ฤดูฝนมักเป็นช่วง Low Season สำหรับการท่องเที่ยว แต่สำหรับเราไม่ใช่
ฤดูนี้เป็นฤดูแห่งการล่าต่างหาก ล่าทะเลหมอก ล่าความสดชื่น ชุ่มฉ่ำที่ฤดูอื่นๆไม่มี
ฝนนี้ก็เช่นกันเราอยากให้คุณออกไปหาความสดชื่น ช่วงนี้ฝนกำลังตกกำลังเข้าหน้าฝนอย่างเป็นทางการ
ถึงแม้ปีนี้จะช้าไปนิด ก็ยังไม่สายเกินไป
...
ส่วนเราผิดนัดกับสายฝนและทะเลหมอกของสถานที่นี้อยู่หลายครั้ง
เฝ้าหาข้อมูลอยู่นาน เพราะเห็นว่าอยู่ใกล้กรุงเทพ เป็นแหล้งโอโซนที่อยู่ใกล้มากๆ
สุดท้ายก็ได้ฤกษ์งามยามดีออกเดินทางสักที
ที่นี่ดูเหมือนว่าจะไม่ไกลจากกรุงเทพเท่าไหร่อยู่แค่สุพรรณบุรีนี่เอ๊งงง
แต่อยู่ตะเข็บชายแดนสุพรรณติดกับอุทัยธานีโน่นแถมยังต้องขับรถขึ้นเขาใช้ความเร็วแค่ 20 กม/ชม เองมั้ง
จึงทำให้ที่นี่จากที่คิดว่าใกล้ก็กลายเป็นไกลโดยปริยาย แต่ก็ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้ เราจะไม่ผิดนัดอีกแล้ว
คราวนี้เราจะได้เจอกันสักทีนะ
"อุทยานแห่งชาติพุเตย"
"อุทยานแห่งพุเตย" อยู่ที่อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี
จากกรุงเทพ - อุทยานก็ประมาณ 230 กิโลเมตร แต่ใช้เวลานานพอสมควร
เพราะเส้นทางเป็นเส้นทางที่ต้องขับรถขึ้นเขาและยิ่งเป็นหน้าฝนแล้วด้วยเราไม่สามารถใช้ความเร็วได้เลย
เหยียบแค่ 20 กม/ชม จากถนนดำขึ้นสู่อุทยานใช้เวลาเป็นชั่วโมง
การเดินทาง
จากกรุงเทพใช้ถนนสาย 340 บางบัวทอง-สุพรรณบุรี
ขับตรงไปทางตัวเมืองสุพรรณ ก่อนถึงตัวเมืองให้เลี้ยวซ้ายตรงถนนวงแหวนสุพรรณบุรี
เลี้ยวซ้ายไปถนนสาย 322 ขับไปเรื่อยๆ เบี่ยงซ้ายไปถนนสาย 3460
จากนั้นขับตรงไปเรื่อยๆ เลี้ยวขวาสู่ถนนสาย 333
จากนั้นขับตรงไปเรื่อยๆ จะมีป้ายบอกทางเข้าอุทยานแห่งชาติพุเตย ให้สังเกตดีๆนะคะป้ายไม่ใหญ่มาก
ให้สังเกตเขื่อนกระเสียวค่ะถ้าเจอเขื่อนกระเสียวแล้วก็ให้เตรียมตัวมองทางซ้ายไว้ค่ะ
เจอป้ายแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงชนบทสุพรรณบุรี 3008
จากนั้นก็ขับตรงไปสู่อุทยานแห่งชาติพุเตยได้เลยค่ะ
...
