คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
เรื่องของสสารมืด (Dark matter) นี้ ปัจจุบันก็ยังมืดเหมือนชื่อนะครับ นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่
และกำลังมีความก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ เพราะมีการค้นพบที่สำคัญเกี่ยวกับการหมุนของแกแลคซี่ทางช้างเผือกครับ
กล่าวคือ ..... ทิศทางการเคลื่อนที่ของดาวฤกษ์ไปรอบ ๆ แกนกลางแกแลคซี่ทางช้างเผือก นั้น
จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือเคลื่อนตามหลังกันไปเรื่อย ๆ โคจรรอบแกนกลางแกแลคซี่
โดยมีความเร็วเกือบเท่า ๆ กันตั้งแต่ดาวฤกษ์ที่ใกล้ Core ไปจนถึงปลาย ๆ แขน
ซึ่ง .... เป็นเรื่องที่แปลกใจมาก เพราะตำแหน่งของดาวฤกษ์ และ rotation curve ของด้านใน และ ริม ๆ นั้น
มันแทบจะเท่ากันเลย ต่างจากที่คำนวณด้วยทฤษฏี Kepler's law ซึ่งความเร็วด้านใน ควรเร็วกว่าด้านแขนริม ๆ
และที่เอง ที่นักวิทยาศาสตร์สรุปว่าเป็นผลจากการยึดโยงของ Dark matter ครับ
จากคลิปนี้ แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของ Rotation curve ของทางช้างเผือก
ด้านซ้าย คือ curve การหมุนแบบที่คาดการณ์ใว้ด้วย software
แต่ด้านขวา คือ curve จริงที่ plot จากตำแหน่งดาวฤกษ์ ซึ่งไม่เป็นไปตามทฤษฏีที่คาดการณ์ใว้
นักวิทยาศาสตร์จึงมีสมมุติฐานว่าน่าจะเกิดจากการยึดโยงจาก Dark matter ทั่วทั้งทางช้างเผือก
ซึ่งยังตรวจจับไม่ได้ด้วยอุปกรณ์ยุคปัจจุบัน เพราะยังไม่มีทฤษฏีโครงสร้างของมันเลย
ภาพทางซ้าย นั้น เป็นการประมาณการหมุนของดาวฤกษ์ทั้งหมดในทางช้างเผือก
ซึ่งตามการจำลองด้วย software โดยอิงหลักการของกฏ Kepler แล้ว ตรงกลางทางช้างเผือกที่เป็นปื้นขาวสว่าง
จะหมุนเร็วสุด แต่ดาวฤกษ์ที่อยู่ห่างออกไปตรงช่วงกลางไปจนถึงปลายแขนแกแลคซี่ จะต้องหมุนช้ากว่า (ตามภาพ)
แต่ ..... ภาพทางขวา มาจากการตรวจตำแหน่งดาวฤกษ์ และกรรมวิธีตรวจชั้นพลังงานของ Hydrogen 21 cm.
กลับแสดงผลออกมาว่า .... ทั้งตรงใกล้แกนกลางแกแลคซี่ (ปื้นขาว ๆ ) กับตรงปลายแขน
ดาวฤกษ์กลับหมุนรอบทางช้างเผือกด้วยความเร็วที่ใกล้เคียงกัน (ดูความเร็วการหมุนวนที่ปลายแขนเทียบกันอีกที)
ดังนั้น จึงได้มีการตั้งสมมุติฐานว่า จะต้องมีอะไรสักอย่างที่ " ยึดโยง " จำนวนดาวฤกษ์มหาศาล
ทั้งแผ่แกแลคซี่ใว้ด้วยกัน ดาวฤกษ์ด้านวงนอก ๆ จึงหมุนเร็วเท่าด้านใน ๆ ครับ
และกำลังมีความก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ เพราะมีการค้นพบที่สำคัญเกี่ยวกับการหมุนของแกแลคซี่ทางช้างเผือกครับ
กล่าวคือ ..... ทิศทางการเคลื่อนที่ของดาวฤกษ์ไปรอบ ๆ แกนกลางแกแลคซี่ทางช้างเผือก นั้น
จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือเคลื่อนตามหลังกันไปเรื่อย ๆ โคจรรอบแกนกลางแกแลคซี่
โดยมีความเร็วเกือบเท่า ๆ กันตั้งแต่ดาวฤกษ์ที่ใกล้ Core ไปจนถึงปลาย ๆ แขน
ซึ่ง .... เป็นเรื่องที่แปลกใจมาก เพราะตำแหน่งของดาวฤกษ์ และ rotation curve ของด้านใน และ ริม ๆ นั้น
มันแทบจะเท่ากันเลย ต่างจากที่คำนวณด้วยทฤษฏี Kepler's law ซึ่งความเร็วด้านใน ควรเร็วกว่าด้านแขนริม ๆ
และที่เอง ที่นักวิทยาศาสตร์สรุปว่าเป็นผลจากการยึดโยงของ Dark matter ครับ
จากคลิปนี้ แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของ Rotation curve ของทางช้างเผือก
ด้านซ้าย คือ curve การหมุนแบบที่คาดการณ์ใว้ด้วย software
แต่ด้านขวา คือ curve จริงที่ plot จากตำแหน่งดาวฤกษ์ ซึ่งไม่เป็นไปตามทฤษฏีที่คาดการณ์ใว้
นักวิทยาศาสตร์จึงมีสมมุติฐานว่าน่าจะเกิดจากการยึดโยงจาก Dark matter ทั่วทั้งทางช้างเผือก
ซึ่งยังตรวจจับไม่ได้ด้วยอุปกรณ์ยุคปัจจุบัน เพราะยังไม่มีทฤษฏีโครงสร้างของมันเลย
ภาพทางซ้าย นั้น เป็นการประมาณการหมุนของดาวฤกษ์ทั้งหมดในทางช้างเผือก
ซึ่งตามการจำลองด้วย software โดยอิงหลักการของกฏ Kepler แล้ว ตรงกลางทางช้างเผือกที่เป็นปื้นขาวสว่าง
จะหมุนเร็วสุด แต่ดาวฤกษ์ที่อยู่ห่างออกไปตรงช่วงกลางไปจนถึงปลายแขนแกแลคซี่ จะต้องหมุนช้ากว่า (ตามภาพ)
แต่ ..... ภาพทางขวา มาจากการตรวจตำแหน่งดาวฤกษ์ และกรรมวิธีตรวจชั้นพลังงานของ Hydrogen 21 cm.
กลับแสดงผลออกมาว่า .... ทั้งตรงใกล้แกนกลางแกแลคซี่ (ปื้นขาว ๆ ) กับตรงปลายแขน
ดาวฤกษ์กลับหมุนรอบทางช้างเผือกด้วยความเร็วที่ใกล้เคียงกัน (ดูความเร็วการหมุนวนที่ปลายแขนเทียบกันอีกที)
ดังนั้น จึงได้มีการตั้งสมมุติฐานว่า จะต้องมีอะไรสักอย่างที่ " ยึดโยง " จำนวนดาวฤกษ์มหาศาล
ทั้งแผ่แกแลคซี่ใว้ด้วยกัน ดาวฤกษ์ด้านวงนอก ๆ จึงหมุนเร็วเท่าด้านใน ๆ ครับ
แสดงความคิดเห็น
ทุกวันนี้ เราเข้าใจ เข้าถึง สสารมืด (Dark matter) มากแค่ไหนคะ แล้วมีการยอมรับการมีอยู่ของสสารมืดขนาดไหนแล้ว
แต่อย่างว่า เข้าถึงยุคที่ "ขึ้นชื่อว่าวิทยาศาสตร์ อะไรก็เป็นไปได้" มานานมากแล้วสินะ
รู้สึกตอนนั้นยังมองมันเป็นแค่สิ่งที่ ก็อาจจะมีแต่ไม่มีหรอก แบบ graviton อะไรเทือกนั้น
( อ้ะ หรือ graviton ก็มีโอกาสมีอยู่จริง 0.o )
แต่พอหลังๆ เริ่มได้ยินชื่อมากขึ้น เลยชักสงสัยว่าหรือที่เราเข้าใจมามันอาจจะผิด เลยอยากอัพเดทน่ะค่ะ ว่าทุกวันนี้ วงการเชื่อขนาดไหนว่าอาจจะมีสสารมืดอยู่จริงๆ แล้วมีการค้นพบ มีการศึกษามากแค่ไหนคะ
หากพิสูจน์ได้ว่ามีมันอยู่ จะส่งผลอะไรบ้างต่อวงการวิทยาศาสตร์คะ
ขอบคุณค่ะ
ปล.ไม่ได้เรียนจบฟิสิกส์ดาราศาสตร์มาโดยตรงนะคะ อาจจะไม่ค่อยเข้าใจอะไรเรื่องพวกนี้ แต่จะพยายามศึกษาค่ะ