จินดามณี : ๓ โดยพาฝัน
๓
คำโปรย “เมื่ออัญมณีศักดิ์สิทธิ์สูญหายไปพร้อมกับผู้ครอบครอง เทพธิดาน้อยจึงต้องแบกรับหน้าที่ออกตามหามิตรรักและของวิเศษยังโลกมนุษย์ เพื่อนำดวงแก้ววิเศษกลับคืนสู่สวรรค์อีกครั้ง ก่อนที่เทวาสุรสงครามจะสิ้นสุดลง!!!”
ทิพย์อัปสร และ เกสรมณฑา ลอบออกจากดาวดึงส์สวรรค์มาได้เกือบค่อนวันก็เข้าเขตทิวเขากรวิก ซึ่งเป็นในหนึ่งในเจ็ดทิวเขาของสัณบริภัณฑคีรี เกสรมณฑา พา ทิพย์อัปสร เดินลัดเลาะไปตามสันเขา ผ่านดงไม้ป่าใหญ่ที่ดิบชื้น แม้จะเหนื่อยยากซักเพียงใด ทิพย์อัปสร ก็หาย่อท้อไม่ ยังคงดั้นด้นเดินทางไปยังเบื้องหน้าอย่างไม่ลดละ
“ครืนนนนนนน”
เสียงฟ้าร้องดังคำรามอยู่เป็นระยะ สภาพอากาศของสัณบริภัณฑคีรีในยามนี้ช่างดูผิดแผกแตกต่างจากที่เคยเป็น ท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใส กลับปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำทะมึน มีลมพายุพัดแปรปรวนราวกับเทพกำลังพิโรธ แม้ว่าลมพายุนั้นจะไม่สามารถทำอันตรายเทพธิดาทั้งสององค์ได้ แต่ก็ทำให้การเดินทางมายังทิวเขากรวิกแห่งนี้ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น
“เกสรมณฑา....เกสรมณฑา” ทิพย์อัปสร ส่งเสียงร้องเรียกเกสรมณฑาฝ่าลมพายุที่พัดโหมกระหน่ำเข้ามา ที่ประเดี๋ยวหนึ่งก็พัดมาอย่างแรง ประเดี๋ยวหนึ่งก็มลายหายไปสิ้น สลับกันไปมากันเช่นนี้อยู่หลายชั่วยาม
“มีอะไรหรือทิพย์อัปสร?” เกสรมณฑา หยุดชะงักฝีเท้า เมื่อได้ยินเสียงร้องของทิพย์อัปสรที่ตะโกนร้องเรียกอยู่ด้านหลัง แววตาของเกสรมณฑา ที่หันมามอง ทิพย์อัปสร นั้น มีประกายตาสีแดงแฝงความขุ่นมัวอยู่แวบหนึ่งก่อนที่จะอันตรธานหายไป แม้จะเป็นเพียงแค่แวบเดียวแต่ ทิพย์อัปสร ก็พอจะสังเกตได้ แต่ด้วยสถานการณ์ในยามนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก ทำให้นางไม่ได้นึกเฉลียวใจถึงแววตาคู่นั้นของเกสรมณฑาเลยแม้แต่น้อย กลับเป็นห่วงสถานการณ์ที่อยู่ตรงเบื้องหน้ามากกว่า
“เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าสัณบริภัณฑคีรีในยามนี้ดูแปลกๆ พิกล” ทิพย์อัปสร พูดพลางมองไปยังสภาพอากาศที่แปรปรวนของทิวเขากรวิก ยามนี้คล้ายสัณบริภัณฑคีรีกำลังจะเกิดลมฝนพายุใหญ่ นับตั้งแต่พวกนางย่างเข้าเขตสัณบริภัณฑคีรีมา สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยให้พวกนางเดินทางมากนัก เมฆฝนก็ตั้งเค้าจะโปรยปรายลงมาอยู่หลายครา แต่ทว่าก็ยังไม่มีเม็ดฝนลงมาเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่เพียงลมพายุแปลกประหลาดที่พัดมาอย่างแรงอยู่เป็นระลอก พร้อมกับเสียงฟ้าร้องที่คำรามดังขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับสวรรค์กำลังจะพังถล่มทะลาย แม้ เกสรมณฑา เองจะรู้สึกขัดใจอยู่บ้างที่ถูกทิพย์อัปสร เรียกให้หยุดการเดินทางกลางคัน แต่ เกสรมณฑา ก็เห็นด้วยเช่นกันกับทิพย์อัปสรว่า สัณบริภัณฑคีรี ยามนี้ ผิดแผกกว่าที่นางเคยเห็นในทุกคราว
