้อย่างดีให้กับลูกชอบและรักที่จะไปโรงเรียนทุกวัน
3. ไม่อ้างอิงคุณครูหรือโรงเรียนในการทำโทษเด็ก
เพราะเด็กจะรู้สึกไม่ดี เช่น กลับมาบ้านแล้ว เด็กมัวแต่ห่วงเล่น ดูทีวี ไม่ทำการบ้าน ผู้ปกครองบางท่านอาจจะเผลอขู่เด็กไปว่า “ไม่ทำการบ้าน เดี๋ยวครูตีเถอะ “ เด็กจะรู้สึกไม่ชอบ การบ้าน ไม่ชอบครู แล้วพานไม่อยากไปโรงเรียนด้วย ดังนั้นควรกำหนดเวลาการดูทีวีหรือพักผ่อนเวลาที่อยู่ที่บ้านหลังจากที่ทานข้าว และทำการบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว หากให้เล่นหรือดูทีวีก่อน แล้วค่อยเรียกมาทำการบ้าน ยากมาก แหม...ก็เข้าใจนะว่ามันกำลังสนุก
แต่เด็กก็คือเด็ก ของเล่นที่ดีที่สุดคือพ่อแม่ ถ้าเราทำกิจกรรมทำการบ้านให้สนุกโดยใช้เราไปเล่นกับลูกด้วย เขาก็ไม่สนใจทีวีหรือของเล่นอย่างอื่นค่ะ
4.ให้กำลังใจลูกในการทำความดีหรือการบ้านจากโรงเรียน
คิมมี่ลูกเก๋จะขยันอ่านหนังสือ A B C กับ ก ข ค..มาก อ่านแล้วอ่านอีก เพราะพอลูกอ่านเสร็จ และอ่านถูก เช่น A-ant-มด (ลูกอ่านว่า “ เอ แอนด์ มด) เก๋ก็จะปรบมือให้กำลังใจเขาว่าอ่านถูกแต่คำไหนที่อ่านผิด ก็จะช่วยแก้ไขให้ถูกต้อง และไม่ปรบมือ ลูกจะชอบมากเวลาเก๋ปรบมือให้กำลังใจ
เมื่อวาน ซัดไป 3 รอบ แม่งี้...ตบจนมือเกือบเดี้ยง..
5. หาขนมให้ลูกติดไม้ติดมือไปแบ่งเพื่อนบ้าง
ที่โรงเรียนจะมีช่วงพักเบรคให้ทานขนม ซึ่งที่โรงเรียนจะเตรียมไว้ให้ แต่คุณครูบอกว่า ถ้าผู้ปกครองบางท่านอยากให้ลูกทานอะไรก็จะใส่กระเป๋าไปได้ ช่วงพักคุณครูจะจัดให้น้องทาน เก๋จะเตรียมขนมที่เป็นชิ้นเล็กๆ อาจจะเป็นผลไม้บ้าง พวกกล้วยไข่เล็กๆ เชอรี่ สตอเบอรี่ ช้อคโกแล็ต เยลลี่ แบบที่เป็นซองหรือชิ้นเล็กๆสัก 5-6 ชิ้น แล้วบอกคิมมี่ว่า ถ้าหนูอิ่มให้แบ่งเพื่อนบ้างนะคะ
ผลลัพธ์ที่คุณครูบอกคือ คิมมี่มีขนมไปแบ่งเพื่อน บางวันแบ่งจนลืมให้ตัวเอง แต่ข้อดีคือ วันไหนคิมมี่ไม่มีขนมไป เพื่อนๆก็จะเรียกคิมมี่ไปทานขนมที่เขาเอามาด้วย หรือบางที่เพื่อนมีขนมน่าทานมา แล้วคิมมี่เห็นอยากทานด้วย เพื่อนๆก็จะแบ่งให้ด้วย
นอกจากจะเป็นการสอนลูกให้ลูกจักแบ่งปันแล้ว ยังส่งผลให้ลูกรู้สึกว่า ได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆเพราะตัวเองมีน้ำใจ และเพื่อนก็มีน้ำใจให้คิมมี่ด้วย คือมีทั้งการ Give และ Take ค่ะ เอ...แบบนี้เขาไม่เรียกว่าประชานิยมหรอกเน๊อะ หุหุ...