แนะนำว่าถ้าจะไปให้ออกจากกรุงเทพแต่เช้าหน่อยอย่าคิดว่าอยู่แค่สุพรรณนะคะ
เพราะจริงๆก็ไกลอยู่เราออกจากกรุงเทพฯ 11.00
ถึงที่อุทยานประมาณสี่โมงเย็นแล้วค่ะก็มีแวะทานข้าวเข้าปั๊มบ้าง ชิวๆไม่ไดรีบ แต่ที่จริงควรจะถึงเร็วกว่านี้นะคะ
อย่างที่บอกว่าเป็นเส้นทางขึ้นเขาถ้ามืดแล้วความอันตรายมันก็จะเพิ่มขึ้นค่ะ
เราถึงหน่วยพิทักษ์อุทยานฯพุเตยที่ 1 ประมาณสี่โมงที่นี่ก็มีที่กางเต้นท์เหมือนกันนะคะ
แต่เราจะขึ้นไปนอนด้านบน ทีแรกตั้งใจว่าจะไปนอนที่หน่วยพิทักษ์อุทยานฯพุเตยที่ 3 ตะเพินคี่
แต่เราขับรถขึ้นไปที่ทำการอุทยานแห่งชาติพุเตยกันก่อน
ใช้เวลาจากหน่วยพิทักษ์อุทยานฯพุเตยที่ 1 ถึงที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 1 ชั่วโมงนะคะ
ทางจะเป็นทางลูกรังและแคบขวาภูเขาซ้ายก็เหวแล้วล่ะค่ะ และตอนเราไปเย็นแล้วและฝนก็ตกด้วย
และเพื่อนของเราอีกคันก็ไม่ได้เป็นรถ 4 WD ด้วยเลยเป็นห่วง ก็เลยค่อยๆขับกันไป
จากหน่วยพิทักษ์อุทยานฯพุเตยที่ 1 ขับรถมาสัก ไม่ถึง 1 กิโลเมตร ก็เป็นป่าแล้วค่ะ
รถเพื่อนเราขับสองแต่ใจสู้ก็ไปได้ค่ะ แต่ไม่แนะนำเลยนะคะเพื่อนเราค่อนข้างมีประสบการณ์ในการณ์ขับรถมามาก
ถึงเป็นรถ 4WD แล้วถ้าคนขับไม่มีประสบการณ์ก็ไม่แนะนำให้ไปหน้าฝนนะคะอันตราย
เพราะทางที่นี่จะลื่นหรือเรียกว่าเป็นหนังหมูในบางช่วง ก็คือไม่ได้เป็นดินเละๆน่ะคะเป็นแบบเนียนๆมันๆลื่นๆแบบนี้จะอันตราย
แต่ถ้าเป็นหน้าร้อนหรือหน้าหนาวทางก็ไม่น่าจะมีอะไรยากค่ะ เห็นรถเก๋งยังมีคนขับขึ้นไป
กว่าจะถึงที่ทำการอุทยานฯ ก็ลุ้นกันน่าดูเพราะตอนใกล้จะถึงฝนตกหนักมากค่ะเลยไม่ได้ถ่ายรูปไว้
...
ที่นี่จะมีบ้านพักและลานกางเต้นท์ กางเต้นท์ที่นี่ไม่ต้องกลัวเลยค่ะมีไฟฟ้าใช้ทั้งคืน
ห้องน้ำสะดวกไม่ไกล แถมมีเจ้าหน้าที่ค้างอยู่ที่นี่เยอะเลยค่ะใครที่กลัวก็อุ่นใจได้
นี่เป็นบ้านพักค่ะแต่ที่นี่มีบ้านพักไม่มีถ้าจะไปแนะนำให้โทรไปเช็คก่อนนะคะ
เดี๋ยวจะพาไปดูลานกางเต้นท์กับบ้านพักของที่นี่กันนะคะ
แต่เมื่อคืนเราไม่ได้กางเต้นท์ตรงนี้หรอกนะคะเพราะฝนตกหนักมากต้องไปกางที่เรือนสันทนาการแทน
ขนาดนอนในนั้นตอนกลางคืนน้ำฝนไหลเข้ามาที่เต้นท์เลยค่ะต้องย้ายเต้นท์กันใหญ่
และคิดว่าโชคดีที่ไม่ไปกางที่ลานไม่งั้นคงไม่ได้นอนแหงๆ
ห้องน้ำและห้องอาบน้ำก็ไม่สกปรกค่ะ แต่น้ำที่นี่จะเป็นน้ำบาดาลนะคะ สีน้ำตาลเชียว
ก็ถือว่าโอเคสำหรับเราถ้าเทียบกับที่อื่นๆ
....
