เรากับแฟน คบกันมาได้ 5 ปี ก่อนจะตกลงแต่งงานกัน
ตลอดระยะเวลาที่เป็นแฟนเราเจอกัน อาทิตย์ละ 1 ครั้ง โดยทุกครั้ง
เค้าเป็นคนเลี้ยงข้าวเราตลอด
(ไม่ได้กินหรูมากมาย กินอาหารทั่วไปในห้างหรือบางครั้งก็
ข้าวต้มข้างทางปกติ เราติดดินค่ะ)
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายอื่นๆเราดูแลตัวเอง และไม่เคยรบกวนเงินแฟนเลย
เพราะคิดว่ามีงานทำ ก็พึ่งตัวเองได้ กลัวเค้าจะมองเราไม่ดีด้วย
.......................................................................................
สามีเป็นคนไม่เที่ยว ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เจ้าชู้ ดูใจเย็น
เป็นผู้ใหญ่ใจดี ที่น่าจะสามารถฝากชีวิตไว้ได้
และเคยสัญญากับเราว่า ถ้าแต่งงานไป เงินเดือนทั้งหมด
จะมอบให้เราจัดการเลย (ช่วงโปรก็เป็นแบบนี้สินะ )
ต้องออกตัวก่อนนะว่าเราไม่ได้เห็นแก่เงิน
แต่ชอบเค้าเพราะตามใจเรา และใจเย็น เรื่องเงิน ถ้ารักกันจริง
มาสู้ด้วยกัน ยังจะดูดีซะกว่า
ตอนคบกันเค้าก็ไม่เคยสปอยเรา ไม่ซื้อของแพงให้ แบรนด์เนมไม่มี
เพราะเราไม่ใช้ 555...ก็บอกแล้วว่ารักที่เค้าเป็นเค้า
......................................................................................
เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม จึงตกลงแต่งงานกัน โดยบ้านเรา
ไม่เรียกสินสอดอะไร พ่อแม่ขอแค่เค้าดูแลเราให้ดีก็พอ
และที่แม่ยอม เพราะดูท่าทางเค้ามีหน้าที่การงานที่ดี มั่นคง
เป็นผู้ใหญ่มาก...เค้าแก่กว่าเรา 10 ปี
เมื่อถึงวันจะแต่งงานเพียง 1 วัน เราทะเลาะกันแรง
เหตุผลเพราะ เค้ามาบอกเราว่า รับเรื่องค่าใช้จ่าย
ในงานแต่งไม่ไหว
เพราะก่อนหน้านี้ มีการถ่ายรูป Pre-wedding ก็หมดเงินไป
ประมาณหนึ่งแล้ว เค้าบอกเลิกเรา บอกว่าไปต่อไม่ได้แล้ว
และเพิ่งมาสารภาพว่า...
มีหนี้เยอะมาก รวมกันน่าจะหลายแสนอยู่ โดยเป็นหนี้บัตรเครดิต
บัตรกดเงินสด และอื่นๆอีกมากมาย ที่ไม่รวมกับหนี้บ้านที่เพิ่งซื้อนะคะ
เราถามว่ามันมาจากไหนมากมายเยอะแยะ เค้าบอกว่าเป็นที่ตัวเค้าเอง
ที่ผิดพลาดในการวางแผนการเงิน
และแอบว่าเรานิดๆว่า ที่เลี้ยงข้าวเราไปตลอด 5 ปีก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง
เรางี้อึ้งเลย...จะให้ยกเลิกงานแต่งตอนนี้ คงไม่ทันแล้ว
เพราะแคร์ความรู้สึกของพ่อแม่มาก TT
เค้าเลยบอกว่า ถ้าจะแต่ง ให้เรารับผิดชอบค่าใช้จ่าย
ในงานแต่งทั้งหมด ให้ได้มั้ย ?
เพราะเค้าต้องยืมเงิน และทองจากพ่อแม่ ญาติพี่น้อง
มาวางโชว์ในวันแต่งอีก
เราเลยตกลง เพราะเดินมาขนาดนี้ ถอยไป
โดนพ่อแม่ ฆ่าตายแน่ๆเรา
ต้องยอมรับว่า มองโลกในแง่ดีเกินไป ไม่เคยตรวจเช็ค
หรือเอะใจใดๆ เพราะเป็นคนเชื่อคนง่าย
รู้งี้เช็คเครดิตบูโรก่อนน่าจะดี >> อันนี้ขอเตือนสาวๆ
ไม่รวยไม่ว่า แต่อย่ามาหนี้เยอะสิคะ
........................................................................