6. ใช้เทคนิค NLP Neuro-linguistic programming (NLP)
NLP ย่อมาจาก Neuro-Linguistic Programming เป็นการใช้ 3 ส่วน คือ ประสาทวิทยา (Neurology), ภาษา (Language) และการโปรแกรม (Programming) ที่ผลต่อการสร้างประสบการณ์ของมนุษย์ ซึ่งเก๋ได้ไปเรียน NLP course มา อันนี้จะไม่พูดยาวนะคะ ดังนั้นการใช้จึงมีหลักการที่ถูกปฏิบัติจากตัวเองมาก่อน
สิ่งที่ทำคือ ก่อนนอน เก๋จะบอกคิมมี่ว่า “คิมมี่คะ คืนนี้หนูจะนอนอย่างมีความสุข ฝันดี อากาศสบาย คิมมี่นอนยาวไปจนถึงเช้า ตื่นขึ้นมาตอนเช้าอย่างสดชื่น
หนูแข็งแรง มีแรงเยอะๆ ตื่นแล้วยิ้มให้ป่าป๊า อาบน้ำเสร็จ ทานเช้า ไปโรงเรียน หนูยิ้มให้คุณครูก่อนเดินเข้าไปในห้องเรียน เรียนทั้งวัน ด้วยความสนุกสนานในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ พอตกเย็นแม่ไปรับหนูได้เล่นที่สนามสนุกสนาน (ตามที่คิมมี่เรียกสนามเด็กเล่น)แล้วก็กลับบ้านอาบน้ำ สะอาด ทานข้าว ทำการบ้านอย่างมีความสุข แล้วเข้านอน อย่างมีความสุข พ่อแม่รักหนูค่ะ “ (พูดประมาณๆนี้ค่ะ)
เมื่อลูกได้ฟังคำพูดๆดีๆ ประสบการณ์ดีๆที่ผ่านมา สิ่งที่เขาชอบ เขามีความสุข เขาก็จะมีความสุขค่ะ ให้เลือกใช้คำที่เป็นบวก ไม่ใช้คำว่า “ห้าม ไม่ หรือคำที่เป็นลบ โดยเลี่ยงคำแบบนี้ค่ะ ตัวอย่าง “ ไม่อ้วน ให้ใช้คำว่า สมส่วน “ “ ไม่สนุก ใช้คำว่า ได้ประสบการณ์ใหม่” เป็นการโปรแกรมภาพของวันพรุ่งนี้ที่มีความสุขให้เขาจินตนาการถึงวันพรุ่งนี้อย่างมีความสุขค่ะ
วิธีนี้เก๋มีแนะนำเพื่อนที่มีปัญหาลูกขวบกว่า ตื่นมาเล่นตอนตี 3 จนถึงเช้าทุกวันแล้วใช้สารพัดวิธีแก้ไขแล้ว ไม่ว่าจะงดนอนกลางวัน เล่นเยอะๆ ฯลฯ แต่แก้ไม่ได้
เก๋แนะเพื่อนว่าให้พูดกับลูกตอนลูกเคลิ้มๆ ประมาณ ว่า “หนูนอนหลับยาวตลอดคืน ตื่นมาดื่มนม 1 ครั้ง หนูมีความสุข หนูแข็งแรง แล้วหนูตื่นนอนอีกทีตอนเช้าด้วยความสดชื่น และเล่นกับแม่อย่างมีความสุขในตอนกลางวัน ฯ “ เลือกใช้คำบวกๆ
ผลลัพธ์หลัง 1 อาทิตย์คือ น้องหลับยาว สนิทถึงเช้า และไม่ดิ้นด้วย อันนี้ลองเอาไปปรับใช้ดูนะคะ
ทั้ง 6 เทคนิค เก๋ลองใช้ด้วยตัวเองแล้ว ได้ผลดี ลูกมีความสุข ครอบครัวมีความสุข จริงๆแล้วมีอีกเยอะ แต่หลักๆก็จะประมาณนี้ค่ะ เลยเอามาแชร์ให้อ่านกัน เผื่อเป็นไอเดียให้ผู้ปกครองท่านอื่นๆที่อยากให้ตัวเล็กของบ้านมีความสุขในการไปโรงเรียนค่ะ