“ข้าเห็นด้วยกับเจ้า ทิพย์อัปสร ตั้งแต่เราสองคนย่างเข้าเขตสัณบริภัณฑคีรี สภาพอากาศแปรปรวนวิปริตยากที่จะคาดเดานัก ข้าไม่เคยพบเห็นอาเพศเช่นนี้มาก่อน ทุกที สัณบริภัณฑคีรี จะมีสภาพอากาศปลอดโปร่ง น้อยครั้งที่จะมีเมฆเค้าฝนลมพายุแรงเช่นนี้ ตั้งแต่ข้าอยู่มานี้นับเป็นครั้งแรกได้ที่ข้าเห็นสัณบริภัณฑคีรีอยู่ในสภาพย่ำแย่มากที่สุดขนาดนี้”
คำพูดของเกสรมณฑา ทำให้ ทิพย์อัปสร ต้องหันมองด้วยความแปลกใจ ฟังคล้ายกับว่า เกสรมณฑา พักอาศัยอยู่ที่นี้ถึงรู้ได้ว่า สัณบริภัณฑคีรี ยามปกติมีสภาพอากาศเช่นไร
“เจ้าว่าทุกที่สัณบริภัณฑคีรีอากาศปลอดโปร่งอย่างนั้นเหรอ??....แปลกจริง???? ...เจ้าพูดราวกับว่าเจ้าอาศัยอยู่ที่นี้อย่างนั้นแหละ เกสรมณฑา” ทิพย์อัปสร ถามและจับจ้องมอง เกสรมณฑา ด้วยความสงสัย เท่าที่รู้จักกันมาไม่เคยเห็น เกสรมณฑา เอ่ยถึง สัณบริภัณฑคีรี ให้ฟังเลยซักครั้ง แต่จู่ๆ กลับพูดเช่นนี้ออกมาจึงทำให้ ทิพย์อัปสร อดสงสัยไม่ได้
“เอ้อ...อ๋อ... เมื่อก่อนข้าเคยตามเสด็จองค์อินทรามายัง สัณบริภัณฑคีรี อยู่สองสามครั้งนะ ข้าก็เลยคุ้นเคยกับสภาพอากาศของที่นี้..ข้าว่าเราอย่ามัวมาเสียเวลาอยู่เลย รีบออกเดินทางกันต่อดีกว่า อีกเพียงแค่นิดก็จะถึงป่าที่ข้าเคยพบกับพวกอสูรแล้ว” เกสรมณฑา มีสีหน้าตกใจเล็กน้อยแต่ก็รีบปรับเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็ว ก่อนตอบคำถามและเร่งให้ ทิพย์อัปสร เดินทางต่อ ฝ่ายทิพย์อัปสร เอง เริ่มรู้สึกสงสัยในคำตอบของ เกสรมณฑา ขึ้นมา เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา นางก็ไม่เคยได้ยินเช่นกันว่า เกสรมณฑา เคยตามเสด็จพระอินทร์ลงมายัง สัณบริภัณฑคีรี ด้วย แต่ถึงแม้ว่า ทิพย์อัปสร จะรู้สึกสงสัยในตัวของ เกสรมณฑา มากเพียงใดก็ตาม แต่ในเมื่อยังพิสูจน์อะไรไม่ได้ ก็ไม่ควรที่จะพูดอะไรออกมา จึงคิดจะคอยเฝ้าดูสังเกตพฤติกรรมของ เกสรมณฑา แทน เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงพูดออกไปว่า
“ถ้าเป็นเช่นนั้น..พวกเราก็รีบเดินทางต่อกันเถอะ ข้าเองก็อยากไปถึงที่นั้นโดยเร็วเหมือนกัน”
เกสรมณฑา ยิ้มให้กับ ทิพย์อัปสร เมื่อเห็นว่า ทิพย์อัปสร ไม่ได้สงสัยอะไร และตัดสินใจที่จะเดินทางต่อ เกสรมณฑา จึงรีบเดินนำทาง ทิพย์อัปสร ไปยังจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความนัยบางอย่างที่ยากจะหยั่งถึงได้