กลับมาที่วันจัดงาน ....
เงินสินสอด และทองทุกอย่าง แม่เราคืนให้เจ้าบ่าวหมดเลย
และเค้าก็เอากลับบ้านเค้าไปหมดเลยจริงๆ
ไม่เหลือไว้ให้เราทำทุนเลยสักบาท...อันนี้ไม่โกรธนะ ทำใจ
แต่ที่ฝังใจมาทุกวันนี้ คือมีทองเส้นเล็กๆเพียงเส้นเดียว
ที่เค้าเก็บไว้ให้เรา พอเราจะเอากลับไปฝากแม่ที่บ้าน
เค้ากลับบอกว่า เอาไปฝากที่บ้านพ่อแม่เค้าแล้ว
เพราะกลัวจะเผลอเอาไปขาย
เอ่อ...เด๋วนะ คุณค่าไม่ได้อยู่ทอง แต่คุณค่าด้านจิตใจมันมีสูง
ถ้าคุณเลี้ยงดูเราดี หลังแต่งงาน เราว่าเงินทอง
ก่อนแต่งหรือสินสอด มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก
(เราว่า พ่อแม่เราก็คิดแบบนั้น เพราะถูกสอนมาให้พึ่งตัวเอง
อย่าไปรบกวนเงินใคร)
พอเราจะเอาทองคืนเค้าก็อิดออก ผลัดมาจนเดี๋ยวนี้ คิดว่าจะได้มั้ย ตอบ !
.................................................................................................
ปัญหามันเริ่มเกิดตั้งแต่วันแต่งงานจน ปัจจุบัน 3-4 ปีที่ผ่านมา
เราทะเลาะกันตลอด จะเรื่องอะไร ก็เรื่องเงินนี่แหละ
เราโกรธที่เค้าไม่บอกเราเรื่องมีหนี้ เค้าบอกถ้าบอกไปเราจะรับได้เหรอ
แต่เรากลับคิดว่าถ้ารู้ ตรูจะแต่งมั้ย เฮ้อ !
................................................................................................
เล่าต่อๆ...
ช่วง 3 ปีแรกที่แต่งงานเรายังคงต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเอง
และอยู่คอนโดในเมือง ที่ซื้อเอง ผ่อนเอง
โดยที่สามีไม่ได้ส่งเสียอะไรเลย ยกเว้นเลี้ยงข้าวเหมือนเดิม
พอปีที่ 4 เราเริ่มสุขภาพร่างกายย่ำแย่ เค้าเลยบอกว่า
ลาออกมาอยู่บ้านเค้าเถอะ แล้วค่อยมาหางานทำแถวบ้าน ที่อยู่นอกเมือง
จะได้เป็นครอบครัวจริงๆซะที เราก็เลยตัดสินใจย้ายมาอยู่บ้าน คาดหวังว่า
ทุกอย่างมันจะดีขึ้น แต่มันดันกลับแย่ลง!
เงินเดือนเค้าเยอะก็จริง เฉียดแสน แต่หนี้ก็เฉียดแสนต่อเดือนเหมือนกัน
เค้าเริ่มบ่นและอารมณ์เสีย ในทุกๆสิ่งที่กินที่ใช้ ทั้งๆที่ก็ไม่ได้กินหรูใช้หรูอะไรเลย
เพียงแต่เราต้องให้เค้า รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ
ของใช้จำเป็น สบู่ ยาสีฟัน บลาๆๆๆ
เนื่องจากเรายังหางานทำไม่ได้ แต่พอมีเงินเก็บจากการทำงานประจำมา 10 ปีอยู่บ้าง
และยังต้องผ่อนคอนโดโดยใช้เงินเก็บตัวเอง
.......................................................................................................
