เหนื่อยกับธุรกิจ เริ่มจากความไม่มีมันทรมานจริงๆ

ตอนนี้ทำธุรกิจค้าปลีกกับห้างใหญ่
สมัยตอนเริ่มต้นแรกๆ ผันตัวมาจากเงินทุนเล็กๆ ไม่ถึงหมื่นตอนนั้นมานะอดทนมีไฟมาก  ผ่านไปไม่ถึงปีด้วยความสนุก ไปยืนขายเองไม่ต้องจ้างใครเลย  จากเงินเดือนหลักพัน  เป็นครั้งแรกที่ได้2-3  หมื่น  ตอนนั้นมีความสุขที่สุด  ทั้งยอดขายและรายได้มันเหมือนได้เกิดใหม่  และมีโอกาสได้ขยายไปสาขาที่ 2
รู้สึกดีและมีกำไรมากขึ้น  เริ่มจ้างพนักงานและทุกอย่างก็ผ่านไปได้ง่ายๆ  หลังจากนั้นห้างเสนอสาขามามากมาย  แต่ตัวเราคิดแค่เพียงว่าแค่นี้ก็พอแล้วอยู่ได้สบายๆ  จึงปฎิเสธสาขาอื่นๆ  ทั้ง 2 สาขากำไรต่อเดือนอยู่ที่ 70000-100000 สำหรับคนธรรมดาอย่างผม  มันสุดๆแล้ว ดูแลพ่อแม่ได้สบายๆ
กิจการดำเนินมาได้ เข้าปีที่ 5 มีเงินเก็บหลักล้าน  อยู่ๆห้างปรับเปลี่ยนยกสินค้าเราออกเฉยๆ ทั้งๆที่ยอดขายเราดี(จ่ายเป็นระบบ gp% ) แจ้งว่าทางห้างต้องการสินค้านำเข้า  ที่ไม่มีตามท้องตลาด  สาขาเราโดนยุบทันที  รายได้ลดน้อยลงครึ่งนึง  แบบตั้งตัวไม่ติด
เริ่มรู้ชะตาตัวเองแล้ว  เอาแน่นอนกับห้างไม่ได้จริงๆ  ยังดีที่เหลืออีกสาขา  แต่ปรากฎว่านโยบายเดียวกัน  ผมโดนสาขาที่ 2  ในเวลาไล่เลี่ยกัน  ทั้งที่ขอเจรจาแล้ว แต่ก็ไม่ฟังเราเลย  ห้างต้องการพื้นที่สำหรับแบรนด์นอกเข้ามาอย่าง hm  uni  zaraaa  คนธรรมดาอย่างผมโดนไปหลายเจ้าเหมือนกัน  ต้องออกแบบงงๆ  ถึงขายดีก็ต้องออก เขาไล่แล้ว
หลังจากออกมาเหมือนคนตกงานอยู่พักนึง ผมพยายามเสนอตัวเองเข้าห้างอื่นๆ  แต่โอกาสมันไม่ได้ดีเหมือนแต่ก่อนที่มีจัดซื้อติดต่อมาให้ไปลง แต่เราไม่เอาเอง  มาถึงวันนี้เจ็บใจตัวเองที่ทำไมวันนั้นโอกาสมาเราไม่เดิน  ผมไม่ได้อยู่นิ่งๆถึงจะมีเงินล้านอยู่ในมือ  แต่มันต้องกินต้องใช้ต้องดูแล  
ในขณะที่เรารอโอกาสเข้าห้างอีกครั้ง  ผมไม่ได้โดนปฎิเสธ  แต่ต้องรอจังหวะอย่างเดียว  รอแบรนด์ขายไม่ดีออก เราถึงจะได้เข้า  ช่วงนั้นผมกลับไปเป็นพนักงานอีกครั้ง  ก็ไปเป็นพนักงานขายในห้าง ดีกว่าอยู่เฉยๆ ถึงรายได้จะน้อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย  รายรับอยู่เดือนละ 13000  แต่ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 40,000.-  ค่าบ้าน  ค่าบัตร  ค่าสินเชื่อ ใช้เงินเก่าไปด้วย  เป็นอย่างงั้นเกือบปี  และแล้วโอกาสได้เข้าห้างอีกครั้งก็มาถึง  กับเงินจากล้านเหลืออยู่ 5 แสน
ผมได้รับการพิจารณาจากห้างคู่แข่งได้ลงขาย  โดยทดลองดูยอดเรา 6 เดือนถ้าผ่านได้ขยายสาขาเพิ่มแน่นอน  ผมนี่รีบเลย  ลงทุนทำเฟอร์ลงพื้นที่ 2 แสนกว่าด้วยความมั่นใจทั้งฝีมือตัวเองและความชำนาญในการคลุกคลีอยู่ในห้างมาโดยตลอด  สรุป  6  เดือนยอดเราผ่านห้างขออย่างต่ำเดือนละ  50000  ผมทำได้  70000 up  มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีตามความคาดหมาย  แต่การตัดสินใจครั้งนี้  ผมอยู่ตรงกลางระหว่างคำว่าโลภกับคว้าโอกาส