“เร็วเข้าเถอะทิพย์อัปสร อีกเพียงแค่นิดเดียวพวกเราก็จะถึงที่หมายแล้ว” เกสรมณฑา เอ่ยบอกโดยไม่หันหน้ากลับมามอง ทิพย์อัปสร ขณะเดินนำทางเทพธิดาผู้ถือครอบดวงแก้ววิเศษไปยังลานโล่งของป่าแห่งหนึ่งในทิวเขากรวิก บนใบหน้าเต็มไปด้วยเค้าของความยินดีและความสมใจเหมือนได้ในสิ่งที่ตัวเองปรารถนามาครอบครอง ฝ่าย ทิพย์อัปสร ซึ่งเดินตาม เกสรมณฑา อยู่ทางด้านหลัง เริ่มพินิจพิเคราะห์ถึงความแปลกประหลาดบางอย่างที่นางรู้สึกได้จากตัวของเกสรมณฑา นางรู้สึกว่า เกสรมณฑา ที่อยู่ตรงหน้านางในขณะนี้มีบางอย่างที่แปลกหรือต่างออกไปจาก เกสรมณฑา ที่นางเคยรู้จัก แต่นางเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าแปลกอย่างไร
“ฮะๆๆ ในที่สุดสิ่งที่ข้ารอคอยใกล้จะสำเร็จแล้ว ขอเพียงข้าพาเจ้าเข้าไปในอาณาเขตเวทย์มนต์ของข้า เจ้าไม่มีวันที่จะกลับออกมาได้อีกนางฟ้าทิพย์อัปสร!!!!”อสูรร้ายในคราบของเกสรมณฑา ยิ้มและหัวเราะอยู่ในใจ เมื่อในยามนี้เหยื่ออันโอชะกำลังหลงกลแผนการร้ายเข้าเต็มเป้าเสียแล้ว
-----------------------------------------------------------
เกสรมณฑา ติดตาม วิชุเทพบุตร ออกจากดาวดึงส์สวรรค์ เพื่อออกตามหา ทิพย์อัปสร ที่ถูกอสูรร้ายล่อลวงไป โชคดีระหว่างทางพบได้พบกับเทพทวารบาลสี่องค์ซึ่งออกไล่ล่าติดตามตัว ทิพย์อัปสร และเกสรมณฑาตัวปลอมอยู่เช่นกัน แม้ในครั้งแรกจะต้องเสียเวลาอธิบายเรื่องราวอยู่นานก็ตาม ด้วยเหตุเพราะเทพทวารบาลยังเข้าใจผิดคิดว่า เกสรมณฑา แอบหนีลงมาจากสวรรค์ดังที่พวกเขาเห็นตั้งแต่แรก จึงมีท่าทีจะเข้าจับกุมตัวนางไว้ แต่วิชุเทพบุตรและเทพอารักขาได้เข้ามาขัดขวางและอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง จึงทำให้เทพทวารบาลได้รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้ว เทพธิดาเกสรมณฑา ที่พวกเขาเห็นนั้นเป็นตัวปลอม แม้จะต้องเสียเวลาเช่นนี้ไปบ้างก็ตามแต่ก็ทำให้คณะของ วิชุเทพบุตร ได้พบร่องรอยการเดินทางของ ทิพย์อัปสร เร็วกว่าที่คิด
“พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าตอนนี้ ทิพย์อัปสร น้องข้ากำลังเดินทางไปที่ทิวเขากรวิก?” วิชุเทพบุตร สอบถามเทพทวารบาลขณะเหาะอยู่บนอากาศ
“แน่ใจ ขอรับ” หนึ่งในเทพทวารบาล เป็นผู้ตอบ พวกเขาเร่งออกติดตาม ทิพย์อัปสร และ เกสรมณฑา ตัวปลอมตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเห็นพวกนางลักลอบออกมาจากดาวดึงส์สวรรค์ แม้พวกนางจะใช้วิธีหลบเลี่ยงสายตาของเทพทวารบาลโดยใช้วิธีเดินเท้าไปตามแนวป่าและสันเขา หลังจากออกจากดาวดึงส์สวรรค์มาแล้วก็ตาม แต่จากทิศทางที่เดินทางไปเป็นเส้นทางที่ไปยังทิวเขากรวิกอย่างแน่นอน