จุดเปลี่ยนจุดที่ 2 อยู่ตรงที่ เมื่อผ่านไป 1 ปี จากการเป็นแม่บ้าน(ชั่วคราวที่เริ่มจะถาวร)
เราขายอสังหาฯ ได้กำไรมาก้อนหนึ่ง จึงแพลนที่จะ เอาเงินมาผ่าตัด
และลงทุนเรียนเพิ่มเติม เพื่อทำอาชีพที่เรารัก และเอาเงินส่วนหนึ่งไปให้พ่อแม่
เค้ากลับบอกว่า ขอยืมเงินก้อนหนึ่ง มาโปะหนี้ก่อนได้มั้ย อย่าเพิ่งบอกพ่อแม่ว่ามีเงิน
เราบอกว่า ให้ยืมได้แค่ 1 แสนบาทเท่านั้นนะ เพราะเราจำเป็นต้องใช้เงินรักษาตัวจริงๆ
เค้าโกรธใส่เราและเหวี่ยงวีนมาก ว่าเราไม่มีน้ำใจ คิดถึงแต่ตัวเอง
ไม่นึกถึงตลอดเวลา ที่เค้าอุ้มชูเรามา
เราก้อึ้ง สุดท้ายเลยให้ยืมมากว่า 1 แสนไป และเค้าตกลงจะผ่อนคืนให้เรา
เดือนละ 10,000 บาท
ประเด็นอยู่ที่เราเพิ่งมาตรวจพบว่า จะต้องผ่าตัดอีกโรคหนึ่งที่ด่วนกว่านั้น !!!
เราจึงแกล้งลองใจกึ่งเอาจริง บอกว่าอาจจะต้องขอเงินคืน ซัก 1 แสนก่อนเพื่อเอามาผ่าตัด
จะว่าเรางกก็ได้นะ เพราะไม่อยากเอาเงินเก็บ อีกก้อนที่ก็ไม่ได้มากมายอะไรมาใช้
(เพราะก้อนนั้นต้องสำรอง เผื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่จะเกิดขึ้นอื่นๆอีก
เช่น เค้าไปมีเมียน้อยแล้วไล่เราออกจากบ้าน ไม่รู้มองโลกในแง่ร้ายมากไปป่าว 555)
เค้ากลับอารมณ์เสียใส่เราบอกว่า จะไปหาเงินก้อนมากมายขนาดนี้ได้ที่ไหน
ก็เห็นอยู่ว่าทุกวันนี้ หนี้พี่ท่วมหัวจะแย่อยู่แล้ว ถ้าจะรีบเอาคืน
เดี๋ยวไปกู้มาคืนให้ ประชดเราอีก ป๊าดด
................................................................................................................
จุดเปลี่ยนนี้ทำให้เรากลับมาคิดว่า นี่หรือคือคนที่เราเคยรัก
และคิดจะอยู่ด้วยกันตลอดไป
เราให้อภัยได้กับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในครั้งแรก
เพราะคิดว่าจะสู้ไปด้วยกันได้
อย่ามองว่า พอเรามีเงินแล้วก็จะหาเรื่องเลิก หรือทิ้งเค้านะ
แต่แค่กำลังรู้สึกว่า นับวันชีวิตมีแต่แย่ลง ถอยหลังลงคลอง
มองไม่เห็นอนาคต ...
ไม่ต้องคิดถึงเรื่องมีลูก เพราะทุกวันนี้ แค่ดูแลเรา เค้ายังไม่ไหวเลย
............................................................................................
อย่าถามว่ารักมั้ย มันหมดไปตั้งแต่วันที่แต่งงาน
แต่ก็ต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้เราไม่มีทีซุกหัวนอนแล้ว ก็อาศัยอยู่บ้านเค้านี่แหละ
ถ้าเลิกกลัวว่า พ่อแม่จะรับไม่ได้ กลัวไม่มีบ้านอยู่ กลัวไปหมด โอ๊ย!!!กลุ้มใจ
เพื่อนๆคิดว่าเราควรทำอย่างไรดี ???
หยุดหรือไปต่อ ???
ขอคำแนะนำด้วยนะคะ พี่ถึงทางตันละตอนนี้
ขอบคุณล่วงหน้ามากมาย
...