ลายแทงจุดท่องเที่ยวต่างๆของอุทยานแห่งชาติพุเตย
จริงๆที่เราตั้งใจไว้ไม่ได้จะมานอนที่ ที่ทำการอุทยานฯ ตรงนี้หรอกนะคะ
เราตั้งใจจะไปนอนที่หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ 3 ตะเพินคี่ ซึ่งต้องขับรถขึ้นไปอีก
ตอนมาเราถามเจ้าหน้าที่แล้วเจ้าหน้าที่บอกว่าอย่าไปเลยครับเพราะเย็นมากแล้วฝนตกด้วย
ตอนแรกในใจก็มีนิดนึงว่าอยากจะไปนะคะ แต่ไม่เอาเชื่อเจ้าหน้าที่ดีกว่า
อยากบอกว่าเวลาไปเทียวตามอุทยานแห่งชาติต่างๆถ้าเจ้าหน้าที่เค้าให้คำแนะนำอะไรก็ควรจะเชื่อนะคะ
เพื่อความปลอดภัยของคุณเองนั่นแหละเราก็เลยรอไปในตอนเช้าแทน
วิวสองข้างทางระหว่างขึ้นหน่วยตะเพินคี่เขียวชอุ่ม ชุ่มชื่นหัวใจมากๆเลยค่ะ เที่ยวป่าหน้าฝนก็สวยแบบนี้แหละค่ะ
ขับรถผ่านสวนของชาวบ้านก็เลยติดต่อขอซื้อสตอจะเข้าป่ายังได้ช๊อปปิ้งอีกนะ
สอยกันจากต้นเลย รับรองสดแน่นอน แถมถูกด้วย
เจ้าหมาน้อยของคุณป้าเห็นคนเยอะเลยออกมาตอนรับ ออกจะต๊องๆขี้เล่นหน่อยๆ
ทางช่วงแรกยังไม่ลำบากมากนะคะเพราะยังเป็นสวนของชาวบ้านอยู่
แต่พอขับไปสักพักพอเริ่มเข้าเขตอุทยานอีกครั้งทางก็เริ่มสนุกกันอีกแล้วค่ะ
ต้นไม้ล้มขวางถนนก็ต้องออกมาตัดเพราะเพื่อนเข้ากลัวรถเป็นรอยส่วนคันเรา
ไม่แคร์แล้วค่ะไม่มีอะไรจะเหลือ 555555
ทางช่วงนี้อาจจะไม่ค่อยยากหรือชันอะไรมากแต่ที่จะลำบากก็เพราะมีฝนตกนี่แหละค่ะ
เพราะทางมันจะลื่นมาก ส่วนมากไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมาเพราะคอยลุ้นเพื่อนตลอด
ทางขึ้นหน่วยพิทักษ์อุทยานฯที่ 3 ตะเพินคี่ค่อนข้างลำบากกว่าทางขึ้นหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ 1 นะคะ
เลยคิดว่าโชคดีแล้วที่เมื่อวานไม่ดื้อขึ้นมาตอนเย็น
ก็เละเทะกันนิดหน่อยตามประสาป่าหน้าฝน คนขับเค้าชอบนักแหละค่ะแบบนี้
....