“เจ้าอสูรชั่วผู้นี้ ฉลาดมาก ที่ทำให้นางฟ้าทิพย์อัปสรหลงเชื่อได้ ดีไม่ดีคงเป็นมันนี้แหละที่ออกความคิดใช้วิธีการเดินเท้าไปตามสันเขาแทนที่จะเหาะไป มันคงคิดว่าถ้าทำแบบนี้จะหลบเลี่ยงการติดตามจากพวกข้าได้ แต่โชคดีที่พวกข้ายังสามารถแกะรอยเส้นทางการเดินทางของนางฟ้าทิพย์อัปสรได้ มิเช่นนั้นคงต้องเสียเวลามากกว่านี้ขอรับ” เทพทวารบาล คนเดิมพูดต่อ
“น่าเจ็บใจจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นอสูรตนใดกันถึงกล้าบังอาจหลอกลวงพวกข้าเช่นนี้ มิหนำซ้ำ ยังกลบกลิ่นไออสูรในตัวจนหมดสิ้น พวกข้าจัดเวรยามอยู่บนสวรรค์มาตั้งนาน ไม่เคยเลยที่จะระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อน นี้ยังไม่รู้ว่าจะมีพวกมันซ่อนตัวกันอยู่อีกเท่าไร” เทพทวารบาล อีกองค์พูดออกความเห็น ไม่คิดว่าการที่นางฟ้าทิพย์อัปสร แอบหนีออกจากสวรรค์จะเป็นเพราะฝีมือของพวกอสูร และไม่เคยคาดคิดเช่นกันว่าบนสวรรค์จะมีอสูรแอบแฝงตัวอยู่ด้วย ที่น่ากังวลกว่าก็คือตอนนี้ไม่รู้ผู้ใดรู้ว่ายังมีอสูรแฝงตัวอยู่บนดาวดึงส์อีกมากน้อยเท่าใด
“มันคงจะแอบซ่อนตัวอยู่ในสวรรค์มานานแล้ว ถึงได้ชำระล้างกลิ่นไออสูรในตัวจนหมดสิ้น อีกทั้งคงเรืองวิทยาคมไม่น้อยไปกว่าพวกเรา ไม่เช่นนั้นคงไม่แปลงตัวได้เหมือนเกสรมณฑามากถึงเพียงนี้ แต่ตอนนี้อรชุนเทพบุตรคงทราบเรื่องแล้ว และคงกำลังออกตามล่าพวกอสูรที่ยังแอบอยู่บนสวรรค์อยู่ คิดว่าใช้เวลาไม่นานพวกมันคงจะถูกพวกเราจับตัวได้ทั้งหมด” วิชุเทพบุตรออกความเห็น เขาเองก็ไม่เคยคิดว่าจะอสูรตนใดแอบซ่อนอยู่ในดาวดึงส์สวรรค์ได้นานมากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เหล่าเทพต่างจัดเวรยามและกำลังเฝ้าดูอย่างเข้มงวด หากไม่เกิดเรื่องขึ้นกับ ทิพย์อัปสร น้องสาวของเขา คาดว่าคงไม่ใครรู้เป็นแน่ว่ามีพวกอสูรแอบแฝงตัวอยู่บนสวรรค์ด้วย
“ท่านวิชุเทพบุตร ทิวเขากรวิก อยู่ใกล้กับนครสุทัศน์แห่งใหม่ของพวกอสูร หากพวกเราถึงยอดเขากรวิกช้ากว่านางฟ้าทิพย์อัปสร ข้าเกรงว่าพวกเราอาจจะช่วยเหลือนางฟ้าทิพยอัปสรได้ไม่ทันขอรับ” หนึ่งในเทพอารักขา เอ่ยบอก
วิชุเทพบุตร เหล่าเทพอารักขาต่างเป็นห่วงว่าหาก ทิพย์อัปสร ล่วงล้ำเข้าไปยังเขตแดนของพวกอสูรแล้ว ย่อมเป็นการยากที่จะช่วยนางออกมาได้ ซึ่ง วิชุเทพบุตร เอง ก็กังวลในข้อนี้อยู่ไม่น้อยเช่นกัน โชคดีในโชคร้ายที่อสูรที่ล่อลวงทิพย์อัปสรไป เปลี่ยนแปลงวิธีเดินทางไปยังทิวเขากรวิก แทนที่จะเหาะไปกลับเปลี่ยนเป็นใช้วิธีการเดินเท้าแทน ทำให้การเดินทางไปยังทิวเขากรวิกของนางฟ้าทิพย์อัปสรช้าลงไปมาก มิเช่นนั้นโอกาสที่จะติดตามไปช่วยเหลือนางไว้คงเป็นไปได้ยากมากกว่านี้
“ท่านวิชุเทพบุตร พวกเรารีบเร่งไปที่ทิวเขากรวิกโดยเร็วเถอะ ข้าเป็นห่วง ทิพย์อัปสร เหลือเกิน ไม่รู้ป่านนี้นางจะเป็นอย่างไรบ้าง” เกสรมณฑา ที่เป็นห่วง ทิพย์อัปสร เร่งบอกให้ทุกคนรีบไปยังทิวเขากรวิกโดยเร็ว เวลานี้ เกสรมณฑา ใจร้อนรุ่มราวกับไฟ เป็นห่วง ทิพย์อัปสร เหลือกำลัง