ปล.ขออย่าซ้ำเติมกันเนอะ นี่ขอ
ถ้าเพิ่งทราบว่าสามี มีหนี้สินมากมาย หลังจากแต่งงาน คุณจะทำอย่างไร ?
ตลอดระยะเวลาที่เป็นแฟนเราเจอกัน อาทิตย์ละ 1 ครั้ง โดยทุกครั้ง
เค้าเป็นคนเลี้ยงข้าวเราตลอด
(ไม่ได้กินหรูมากมาย กินอาหารทั่วไปในห้างหรือบางครั้งก็
ข้าวต้มข้างทางปกติ เราติดดินค่ะ)
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายอื่นๆเราดูแลตัวเอง และไม่เคยรบกวนเงินแฟนเลย
เพราะคิดว่ามีงานทำ ก็พึ่งตัวเองได้ กลัวเค้าจะมองเราไม่ดีด้วย
.......................................................................................
สามีเป็นคนไม่เที่ยว ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เจ้าชู้ ดูใจเย็น
เป็นผู้ใหญ่ใจดี ที่น่าจะสามารถฝากชีวิตไว้ได้
และเคยสัญญากับเราว่า ถ้าแต่งงานไป เงินเดือนทั้งหมด
จะมอบให้เราจัดการเลย (ช่วงโปรก็เป็นแบบนี้สินะ )
ต้องออกตัวก่อนนะว่าเราไม่ได้เห็นแก่เงิน
แต่ชอบเค้าเพราะตามใจเรา และใจเย็น เรื่องเงิน ถ้ารักกันจริง
มาสู้ด้วยกัน ยังจะดูดีซะกว่า
ตอนคบกันเค้าก็ไม่เคยสปอยเรา ไม่ซื้อของแพงให้ แบรนด์เนมไม่มี
เพราะเราไม่ใช้ 555...ก็บอกแล้วว่ารักที่เค้าเป็นเค้า
......................................................................................
เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม จึงตกลงแต่งงานกัน โดยบ้านเรา
ไม่เรียกสินสอดอะไร พ่อแม่ขอแค่เค้าดูแลเราให้ดีก็พอ
และที่แม่ยอม เพราะดูท่าทางเค้ามีหน้าที่การงานที่ดี มั่นคง
เป็นผู้ใหญ่มาก...เค้าแก่กว่าเรา 10 ปี
เมื่อถึงวันจะแต่งงานเพียง 1 วัน เราทะเลาะกันแรง
เหตุผลเพราะ เค้ามาบอกเราว่า รับเรื่องค่าใช้จ่าย
ในงานแต่งไม่ไหว
เพราะก่อนหน้านี้ มีการถ่ายรูป Pre-wedding ก็หมดเงินไป
ประมาณหนึ่งแล้ว เค้าบอกเลิกเรา บอกว่าไปต่อไม่ได้แล้ว
และเพิ่งมาสารภาพว่า...
มีหนี้เยอะมาก รวมกันน่าจะหลายแสนอยู่ โดยเป็นหนี้บัตรเครดิต
บัตรกดเงินสด และอื่นๆอีกมากมาย ที่ไม่รวมกับหนี้บ้านที่เพิ่งซื้อนะคะ
เราถามว่ามันมาจากไหนมากมายเยอะแยะ เค้าบอกว่าเป็นที่ตัวเค้าเอง
ที่ผิดพลาดในการวางแผนการเงิน
และแอบว่าเรานิดๆว่า ที่เลี้ยงข้าวเราไปตลอด 5 ปีก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง
เรางี้อึ้งเลย...จะให้ยกเลิกงานแต่งตอนนี้ คงไม่ทันแล้ว
เพราะแคร์ความรู้สึกของพ่อแม่มาก TT
เค้าเลยบอกว่า ถ้าจะแต่ง ให้เรารับผิดชอบค่าใช้จ่าย
ในงานแต่งทั้งหมด ให้ได้มั้ย ?