ถึงทางจะลำบากแต่ไม่ควรพลาดที่จะขึ้นมาหน่วยที่ 3 นี้นะคะ
เพราะที่ตะเพินคี่มีสถานที่ท่องเที่ยวเช่น น้ำตกตะเพินคี่ใหญ น้ำตกตะเพินคี่น้อย หมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่
และยอดเขาเทวดา ซึ่งไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
ขับมาเห็นเพื่อนแวะจอด เอ๊ะเพื่อนจะมีปัญหาอะไรรึเปล่านะไอ้เราก็เป็นห่วง
ที่ไหนได้.....
แหม...ลงมาขุดหน่อไม้ โถ กลับไปซื้อที่ตลาดก็ได้ม้างงงงงง
....
และในสุดก็ถึงแล้วหน่วยพิทักษ์อุทยานที่ 3 ตะเพินคี่
ระยะทางจากหน่วย 1 ไปหน่วย 3 ระยะทาง 28 กิโลเมตร
เป็นทางราดยาง 12 กม. และเป็นทางลูกรัง 13 กม.
ระหว่างขับรถขึ้นมาก็เห็นหมอกตลอดทางเลยภาวนาว่าถ้าขึ้นมาบนนี้ขอให้เจอหมอกด้วยเถ๊อะ
มีหมาป่ามายืนรอรับด้วย
แล้วก็ไม่ผิดหวังหมอกยังรอเราอยู่ เห็นหมอกแล้วสดชื่นจริงๆ
โอ๊ยชื่นใจจริงๆ ไปเที่ยวป่าทุกครั้งหวังจะเจอหมอกทุกครั้ง
แต่จริงๆแล้ว บรรยากาศของป่าเขียวๆอากาศสดชื่นๆก็ทำให้เรามีความสุขแล้ว
แต่ครั้งไหนได้เจอหมอกเราก็ถือว่าเป็นโบนัสของการท่องเที่ยวแล้วกัน ^_^
ไปชมภาพหมอกกันดีกว่า
จะมองยังไงจะมองมุมไหนก็สวย
เวลาที่เจอหมอกเราจะเหมือนเด็กเลยรีบหยิบกล้องแล้วก็วิ่งไปยืนดูหมอกให้ใกล้ที่สุด
ยืนถ่ายรูปอยู่อย่างนั้น ยืนยิ้มมีความสุขจริงๆ มีใครเป็นเหมือนเราบ้างมั้ย
ด้วยบรรยากาศที่ดี ดีมากๆของที่นี่ เราจึงยกให้ที่นี่เป็นสถานที่กางเต้นท์ที่วิวสวยงามที่สุดอีกที่นึงเลยสำหรับเรา
นอกจากหมอกที่อยู่เบื้องหน้าแล้วพื้นหญ้าเขียวๆ
กับท้องฟ้าสีฟ้าคราม ยิ่งทำให้ที่นี่สวยงามมากขึ้นเข้าไปอีก
ที่นี่ไม่มีไฟฟ้าเหมือนหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ 1 ที่นี่ธรรมชาติสุดๆ
มีห้องน้ำ ไม่มีร้านอาหาร มีที่ทำการแต่ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่นะคะ
ห้องน้ำสร้างได้กลมกลืนธรรมชาติดี
มีคนกางเต้นท์อยู่ที่นี่ 3 - 4 คน น่าเสียดายที่มาช้าไปหน่อยไม่งั้นคงได้ขึ้นมากางเต้นท์ที่นี่
คราวหน้าต้องมาเร็วๆอยากขึ้นมานอนที่นี่บ้างวิวตอนเช้าตรู่คงสวยกว่านี้มาก
หมู่บ้านในสายหมอกที่เห็นนั่นก็คือหมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่
ชาวบ้านที่นี่เป็นกะเหรี่ยงด้ายเหลือง ที่นี่เค้าเคร่งครัดมากนะคะ ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ดื่มสุรา
เลี้ยงสัตว์ไว้เฉพาะใช้งานเท่านั้นห้ามกิน ที่นี่มีชาวบ้านประมาณ 200 คน
มีโรงเรียน มีวัด ใครจะไปเที่ยวนำของไปถวาย หรือบริจาคให้ชาวบ้านได้นะคะ
[CR] พุเตย...อุทยานฯโลกลืม
ฤดูนี้เป็นฤดูแห่งการล่าต่างหาก ล่าทะเลหมอก ล่าความสดชื่น ชุ่มฉ่ำที่ฤดูอื่นๆไม่มี
ฝนนี้ก็เช่นกันเราอยากให้คุณออกไปหาความสดชื่น ช่วงนี้ฝนกำลังตกกำลังเข้าหน้าฝนอย่างเป็นทางการ
ถึงแม้ปีนี้จะช้าไปนิด ก็ยังไม่สายเกินไป
...