ใครมีไอเดียอะไร มาแชร์กันได้นะคะ เพราะลูกเล็กไม่อยากไปโรงเรียนน่าจะเป็นปัญหาระดับครอบครัวเลยทีเดียว 555
6 เทคนิคทำให้ลูกอยากไปโรงเรียนทุกวัน
ช่วงแรกๆที่คิมมี่เปลี่ยนสถานที่เรียนจากเด็กเนิสเซอรี่ ไปเป็นเด็กอนุบาล มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งเพื่อนใหม่ สถานที่ใหม่ ครูคนใหม่ สภาพแวดล้อมใหม่ แล้วเธอไม่ได้ไปเรียนเตรียมซัมเมอร์ก่อนเข้าเรียนเลย ทำให้เมื่อเข้าไปเรียนตอนเปิดเทอม เจอเพื่อนๆเขารู้จักสนิทสนมกันแล้ว เธอร้องไห้ทุกวันก่อนไปโรงเรียน อาการคือ เช้า ปลุกให้ตื่นก็งอแง บอกไม่มีแรง หนูเหนื่อย (นอนทั้งคืนเนี่ยนะ) หนูไม่อยากไปโรงเรียน จนแม่กับพ่อต้องหาสารพัดวิธีเทคนิคกล่อมลูกให้ไปโรงเรียน
ซึ่งผลคือ ลูกชอบไปโรงเรียนมากขึ้น และมากขึ้น วัดจากเมื่อเช้านี้เธอดื่มนมมากไปหน่อย แล้วทานข้าวตาม ผลคืออ้วก ตอนแรกก็กะว่าจะให้พักอยู่กับบ้าน แต่ 8 โมงกว่า เห็นเธอแข็งแรง วิ่งเล่นได้ปกติ เลยถามลูกว่าจะไปโรงเรียนไหม ตอนแรกอิดออด แต่อีก 5 นาทีหลังจากเก๋ใช้เทคนิคกล่อมเกลา คิมมี่ตะโกนบอกป่าป๊า “ เอาเสื้อผ้านักเรียนมาให้หน่อย หนูจะไปโรงเรียน”
ทำอย่างไรให้ลูกอยากไปโรงเรียนทุกวัน เก๋มีเทคนิคมาแชร์ค่ะ
1. ให้คนที่ลูกรู้จักคุ้นเคยไปรับ-ส่งลูกที่โรงเรียน
ช่วงอาทิตย์แรกให้พ่อแม่หรือคนที่ลูกคุ้นเคย (ตา ยาย พี่เลี้ยง) ไปรับไป- ส่ง ทุกวันค่ะ ซึ่งครอบครัวของเก๋ เก๋จะเป็นคนไปรับส่งลูกด้วยตัวเองทุกวัน เพราะตอนนี้ออกมาทำงานอาชีพอิสระ (ที่ปรึกษา,วิทยากร)จึงบริหารเวลาได้ อาจจะมีบางวันที่ติดงานจริงๆก็จะให้ป่าป๊าคิมมี่มารับแทน
2. หาสิ่งที่ลูกชอบในโรงเรียนมาเป็นแรงดึงดูด
เมื่อเข้าไปเรียนได้สักพักแล้ว เราจะสังเกตได้ว่า ลูกจะกระตือลือล้นหรือชอบอะไรในโรงเรียน ยกตัวอย่างคิมมี่ ลูกจะชอบวันพุธเพราะมีวิชาว่ายน้ำ และหลังเลิกเรียนจะชอบไปเล่นที่สนามเด็กเล่น หรือที่คิมมี่มักจะเรียกว่า “หนูอยากไปเล่นที่สนามสนุกสนาน “
เก๋บอกคิมมี่” ถ้าวันนี้หนูเป็นเด็กดี หนูไม่ร้องไห้ตอนตื่นนอน และยิ้มให้คุณครูตอนเข้าห้องเรียน แม่จะให้ไปเล่นที่สนามสนุกสนาน 1 ชั่วโมง“ การมีสิ่งที่ชอบในโรงเรียนจะเป็นแรงขับได้อย่างดีให้กับลูกชอบและรักที่จะไปโรงเรียนทุกวัน