เพราะเค้าต้องยืมเงิน และทองจากพ่อแม่ ญาติพี่น้อง
มาวางโชว์ในวันแต่งอีก
เราเลยตกลง เพราะเดินมาขนาดนี้ ถอยไป
โดนพ่อแม่ ฆ่าตายแน่ๆเรา
ต้องยอมรับว่า มองโลกในแง่ดีเกินไป ไม่เคยตรวจเช็ค
หรือเอะใจใดๆ เพราะเป็นคนเชื่อคนง่าย
รู้งี้เช็คเครดิตบูโรก่อนน่าจะดี >> อันนี้ขอเตือนสาวๆ
ไม่รวยไม่ว่า แต่อย่ามาหนี้เยอะสิคะ
........................................................................
กลับมาที่วันจัดงาน ....
เงินสินสอด และทองทุกอย่าง แม่เราคืนให้เจ้าบ่าวหมดเลย
และเค้าก็เอากลับบ้านเค้าไปหมดเลยจริงๆ
ไม่เหลือไว้ให้เราทำทุนเลยสักบาท...อันนี้ไม่โกรธนะ ทำใจ
แต่ที่ฝังใจมาทุกวันนี้ คือมีทองเส้นเล็กๆเพียงเส้นเดียว
ที่เค้าเก็บไว้ให้เรา พอเราจะเอากลับไปฝากแม่ที่บ้าน
เค้ากลับบอกว่า เอาไปฝากที่บ้านพ่อแม่เค้าแล้ว
เพราะกลัวจะเผลอเอาไปขาย
เอ่อ...เด๋วนะ คุณค่าไม่ได้อยู่ทอง แต่คุณค่าด้านจิตใจมันมีสูง
ถ้าคุณเลี้ยงดูเราดี หลังแต่งงาน เราว่าเงินทอง
ก่อนแต่งหรือสินสอด มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก
(เราว่า พ่อแม่เราก็คิดแบบนั้น เพราะถูกสอนมาให้พึ่งตัวเอง
อย่าไปรบกวนเงินใคร)
พอเราจะเอาทองคืนเค้าก็อิดออก ผลัดมาจนเดี๋ยวนี้ คิดว่าจะได้มั้ย ตอบ !
.................................................................................................
ปัญหามันเริ่มเกิดตั้งแต่วันแต่งงานจน ปัจจุบัน 3-4 ปีที่ผ่านมา
เราทะเลาะกันตลอด จะเรื่องอะไร ก็เรื่องเงินนี่แหละ
เราโกรธที่เค้าไม่บอกเราเรื่องมีหนี้ เค้าบอกถ้าบอกไปเราจะรับได้เหรอ
แต่เรากลับคิดว่าถ้ารู้ ตรูจะแต่งมั้ย เฮ้อ !
................................................................................................
เล่าต่อๆ...
ช่วง 3 ปีแรกที่แต่งงานเรายังคงต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเอง
และอยู่คอนโดในเมือง ที่ซื้อเอง ผ่อนเอง
โดยที่สามีไม่ได้ส่งเสียอะไรเลย ยกเว้นเลี้ยงข้าวเหมือนเดิม
พอปีที่ 4 เราเริ่มสุขภาพร่างกายย่ำแย่ เค้าเลยบอกว่า
ลาออกมาอยู่บ้านเค้าเถอะ แล้วค่อยมาหางานทำแถวบ้าน ที่อยู่นอกเมือง
จะได้เป็นครอบครัวจริงๆซะที เราก็เลยตัดสินใจย้ายมาอยู่บ้าน คาดหวังว่า
ทุกอย่างมันจะดีขึ้น แต่มันดันกลับแย่ลง!
เงินเดือนเค้าเยอะก็จริง เฉียดแสน แต่หนี้ก็เฉียดแสนต่อเดือนเหมือนกัน
เค้าเริ่มบ่นและอารมณ์เสีย ในทุกๆสิ่งที่กินที่ใช้ ทั้งๆที่ก็ไม่ได้กินหรูใช้หรูอะไรเลย
เพียงแต่เราต้องให้เค้า รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ
ของใช้จำเป็น สบู่ ยาสีฟัน บลาๆๆๆ
เนื่องจากเรายังหางานทำไม่ได้ แต่พอมีเงินเก็บจากการทำงานประจำมา 10 ปีอยู่บ้าง
และยังต้องผ่อนคอนโดโดยใช้เงินเก็บตัวเอง
.......................................................................................................