วิชุเทพบุตร เองก็เป็นห่วง ทิพย์อัปสร ผู้เป็นน้องสาวไม่น้อยเช่น จึงรีบออกคำสั่งเร่งให้ทุกคนเดินทางไปยังทิวเขากรวิกให้เร็วที่สุด
“พวกเราทั้งหมดรีบเดินทางให้เร็วขึ้นกว่านี้ อย่างไรพวกเราจะต้องไปถึงทิวเขากรวิกก่อนที่ ทิพย์อัปสร น้องสาวข้าจะไปถึงให้ได้”
“ขอรับ”
เทพอารักขาและเทพทวารบาลต่างรับคำสั่ง เร่งเดินทางเต็มกำลัง ความหวังในเวลานี้คือต้องช่วย ทิพย์อัปสร ให้ได้โดยเร็ว ก่อนที่จะเกิดอันตรายขึ้นกับนาง
-----------------------------------------------------------
จินดามณี : ๓ โดยพาฝัน
คำโปรย “เมื่ออัญมณีศักดิ์สิทธิ์สูญหายไปพร้อมกับผู้ครอบครอง เทพธิดาน้อยจึงต้องแบกรับหน้าที่ออกตามหามิตรรักและของวิเศษยังโลกมนุษย์ เพื่อนำดวงแก้ววิเศษกลับคืนสู่สวรรค์อีกครั้ง ก่อนที่เทวาสุรสงครามจะสิ้นสุดลง!!!”
ทิพย์อัปสร และ เกสรมณฑา ลอบออกจากดาวดึงส์สวรรค์มาได้เกือบค่อนวันก็เข้าเขตทิวเขากรวิก ซึ่งเป็นในหนึ่งในเจ็ดทิวเขาของสัณบริภัณฑคีรี เกสรมณฑา พา ทิพย์อัปสร เดินลัดเลาะไปตามสันเขา ผ่านดงไม้ป่าใหญ่ที่ดิบชื้น แม้จะเหนื่อยยากซักเพียงใด ทิพย์อัปสร ก็หาย่อท้อไม่ ยังคงดั้นด้นเดินทางไปยังเบื้องหน้าอย่างไม่ลดละ
“ครืนนนนนนน”
เสียงฟ้าร้องดังคำรามอยู่เป็นระยะ สภาพอากาศของสัณบริภัณฑคีรีในยามนี้ช่างดูผิดแผกแตกต่างจากที่เคยเป็น ท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใส กลับปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำทะมึน มีลมพายุพัดแปรปรวนราวกับเทพกำลังพิโรธ แม้ว่าลมพายุนั้นจะไม่สามารถทำอันตรายเทพธิดาทั้งสององค์ได้ แต่ก็ทำให้การเดินทางมายังทิวเขากรวิกแห่งนี้ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น
“เกสรมณฑา....เกสรมณฑา” ทิพย์อัปสร ส่งเสียงร้องเรียกเกสรมณฑาฝ่าลมพายุที่พัดโหมกระหน่ำเข้ามา ที่ประเดี๋ยวหนึ่งก็พัดมาอย่างแรง ประเดี๋ยวหนึ่งก็มลายหายไปสิ้น สลับกันไปมากันเช่นนี้อยู่หลายชั่วยาม
“มีอะไรหรือทิพย์อัปสร?” เกสรมณฑา หยุดชะงักฝีเท้า เมื่อได้ยินเสียงร้องของทิพย์อัปสรที่ตะโกนร้องเรียกอยู่ด้านหลัง แววตาของเกสรมณฑา ที่หันมามอง ทิพย์อัปสร นั้น มีประกายตาสีแดงแฝงความขุ่นมัวอยู่แวบหนึ่งก่อนที่จะอันตรธานหายไป แม้จะเป็นเพียงแค่แวบเดียวแต่ ทิพย์อัปสร ก็พอจะสังเกตได้ แต่ด้วยสถานการณ์ในยามนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก ทำให้นางไม่ได้นึกเฉลียวใจถึงแววตาคู่นั้นของเกสรมณฑาเลยแม้แต่น้อย กลับเป็นห่วงสถานการณ์ที่อยู่ตรงเบื้องหน้ามากกว่า
“เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าสัณบริภัณฑคีรีในยามนี้ดูแปลกๆ พิกล” ทิพย์อัปสร พูดพลางมองไปยังสภาพอากาศที่แปรปรวนของทิวเขากรวิก ยามนี้คล้ายสัณบริภัณฑคีรีกำลังจะเกิดลมฝนพายุใหญ่ นับตั้งแต่พวกนางย่างเข้าเขตสัณบริภัณฑคีรีมา สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยให้พวกนางเดินทางมากนัก เมฆฝนก็ตั้งเค้าจะโปรยปรายลงมาอยู่หลายครา แต่ทว่าก็ยังไม่มีเม็ดฝนลงมาเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่เพียงลมพายุแปลกประหลาดที่พัดมาอย่างแรงอยู่เป็นระลอก พร้อมกับเสียงฟ้าร้องที่คำรามดังขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับสวรรค์กำลังจะพังถล่มทะลาย แม้ เกสรมณฑา เองจะรู้สึกขัดใจอยู่บ้างที่ถูกทิพย์อัปสร เรียกให้หยุดการเดินทางกลางคัน แต่ เกสรมณฑา ก็เห็นด้วยเช่นกันกับทิพย์อัปสรว่า สัณบริภัณฑคีรี ยามนี้ ผิดแผกกว่าที่นางเคยเห็นในทุกคราว
“ข้าเห็นด้วยกับเจ้า ทิพย์อัปสร ตั้งแต่เราสองคนย่างเข้าเขตสัณบริภัณฑคีรี สภาพอากาศแปรปรวนวิปริตยากที่จะคาดเดานัก ข้าไม่เคยพบเห็นอาเพศเช่นนี้มาก่อน ทุกที สัณบริภัณฑคีรี จะมีสภาพอากาศปลอดโปร่ง น้อยครั้งที่จะมีเมฆเค้าฝนลมพายุแรงเช่นนี้ ตั้งแต่ข้าอยู่มานี้นับเป็นครั้งแรกได้ที่ข้าเห็นสัณบริภัณฑคีรีอยู่ในสภาพย่ำแย่มากที่สุดขนาดนี้”
คำพูดของเกสรมณฑา ทำให้ ทิพย์อัปสร ต้องหันมองด้วยความแปลกใจ ฟังคล้ายกับว่า เกสรมณฑา พักอาศัยอยู่ที่นี้ถึงรู้ได้ว่า สัณบริภัณฑคีรี ยามปกติมีสภาพอากาศเช่นไร
“เจ้าว่าทุกที่สัณบริภัณฑคีรีอากาศปลอดโปร่งอย่างนั้นเหรอ??....แปลกจริง???? ...เจ้าพูดราวกับว่าเจ้าอาศัยอยู่ที่นี้อย่างนั้นแหละ เกสรมณฑา” ทิพย์อัปสร ถามและจับจ้องมอง เกสรมณฑา ด้วยความสงสัย เท่าที่รู้จักกันมาไม่เคยเห็น เกสรมณฑา เอ่ยถึง สัณบริภัณฑคีรี ให้ฟังเลยซักครั้ง แต่จู่ๆ กลับพูดเช่นนี้ออกมาจึงทำให้ ทิพย์อัปสร อดสงสัยไม่ได้
“เอ้อ...อ๋อ... เมื่อก่อนข้าเคยตามเสด็จองค์อินทรามายัง สัณบริภัณฑคีรี อยู่สองสามครั้งนะ ข้าก็เลยคุ้นเคยกับสภาพอากาศของที่นี้..ข้าว่าเราอย่ามัวมาเสียเวลาอยู่เลย รีบออกเดินทางกันต่อดีกว่า อีกเพียงแค่นิดก็จะถึงป่าที่ข้าเคยพบกับพวกอสูรแล้ว” เกสรมณฑา มีสีหน้าตกใจเล็กน้อยแต่ก็รีบปรับเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็ว ก่อนตอบคำถามและเร่งให้ ทิพย์อัปสร เดินทางต่อ ฝ่ายทิพย์อัปสร เอง เริ่มรู้สึกสงสัยในคำตอบของ เกสรมณฑา ขึ้นมา เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา นางก็ไม่เคยได้ยินเช่นกันว่า เกสรมณฑา เคยตามเสด็จพระอินทร์ลงมายัง สัณบริภัณฑคีรี ด้วย แต่ถึงแม้ว่า ทิพย์อัปสร จะรู้สึกสงสัยในตัวของ เกสรมณฑา มากเพียงใดก็ตาม แต่ในเมื่อยังพิสูจน์อะไรไม่ได้ ก็ไม่ควรที่จะพูดอะไรออกมา จึงคิดจะคอยเฝ้าดูสังเกตพฤติกรรมของ เกสรมณฑา แทน เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงพูดออกไปว่า