3. ไม่อ้างอิงคุณครูหรือโรงเรียนในการทำโทษเด็ก
เพราะเด็กจะรู้สึกไม่ดี เช่น กลับมาบ้านแล้ว เด็กมัวแต่ห่วงเล่น ดูทีวี ไม่ทำการบ้าน ผู้ปกครองบางท่านอาจจะเผลอขู่เด็กไปว่า “ไม่ทำการบ้าน เดี๋ยวครูตีเถอะ “ เด็กจะรู้สึกไม่ชอบ การบ้าน ไม่ชอบครู แล้วพานไม่อยากไปโรงเรียนด้วย ดังนั้นควรกำหนดเวลาการดูทีวีหรือพักผ่อนเวลาที่อยู่ที่บ้านหลังจากที่ทานข้าว และทำการบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว หากให้เล่นหรือดูทีวีก่อน แล้วค่อยเรียกมาทำการบ้าน ยากมาก แหม...ก็เข้าใจนะว่ามันกำลังสนุก
แต่เด็กก็คือเด็ก ของเล่นที่ดีที่สุดคือพ่อแม่ ถ้าเราทำกิจกรรมทำการบ้านให้สนุกโดยใช้เราไปเล่นกับลูกด้วย เขาก็ไม่สนใจทีวีหรือของเล่นอย่างอื่นค่ะ
4.ให้กำลังใจลูกในการทำความดีหรือการบ้านจากโรงเรียน
คิมมี่ลูกเก๋จะขยันอ่านหนังสือ A B C กับ ก ข ค..มาก อ่านแล้วอ่านอีก เพราะพอลูกอ่านเสร็จ และอ่านถูก เช่น A-ant-มด (ลูกอ่านว่า “ เอ แอนด์ มด) เก๋ก็จะปรบมือให้กำลังใจเขาว่าอ่านถูกแต่คำไหนที่อ่านผิด ก็จะช่วยแก้ไขให้ถูกต้อง และไม่ปรบมือ ลูกจะชอบมากเวลาเก๋ปรบมือให้กำลังใจ
เมื่อวาน ซัดไป 3 รอบ แม่งี้...ตบจนมือเกือบเดี้ยง..
5. หาขนมให้ลูกติดไม้ติดมือไปแบ่งเพื่อนบ้าง
ที่โรงเรียนจะมีช่วงพักเบรคให้ทานขนม ซึ่งที่โรงเรียนจะเตรียมไว้ให้ แต่คุณครูบอกว่า ถ้าผู้ปกครองบางท่านอยากให้ลูกทานอะไรก็จะใส่กระเป๋าไปได้ ช่วงพักคุณครูจะจัดให้น้องทาน เก๋จะเตรียมขนมที่เป็นชิ้นเล็กๆ อาจจะเป็นผลไม้บ้าง พวกกล้วยไข่เล็กๆ เชอรี่ สตอเบอรี่ ช้อคโกแล็ต เยลลี่ แบบที่เป็นซองหรือชิ้นเล็กๆสัก 5-6 ชิ้น แล้วบอกคิมมี่ว่า ถ้าหนูอิ่มให้แบ่งเพื่อนบ้างนะคะ
ผลลัพธ์ที่คุณครูบอกคือ คิมมี่มีขนมไปแบ่งเพื่อน บางวันแบ่งจนลืมให้ตัวเอง แต่ข้อดีคือ วันไหนคิมมี่ไม่มีขนมไป เพื่อนๆก็จะเรียกคิมมี่ไปทานขนมที่เขาเอามาด้วย หรือบางที่เพื่อนมีขนมน่าทานมา แล้วคิมมี่เห็นอยากทานด้วย เพื่อนๆก็จะแบ่งให้ด้วย
นอกจากจะเป็นการสอนลูกให้ลูกจักแบ่งปันแล้ว ยังส่งผลให้ลูกรู้สึกว่า ได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆเพราะตัวเองมีน้ำใจ และเพื่อนก็มีน้ำใจให้คิมมี่ด้วย คือมีทั้งการ Give และ Take ค่ะ เอ...แบบนี้เขาไม่เรียกว่าประชานิยมหรอกเน๊อะ หุหุ...