จุดเปลี่ยนจุดที่ 2 อยู่ตรงที่ เมื่อผ่านไป 1 ปี จากการเป็นแม่บ้าน(ชั่วคราวที่เริ่มจะถาวร)
เราขายอสังหาฯ ได้กำไรมาก้อนหนึ่ง จึงแพลนที่จะ เอาเงินมาผ่าตัด
และลงทุนเรียนเพิ่มเติม เพื่อทำอาชีพที่เรารัก และเอาเงินส่วนหนึ่งไปให้พ่อแม่
เค้ากลับบอกว่า ขอยืมเงินก้อนหนึ่ง มาโปะหนี้ก่อนได้มั้ย อย่าเพิ่งบอกพ่อแม่ว่ามีเงิน
เราบอกว่า ให้ยืมได้แค่ 1 แสนบาทเท่านั้นนะ เพราะเราจำเป็นต้องใช้เงินรักษาตัวจริงๆ
เค้าโกรธใส่เราและเหวี่ยงวีนมาก ว่าเราไม่มีน้ำใจ คิดถึงแต่ตัวเอง
ไม่นึกถึงตลอดเวลา ที่เค้าอุ้มชูเรามา
เราก้อึ้ง สุดท้ายเลยให้ยืมมากว่า 1 แสนไป และเค้าตกลงจะผ่อนคืนให้เรา
เดือนละ 10,000 บาท
ประเด็นอยู่ที่เราเพิ่งมาตรวจพบว่า จะต้องผ่าตัดอีกโรคหนึ่งที่ด่วนกว่านั้น !!!
เราจึงแกล้งลองใจกึ่งเอาจริง บอกว่าอาจจะต้องขอเงินคืน ซัก 1 แสนก่อนเพื่อเอามาผ่าตัด
จะว่าเรางกก็ได้นะ เพราะไม่อยากเอาเงินเก็บ อีกก้อนที่ก็ไม่ได้มากมายอะไรมาใช้
(เพราะก้อนนั้นต้องสำรอง เผื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่จะเกิดขึ้นอื่นๆอีก
เช่น เค้าไปมีเมียน้อยแล้วไล่เราออกจากบ้าน ไม่รู้มองโลกในแง่ร้ายมากไปป่าว 555)
เค้ากลับอารมณ์เสียใส่เราบอกว่า จะไปหาเงินก้อนมากมายขนาดนี้ได้ที่ไหน
ก็เห็นอยู่ว่าทุกวันนี้ หนี้พี่ท่วมหัวจะแย่อยู่แล้ว ถ้าจะรีบเอาคืน
เดี๋ยวไปกู้มาคืนให้ ประชดเราอีก ป๊าดด
................................................................................................................
จุดเปลี่ยนนี้ทำให้เรากลับมาคิดว่า นี่หรือคือคนที่เราเคยรัก
และคิดจะอยู่ด้วยกันตลอดไป
เราให้อภัยได้กับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในครั้งแรก
เพราะคิดว่าจะสู้ไปด้วยกันได้
อย่ามองว่า พอเรามีเงินแล้วก็จะหาเรื่องเลิก หรือทิ้งเค้านะ
แต่แค่กำลังรู้สึกว่า นับวันชีวิตมีแต่แย่ลง ถอยหลังลงคลอง
มองไม่เห็นอนาคต ...
ไม่ต้องคิดถึงเรื่องมีลูก เพราะทุกวันนี้ แค่ดูแลเรา เค้ายังไม่ไหวเลย
............................................................................................
อย่าถามว่ารักมั้ย มันหมดไปตั้งแต่วันที่แต่งงาน
แต่ก็ต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้เราไม่มีทีซุกหัวนอนแล้ว ก็อาศัยอยู่บ้านเค้านี่แหละ
ถ้าเลิกกลัวว่า พ่อแม่จะรับไม่ได้ กลัวไม่มีบ้านอยู่ กลัวไปหมด โอ๊ย!!!กลุ้มใจ
เพื่อนๆคิดว่าเราควรทำอย่างไรดี ???
หยุดหรือไปต่อ ???
ขอคำแนะนำด้วยนะคะ พี่ถึงทางตันละตอนนี้
ขอบคุณล่วงหน้ามากมาย
...
ปล.ขออย่าซ้ำเติมกันเนอะ นี่ขอ