ส่วนเราผิดนัดกับสายฝนและทะเลหมอกของสถานที่นี้อยู่หลายครั้ง
เฝ้าหาข้อมูลอยู่นาน เพราะเห็นว่าอยู่ใกล้กรุงเทพ เป็นแหล้งโอโซนที่อยู่ใกล้มากๆ
สุดท้ายก็ได้ฤกษ์งามยามดีออกเดินทางสักที
ที่นี่ดูเหมือนว่าจะไม่ไกลจากกรุงเทพเท่าไหร่อยู่แค่สุพรรณบุรีนี่เอ๊งงง
แต่อยู่ตะเข็บชายแดนสุพรรณติดกับอุทัยธานีโน่นแถมยังต้องขับรถขึ้นเขาใช้ความเร็วแค่ 20 กม/ชม เองมั้ง
จึงทำให้ที่นี่จากที่คิดว่าใกล้ก็กลายเป็นไกลโดยปริยาย แต่ก็ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้ เราจะไม่ผิดนัดอีกแล้ว
คราวนี้เราจะได้เจอกันสักทีนะ "อุทยานแห่งชาติพุเตย"
"อุทยานแห่งพุเตย" อยู่ที่อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี
จากกรุงเทพ - อุทยานก็ประมาณ 230 กิโลเมตร แต่ใช้เวลานานพอสมควร
เพราะเส้นทางเป็นเส้นทางที่ต้องขับรถขึ้นเขาและยิ่งเป็นหน้าฝนแล้วด้วยเราไม่สามารถใช้ความเร็วได้เลย
เหยียบแค่ 20 กม/ชม จากถนนดำขึ้นสู่อุทยานใช้เวลาเป็นชั่วโมง
การเดินทาง
จากกรุงเทพใช้ถนนสาย 340 บางบัวทอง-สุพรรณบุรี
ขับตรงไปทางตัวเมืองสุพรรณ ก่อนถึงตัวเมืองให้เลี้ยวซ้ายตรงถนนวงแหวนสุพรรณบุรี
เลี้ยวซ้ายไปถนนสาย 322 ขับไปเรื่อยๆ เบี่ยงซ้ายไปถนนสาย 3460
จากนั้นขับตรงไปเรื่อยๆ เลี้ยวขวาสู่ถนนสาย 333
จากนั้นขับตรงไปเรื่อยๆ จะมีป้ายบอกทางเข้าอุทยานแห่งชาติพุเตย ให้สังเกตดีๆนะคะป้ายไม่ใหญ่มาก
ให้สังเกตเขื่อนกระเสียวค่ะถ้าเจอเขื่อนกระเสียวแล้วก็ให้เตรียมตัวมองทางซ้ายไว้ค่ะ
เจอป้ายแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงชนบทสุพรรณบุรี 3008
จากนั้นก็ขับตรงไปสู่อุทยานแห่งชาติพุเตยได้เลยค่ะ
...