ผมได้ขยายสาขาต่อเนื่อง  2  เดือน 1 สาขา  ลงทุนแต่ละที่ ใช้เงินไม่ต่ำกว่า 3  แสน  และแล้วเงินเก่าผมก็หมดไปหลังจากเปิดสาขาที่ 3
ตอนนั้นผมสับสนไปหมด อยากลงทุนเพราะโฮกาสมาแล้ว   ห้างเสนอมาเราต้องรีบคว้าไม่งั้นคนอื่นก็ได้ไป  โอกาสผ่านแล้วก็ผ่านเลย  ผมเริ่มเป็นหนี้จากสาขาที่ 4-5  เป็นเงินรวมๆ  5  แสนกว่า   เป็นหนี้บัตรกดเงินสด  และหนี้เพื่อนฝูง
ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยใจ  มันกระเบียดกระเสียดมาก หมุนเงินไม่คล่องเลย ผมอยากได้เงินมาลงของกระจายตามสาขา  มีของ =  มียอดขาย                  ปัญหาคือหนี้มันกระจายกัน  จากบัตรหลายใบ  คุยกับธนาคารก็ถามหาแต่สินทรัพย์ค้ำ  ซึ่งผมไม่มีเลย  พ่อแม่มีแต่มรดกหนี้  ธกศ  ทำอะไรไม่ได้  บ้านตัวเองก็ผ่อนอยู่รีไฟแนนซ์ไม่คุ้ม  ถ้าทำก็จะเป็นหนี้กระจุกกระจิกเพิ่มมาอีก  
ปัญหาผมตอนนี้ก็คือ  รายรับตอนนี้มันน้อยกว่ารายจ่าย  ถ้าผมไม่มีหนี้กระจัดกระจายตอนนี้จะไม่ลำบากอะไรเลย  ถึงช่วงนี้จะดูเงียบๆ แต่ผมก็ยังขายได้เรื่อยๆ  มีใครผ่านวิกฤติการเป็นหนี้จากการลงทุนมาได้บ้างคับ หรือมีวิธีคุยกับธนาคารยังไงให้เขาช่วยเหลือเราตรงนี้ได้บ้าง  ผมเคยเข้าไปถามธนาคารแต่เขาก็ถามหาแต่สินทรัพย์มาค้ำ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
ปัญหาใหญ่ของคนไทย ไม่เข้าใจระบบการเงิน
จะว่าไม่รู้ก็ไม่ได้ แต่ที่รู้ส่วนใหญ่จะผิด เข้าใจผิด ปลูกฝังมาผิดๆ
ธุรกิจที่ดี รากฐานทางการเงินต้องมาก่อน
ขายดีเป็นบ้าเป็นหลังแต่ไปซะแล้วเพราะไม่รู้ต้นทุนที่แท้จริง
แยกไม่ออกระหว่างบัญชีส่วนตัวกับธุรกิจ
แยกไม่ออกระหว่างทรัพย์สินกับหนี้สินว่ามันต่างกันอย่างไร
ก่อนจะทำอะไร ก่อนจะสร้างหนี้ใหม่
ทำความรู้จักกับธุรกิจของตัวเองในปัจจุบันให้เข้าใจว่า ต้นทุนมีอะไรบ้าง กำไรสุทธิอยู่ที่ไหน ดอกเบี้ยที่กินอยู่อาจจะเอากำไรทั้งหมดของเราไปแล้ว
( ขอแทรกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้อง : และสิ่งสำคัญที่สุดคือการใช้ชีวิต คนส่วนใหญ่เมื่อเริ่มดีก็จะมองไปว่าต่อไปนี้ชีวิตจะมีแต่เรื่องดีๆ
ไม่ได้เรียนรู้หลักธรรมว่า อนิจจัง ความไม่เที่ยงคือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่ง )

ขออภัยที่ไม่มีข้อแนะนำดีๆ แต่เป็นกรณีศึกษาที่อยากให้เปิดมุมมองในหลายๆด้าน ถึงจะมีด้านที่ไม่เกี่ยวกับจขกท.อยู่ในคคห.ด้วยก็ตาม
คนมี 2 ขา : ขาขึ้น กับ ขาลง แค่มีสติรู้ว่าเวลานี้เราอยู่ตรงไหน แค่ทำให้ถูกว่าแต่ละเวลาต้องทำอะไร ประสบการณ์คือการเดินทางด้วยสติ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่