6. ใช้เทคนิค NLP Neuro-linguistic programming (NLP)
NLP ย่อมาจาก Neuro-Linguistic Programming เป็นการใช้ 3 ส่วน คือ ประสาทวิทยา (Neurology), ภาษา (Language) และการโปรแกรม (Programming) ที่ผลต่อการสร้างประสบการณ์ของมนุษย์ ซึ่งเก๋ได้ไปเรียน NLP course มา อันนี้จะไม่พูดยาวนะคะ ดังนั้นการใช้จึงมีหลักการที่ถูกปฏิบัติจากตัวเองมาก่อน
สิ่งที่ทำคือ ก่อนนอน เก๋จะบอกคิมมี่ว่า “คิมมี่คะ คืนนี้หนูจะนอนอย่างมีความสุข ฝันดี อากาศสบาย คิมมี่นอนยาวไปจนถึงเช้า ตื่นขึ้นมาตอนเช้าอย่างสดชื่น
หนูแข็งแรง มีแรงเยอะๆ ตื่นแล้วยิ้มให้ป่าป๊า อาบน้ำเสร็จ ทานเช้า ไปโรงเรียน หนูยิ้มให้คุณครูก่อนเดินเข้าไปในห้องเรียน เรียนทั้งวัน ด้วยความสนุกสนานในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ พอตกเย็นแม่ไปรับหนูได้เล่นที่สนามสนุกสนาน (ตามที่คิมมี่เรียกสนามเด็กเล่น)แล้วก็กลับบ้านอาบน้ำ สะอาด ทานข้าว ทำการบ้านอย่างมีความสุข แล้วเข้านอน อย่างมีความสุข พ่อแม่รักหนูค่ะ “ (พูดประมาณๆนี้ค่ะ)
เมื่อลูกได้ฟังคำพูดๆดีๆ ประสบการณ์ดีๆที่ผ่านมา สิ่งที่เขาชอบ เขามีความสุข เขาก็จะมีความสุขค่ะ ให้เลือกใช้คำที่เป็นบวก ไม่ใช้คำว่า “ห้าม ไม่ หรือคำที่เป็นลบ โดยเลี่ยงคำแบบนี้ค่ะ ตัวอย่าง “ ไม่อ้วน ให้ใช้คำว่า สมส่วน “ “ ไม่สนุก ใช้คำว่า ได้ประสบการณ์ใหม่” เป็นการโปรแกรมภาพของวันพรุ่งนี้ที่มีความสุขให้เขาจินตนาการถึงวันพรุ่งนี้อย่างมีความสุขค่ะ
วิธีนี้เก๋มีแนะนำเพื่อนที่มีปัญหาลูกขวบกว่า ตื่นมาเล่นตอนตี 3 จนถึงเช้าทุกวันแล้วใช้สารพัดวิธีแก้ไขแล้ว ไม่ว่าจะงดนอนกลางวัน เล่นเยอะๆ ฯลฯ แต่แก้ไม่ได้
เก๋แนะเพื่อนว่าให้พูดกับลูกตอนลูกเคลิ้มๆ ประมาณ ว่า “หนูนอนหลับยาวตลอดคืน ตื่นมาดื่มนม 1 ครั้ง หนูมีความสุข หนูแข็งแรง แล้วหนูตื่นนอนอีกทีตอนเช้าด้วยความสดชื่น และเล่นกับแม่อย่างมีความสุขในตอนกลางวัน ฯ “ เลือกใช้คำบวกๆ
ผลลัพธ์หลัง 1 อาทิตย์คือ น้องหลับยาว สนิทถึงเช้า และไม่ดิ้นด้วย อันนี้ลองเอาไปปรับใช้ดูนะคะ
ทั้ง 6 เทคนิค เก๋ลองใช้ด้วยตัวเองแล้ว ได้ผลดี ลูกมีความสุข ครอบครัวมีความสุข จริงๆแล้วมีอีกเยอะ แต่หลักๆก็จะประมาณนี้ค่ะ เลยเอามาแชร์ให้อ่านกัน เผื่อเป็นไอเดียให้ผู้ปกครองท่านอื่นๆที่อยากให้ตัวเล็กของบ้านมีความสุขในการไปโรงเรียนค่ะ
ใครมีไอเดียอะไร มาแชร์กันได้นะคะ เพราะลูกเล็กไม่อยากไปโรงเรียนน่าจะเป็นปัญหาระดับครอบครัวเลยทีเดียว 555