แนะนำว่าถ้าจะไปให้ออกจากกรุงเทพแต่เช้าหน่อยอย่าคิดว่าอยู่แค่สุพรรณนะคะ
เพราะจริงๆก็ไกลอยู่เราออกจากกรุงเทพฯ 11.00
ถึงที่อุทยานประมาณสี่โมงเย็นแล้วค่ะก็มีแวะทานข้าวเข้าปั๊มบ้าง ชิวๆไม่ไดรีบ แต่ที่จริงควรจะถึงเร็วกว่านี้นะคะ
อย่างที่บอกว่าเป็นเส้นทางขึ้นเขาถ้ามืดแล้วความอันตรายมันก็จะเพิ่มขึ้นค่ะ
เราถึงหน่วยพิทักษ์อุทยานฯพุเตยที่ 1 ประมาณสี่โมงที่นี่ก็มีที่กางเต้นท์เหมือนกันนะคะ
แต่เราจะขึ้นไปนอนด้านบน ทีแรกตั้งใจว่าจะไปนอนที่หน่วยพิทักษ์อุทยานฯพุเตยที่ 3 ตะเพินคี่
แต่เราขับรถขึ้นไปที่ทำการอุทยานแห่งชาติพุเตยกันก่อน
ใช้เวลาจากหน่วยพิทักษ์อุทยานฯพุเตยที่ 1 ถึงที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 1 ชั่วโมงนะคะ
ทางจะเป็นทางลูกรังและแคบขวาภูเขาซ้ายก็เหวแล้วล่ะค่ะ และตอนเราไปเย็นแล้วและฝนก็ตกด้วย
และเพื่อนของเราอีกคันก็ไม่ได้เป็นรถ 4 WD ด้วยเลยเป็นห่วง ก็เลยค่อยๆขับกันไป
จากหน่วยพิทักษ์อุทยานฯพุเตยที่ 1 ขับรถมาสัก ไม่ถึง 1 กิโลเมตร ก็เป็นป่าแล้วค่ะ
รถเพื่อนเราขับสองแต่ใจสู้ก็ไปได้ค่ะ แต่ไม่แนะนำเลยนะคะเพื่อนเราค่อนข้างมีประสบการณ์ในการณ์ขับรถมามาก
ถึงเป็นรถ 4WD แล้วถ้าคนขับไม่มีประสบการณ์ก็ไม่แนะนำให้ไปหน้าฝนนะคะอันตราย
เพราะทางที่นี่จะลื่นหรือเรียกว่าเป็นหนังหมูในบางช่วง ก็คือไม่ได้เป็นดินเละๆน่ะคะเป็นแบบเนียนๆมันๆลื่นๆแบบนี้จะอันตราย
แต่ถ้าเป็นหน้าร้อนหรือหน้าหนาวทางก็ไม่น่าจะมีอะไรยากค่ะ เห็นรถเก๋งยังมีคนขับขึ้นไป
กว่าจะถึงที่ทำการอุทยานฯ ก็ลุ้นกันน่าดูเพราะตอนใกล้จะถึงฝนตกหนักมากค่ะเลยไม่ได้ถ่ายรูปไว้
...
ที่นี่จะมีบ้านพักและลานกางเต้นท์ กางเต้นท์ที่นี่ไม่ต้องกลัวเลยค่ะมีไฟฟ้าใช้ทั้งคืน
ห้องน้ำสะดวกไม่ไกล แถมมีเจ้าหน้าที่ค้างอยู่ที่นี่เยอะเลยค่ะใครที่กลัวก็อุ่นใจได้
นี่เป็นบ้านพักค่ะแต่ที่นี่มีบ้านพักไม่มีถ้าจะไปแนะนำให้โทรไปเช็คก่อนนะคะ
เดี๋ยวจะพาไปดูลานกางเต้นท์กับบ้านพักของที่นี่กันนะคะ
แต่เมื่อคืนเราไม่ได้กางเต้นท์ตรงนี้หรอกนะคะเพราะฝนตกหนักมากต้องไปกางที่เรือนสันทนาการแทน
ขนาดนอนในนั้นตอนกลางคืนน้ำฝนไหลเข้ามาที่เต้นท์เลยค่ะต้องย้ายเต้นท์กันใหญ่
และคิดว่าโชคดีที่ไม่ไปกางที่ลานไม่งั้นคงไม่ได้นอนแหงๆ
ห้องน้ำและห้องอาบน้ำก็ไม่สกปรกค่ะ แต่น้ำที่นี่จะเป็นน้ำบาดาลนะคะ สีน้ำตาลเชียว
ก็ถือว่าโอเคสำหรับเราถ้าเทียบกับที่อื่นๆ
....