“ถ้าเป็นเช่นนั้น..พวกเราก็รีบเดินทางต่อกันเถอะ ข้าเองก็อยากไปถึงที่นั้นโดยเร็วเหมือนกัน”
เกสรมณฑา ยิ้มให้กับ ทิพย์อัปสร เมื่อเห็นว่า ทิพย์อัปสร ไม่ได้สงสัยอะไร และตัดสินใจที่จะเดินทางต่อ เกสรมณฑา จึงรีบเดินนำทาง ทิพย์อัปสร ไปยังจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความนัยบางอย่างที่ยากจะหยั่งถึงได้
“เร็วเข้าเถอะทิพย์อัปสร อีกเพียงแค่นิดเดียวพวกเราก็จะถึงที่หมายแล้ว” เกสรมณฑา เอ่ยบอกโดยไม่หันหน้ากลับมามอง ทิพย์อัปสร ขณะเดินนำทางเทพธิดาผู้ถือครอบดวงแก้ววิเศษไปยังลานโล่งของป่าแห่งหนึ่งในทิวเขากรวิก บนใบหน้าเต็มไปด้วยเค้าของความยินดีและความสมใจเหมือนได้ในสิ่งที่ตัวเองปรารถนามาครอบครอง ฝ่าย ทิพย์อัปสร ซึ่งเดินตาม เกสรมณฑา อยู่ทางด้านหลัง เริ่มพินิจพิเคราะห์ถึงความแปลกประหลาดบางอย่างที่นางรู้สึกได้จากตัวของเกสรมณฑา นางรู้สึกว่า เกสรมณฑา ที่อยู่ตรงหน้านางในขณะนี้มีบางอย่างที่แปลกหรือต่างออกไปจาก เกสรมณฑา ที่นางเคยรู้จัก แต่นางเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าแปลกอย่างไร
“ฮะๆๆ ในที่สุดสิ่งที่ข้ารอคอยใกล้จะสำเร็จแล้ว ขอเพียงข้าพาเจ้าเข้าไปในอาณาเขตเวทย์มนต์ของข้า เจ้าไม่มีวันที่จะกลับออกมาได้อีกนางฟ้าทิพย์อัปสร!!!!”อสูรร้ายในคราบของเกสรมณฑา ยิ้มและหัวเราะอยู่ในใจ เมื่อในยามนี้เหยื่ออันโอชะกำลังหลงกลแผนการร้ายเข้าเต็มเป้าเสียแล้ว
เกสรมณฑา ติดตาม วิชุเทพบุตร ออกจากดาวดึงส์สวรรค์ เพื่อออกตามหา ทิพย์อัปสร ที่ถูกอสูรร้ายล่อลวงไป โชคดีระหว่างทางพบได้พบกับเทพทวารบาลสี่องค์ซึ่งออกไล่ล่าติดตามตัว ทิพย์อัปสร และเกสรมณฑาตัวปลอมอยู่เช่นกัน แม้ในครั้งแรกจะต้องเสียเวลาอธิบายเรื่องราวอยู่นานก็ตาม ด้วยเหตุเพราะเทพทวารบาลยังเข้าใจผิดคิดว่า เกสรมณฑา แอบหนีลงมาจากสวรรค์ดังที่พวกเขาเห็นตั้งแต่แรก จึงมีท่าทีจะเข้าจับกุมตัวนางไว้ แต่วิชุเทพบุตรและเทพอารักขาได้เข้ามาขัดขวางและอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง จึงทำให้เทพทวารบาลได้รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้ว เทพธิดาเกสรมณฑา ที่พวกเขาเห็นนั้นเป็นตัวปลอม แม้จะต้องเสียเวลาเช่นนี้ไปบ้างก็ตามแต่ก็ทำให้คณะของ วิชุเทพบุตร ได้พบร่องรอยการเดินทางของ ทิพย์อัปสร เร็วกว่าที่คิด
“พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าตอนนี้ ทิพย์อัปสร น้องข้ากำลังเดินทางไปที่ทิวเขากรวิก?” วิชุเทพบุตร สอบถามเทพทวารบาลขณะเหาะอยู่บนอากาศ
