สงสัยขนาดนี้ ไปเรียนดีกว่ามั้ย
คอร์ดมันเป็นการประสานเสียง ตั้งแต่ 3 เสียงขึ้นไป มีไปจนถึง 7 เสียง
ไล่ไปเรื่อยๆ 3 เสียงธรรมดา (โครงสร้าง1-3-5) จะไม่ลงท้ายด้วยเลขอะไร จากนั้นก็จะลงท้ายด้วย 7, 9, 11, 13
3 เสียงไม่ธรรมดา ก็พวก sus 2, sus 4 (ใช้โครงสร้าง 1-2-5 กับ 1-4-5)

คอร์ด 3 เสียง แบ่งเป็น 4 ประเภทคือ major minor augmented diminished
คอร์ด dominant 7 เป็นคอร์ดสำคัญอีกคอร์ดหนึ่ง มี 4 เสียง โครงสร้าง 1-3-5-b7

คอร์ดที่ลงท้ายด้วยคำว่า add หมายถึงเติมโน้ตลงไป
เช่น C add9 จะต่างกับ C maj9 เพราะ C maj9 จะเป็นคอร์ดประเภท 5 เสียง โครงสร้าง 1-3-5-7-9
C add9 เป็น C maj ที่เพิ่ม 9 เข้าไป โน้ต 7 ไม่ต้องเล่น โครงสร้างก็คือ 1-3-5-9

คอร์ด 6 ก็มี คือ 6 กับ 13 เป็นโน้ตตัวเดียวกัน ถ้าเขียน 13 มันจะเป็นคอร์ด 7 เสียง
ถ้าเขียน 6 จะมีแค่ 4 เสียง 1-3-5-6

ถ้าเรียนแล้วก็เข้าใจไปเอง ไม่มีอะไรยาก มันจะมี  b5 b9 #11 อะไรอีก ถ้าไม่เรียนมันก็งงนั่นล่ะ
ถ้าเรียนแล้วจะรู้ว่า ก็ไม่มีอะไรมาก ทุกคอร์ดมีโครงสร้างของมันอยู่ พอสร้างเป็นก็จับได้หมด

ส่วนวิธีการนำไปใช้ ก็จะมีเรื่อง function ของมันอยู่ ก็ต้องเรียนอีกนั่นแหละ

ผู้คิดค้น ไม่ได้มีบันทึกไว้ แต่คงมาจากการสั่งสมจากรุ่นต่อรุ่น บวกกับการค้นพบเรื่อง harmonic overtone
คือนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า เสียงที่เราได้ยิน 1 เสียง แท้จริงมันมีเสียงสะท้อนไปมาอยู่มากกว่านั้น
ดังภาพข้างล่าง สมมติว่าเรา ได้ยินเสียง C ตัวที่ 1 หูเรารับได้แค่เสียง C 1 เสียงเดียวก็จริง
แต่มีโน้ตอีกมากมาย สะท้อนไปสะท้อนมา ดังในภาพ ถึงเราจะไม่ได้ยิน แต่ก็รับความรู้สึกได้

  

คุณสังเกต ระดับที่ 4 5 6 ได้แก่โน้ต C E G นั่นดู
นั่นก็คือคอร์ด C major
ดังนั้น เมื่อเราได้ยินโน้ต C มันทำให้เรารู้สึกว่าได้ยิน C maj อยู่ด้วย
คอร์ด maj เลยให้ความรู้สึกสบาย เพราะมันเป็นโน้ตที่สะท้อนอยู่ตามธรรมชาติ
พอเป็น คอร์ด min ที่ใช้โครงสร้าง 1-b3-5 = C Eb G โน้ต Eb จะผิดจากธรรมชาติ
พอเราได้ยินคอร์ดไมเนอร์ เราถึงรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไร

การสะท้อนเสียง ยิ่งไกลมันก็จะยิ่งจางหายไปเรื่อยๆ ซึ่งก็คือลำดับบนๆมันไม่สำคัญนัก
เอาเท่าที่ใช้ในดนตรีก็ถึงระดับที่ 13 นั่นก็พอ
จึงเป็นที่มาว่า คอร์ดมีถึง 13 เท่านั้น ไม่มี 15 17 19 (13 มันก็มีโน้ตครบ 7 ตัวในสเกลแล้ว)

ถึงตรงนี้ ก็จะพอมองออกแล้วว่า คอร์ดมันมีที่มาจากไหน
รายละเอียดมันเยอะครับ เอาไว้แค่นี้ดีกว่า