ลายแทงจุดท่องเที่ยวต่างๆของอุทยานแห่งชาติพุเตย
จริงๆที่เราตั้งใจไว้ไม่ได้จะมานอนที่ ที่ทำการอุทยานฯ ตรงนี้หรอกนะคะ
เราตั้งใจจะไปนอนที่หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ 3 ตะเพินคี่ ซึ่งต้องขับรถขึ้นไปอีก
ตอนมาเราถามเจ้าหน้าที่แล้วเจ้าหน้าที่บอกว่าอย่าไปเลยครับเพราะเย็นมากแล้วฝนตกด้วย
ตอนแรกในใจก็มีนิดนึงว่าอยากจะไปนะคะ แต่ไม่เอาเชื่อเจ้าหน้าที่ดีกว่า
อยากบอกว่าเวลาไปเทียวตามอุทยานแห่งชาติต่างๆถ้าเจ้าหน้าที่เค้าให้คำแนะนำอะไรก็ควรจะเชื่อนะคะ
เพื่อความปลอดภัยของคุณเองนั่นแหละเราก็เลยรอไปในตอนเช้าแทน
วิวสองข้างทางระหว่างขึ้นหน่วยตะเพินคี่เขียวชอุ่ม ชุ่มชื่นหัวใจมากๆเลยค่ะ เที่ยวป่าหน้าฝนก็สวยแบบนี้แหละค่ะ
ขับรถผ่านสวนของชาวบ้านก็เลยติดต่อขอซื้อสตอจะเข้าป่ายังได้ช๊อปปิ้งอีกนะ
สอยกันจากต้นเลย รับรองสดแน่นอน แถมถูกด้วย
เจ้าหมาน้อยของคุณป้าเห็นคนเยอะเลยออกมาตอนรับ ออกจะต๊องๆขี้เล่นหน่อยๆ
ทางช่วงแรกยังไม่ลำบากมากนะคะเพราะยังเป็นสวนของชาวบ้านอยู่
แต่พอขับไปสักพักพอเริ่มเข้าเขตอุทยานอีกครั้งทางก็เริ่มสนุกกันอีกแล้วค่ะ
ต้นไม้ล้มขวางถนนก็ต้องออกมาตัดเพราะเพื่อนเข้ากลัวรถเป็นรอยส่วนคันเรา
ไม่แคร์แล้วค่ะไม่มีอะไรจะเหลือ 555555
ทางช่วงนี้อาจจะไม่ค่อยยากหรือชันอะไรมากแต่ที่จะลำบากก็เพราะมีฝนตกนี่แหละค่ะ
เพราะทางมันจะลื่นมาก ส่วนมากไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมาเพราะคอยลุ้นเพื่อนตลอด
ทางขึ้นหน่วยพิทักษ์อุทยานฯที่ 3 ตะเพินคี่ค่อนข้างลำบากกว่าทางขึ้นหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ 1 นะคะ
เลยคิดว่าโชคดีแล้วที่เมื่อวานไม่ดื้อขึ้นมาตอนเย็น
ก็เละเทะกันนิดหน่อยตามประสาป่าหน้าฝน คนขับเค้าชอบนักแหละค่ะแบบนี้
....
ถึงทางจะลำบากแต่ไม่ควรพลาดที่จะขึ้นมาหน่วยที่ 3 นี้นะคะ
เพราะที่ตะเพินคี่มีสถานที่ท่องเที่ยวเช่น น้ำตกตะเพินคี่ใหญ น้ำตกตะเพินคี่น้อย หมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่
และยอดเขาเทวดา ซึ่งไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
ขับมาเห็นเพื่อนแวะจอด เอ๊ะเพื่อนจะมีปัญหาอะไรรึเปล่านะไอ้เราก็เป็นห่วง
ที่ไหนได้.....
แหม...ลงมาขุดหน่อไม้ โถ กลับไปซื้อที่ตลาดก็ได้ม้างงงงงง
....
และในสุดก็ถึงแล้วหน่วยพิทักษ์อุทยานที่ 3 ตะเพินคี่
ระยะทางจากหน่วย 1 ไปหน่วย 3 ระยะทาง 28 กิโลเมตร
เป็นทางราดยาง 12 กม. และเป็นทางลูกรัง 13 กม.
ระหว่างขับรถขึ้นมาก็เห็นหมอกตลอดทางเลยภาวนาว่าถ้าขึ้นมาบนนี้ขอให้เจอหมอกด้วยเถ๊อะ
มีหมาป่ามายืนรอรับด้วย
แล้วก็ไม่ผิดหวังหมอกยังรอเราอยู่ เห็นหมอกแล้วสดชื่นจริงๆ
โอ๊ยชื่นใจจริงๆ ไปเที่ยวป่าทุกครั้งหวังจะเจอหมอกทุกครั้ง
แต่จริงๆแล้ว บรรยากาศของป่าเขียวๆอากาศสดชื่นๆก็ทำให้เรามีความสุขแล้ว
แต่ครั้งไหนได้เจอหมอกเราก็ถือว่าเป็นโบนัสของการท่องเที่ยวแล้วกัน ^_^
ไปชมภาพหมอกกันดีกว่า
จะมองยังไงจะมองมุมไหนก็สวย
เวลาที่เจอหมอกเราจะเหมือนเด็กเลยรีบหยิบกล้องแล้วก็วิ่งไปยืนดูหมอกให้ใกล้ที่สุด
ยืนถ่ายรูปอยู่อย่างนั้น ยืนยิ้มมีความสุขจริงๆ มีใครเป็นเหมือนเราบ้างมั้ย
ด้วยบรรยากาศที่ดี ดีมากๆของที่นี่ เราจึงยกให้ที่นี่เป็นสถานที่กางเต้นท์ที่วิวสวยงามที่สุดอีกที่นึงเลยสำหรับเรา
นอกจากหมอกที่อยู่เบื้องหน้าแล้วพื้นหญ้าเขียวๆ
กับท้องฟ้าสีฟ้าคราม ยิ่งทำให้ที่นี่สวยงามมากขึ้นเข้าไปอีก
ที่นี่ไม่มีไฟฟ้าเหมือนหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ 1 ที่นี่ธรรมชาติสุดๆ
มีห้องน้ำ ไม่มีร้านอาหาร มีที่ทำการแต่ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่นะคะ
ห้องน้ำสร้างได้กลมกลืนธรรมชาติดี
มีคนกางเต้นท์อยู่ที่นี่ 3 - 4 คน น่าเสียดายที่มาช้าไปหน่อยไม่งั้นคงได้ขึ้นมากางเต้นท์ที่นี่
คราวหน้าต้องมาเร็วๆอยากขึ้นมานอนที่นี่บ้างวิวตอนเช้าตรู่คงสวยกว่านี้มาก
หมู่บ้านในสายหมอกที่เห็นนั่นก็คือหมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่
ชาวบ้านที่นี่เป็นกะเหรี่ยงด้ายเหลือง ที่นี่เค้าเคร่งครัดมากนะคะ ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ดื่มสุรา
เลี้ยงสัตว์ไว้เฉพาะใช้งานเท่านั้นห้ามกิน ที่นี่มีชาวบ้านประมาณ 200 คน
มีโรงเรียน มีวัด ใครจะไปเที่ยวนำของไปถวาย หรือบริจาคให้ชาวบ้านได้นะคะ