“แน่ใจ ขอรับ” หนึ่งในเทพทวารบาล เป็นผู้ตอบ พวกเขาเร่งออกติดตาม ทิพย์อัปสร และ เกสรมณฑา ตัวปลอมตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเห็นพวกนางลักลอบออกมาจากดาวดึงส์สวรรค์ แม้พวกนางจะใช้วิธีหลบเลี่ยงสายตาของเทพทวารบาลโดยใช้วิธีเดินเท้าไปตามแนวป่าและสันเขา หลังจากออกจากดาวดึงส์สวรรค์มาแล้วก็ตาม แต่จากทิศทางที่เดินทางไปเป็นเส้นทางที่ไปยังทิวเขากรวิกอย่างแน่นอน
“เจ้าอสูรชั่วผู้นี้ ฉลาดมาก ที่ทำให้นางฟ้าทิพย์อัปสรหลงเชื่อได้ ดีไม่ดีคงเป็นมันนี้แหละที่ออกความคิดใช้วิธีการเดินเท้าไปตามสันเขาแทนที่จะเหาะไป มันคงคิดว่าถ้าทำแบบนี้จะหลบเลี่ยงการติดตามจากพวกข้าได้ แต่โชคดีที่พวกข้ายังสามารถแกะรอยเส้นทางการเดินทางของนางฟ้าทิพย์อัปสรได้ มิเช่นนั้นคงต้องเสียเวลามากกว่านี้ขอรับ” เทพทวารบาล คนเดิมพูดต่อ
“น่าเจ็บใจจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นอสูรตนใดกันถึงกล้าบังอาจหลอกลวงพวกข้าเช่นนี้ มิหนำซ้ำ ยังกลบกลิ่นไออสูรในตัวจนหมดสิ้น พวกข้าจัดเวรยามอยู่บนสวรรค์มาตั้งนาน ไม่เคยเลยที่จะระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อน นี้ยังไม่รู้ว่าจะมีพวกมันซ่อนตัวกันอยู่อีกเท่าไร” เทพทวารบาล อีกองค์พูดออกความเห็น ไม่คิดว่าการที่นางฟ้าทิพย์อัปสร แอบหนีออกจากสวรรค์จะเป็นเพราะฝีมือของพวกอสูร และไม่เคยคาดคิดเช่นกันว่าบนสวรรค์จะมีอสูรแอบแฝงตัวอยู่ด้วย ที่น่ากังวลกว่าก็คือตอนนี้ไม่รู้ผู้ใดรู้ว่ายังมีอสูรแฝงตัวอยู่บนดาวดึงส์อีกมากน้อยเท่าใด
“มันคงจะแอบซ่อนตัวอยู่ในสวรรค์มานานแล้ว ถึงได้ชำระล้างกลิ่นไออสูรในตัวจนหมดสิ้น อีกทั้งคงเรืองวิทยาคมไม่น้อยไปกว่าพวกเรา ไม่เช่นนั้นคงไม่แปลงตัวได้เหมือนเกสรมณฑามากถึงเพียงนี้ แต่ตอนนี้อรชุนเทพบุตรคงทราบเรื่องแล้ว และคงกำลังออกตามล่าพวกอสูรที่ยังแอบอยู่บนสวรรค์อยู่ คิดว่าใช้เวลาไม่นานพวกมันคงจะถูกพวกเราจับตัวได้ทั้งหมด” วิชุเทพบุตรออกความเห็น เขาเองก็ไม่เคยคิดว่าจะอสูรตนใดแอบซ่อนอยู่ในดาวดึงส์สวรรค์ได้นานมากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เหล่าเทพต่างจัดเวรยามและกำลังเฝ้าดูอย่างเข้มงวด หากไม่เกิดเรื่องขึ้นกับ ทิพย์อัปสร น้องสาวของเขา คาดว่าคงไม่ใครรู้เป็นแน่ว่ามีพวกอสูรแอบแฝงตัวอยู่บนสวรรค์ด้วย
“ท่านวิชุเทพบุตร ทิวเขากรวิก อยู่ใกล้กับนครสุทัศน์แห่งใหม่ของพวกอสูร หากพวกเราถึงยอดเขากรวิกช้ากว่านางฟ้าทิพย์อัปสร ข้าเกรงว่าพวกเราอาจจะช่วยเหลือนางฟ้าทิพยอัปสรได้ไม่ทันขอรับ” หนึ่งในเทพอารักขา เอ่ยบอก
วิชุเทพบุตร เหล่าเทพอารักขาต่างเป็นห่วงว่าหาก ทิพย์อัปสร ล่วงล้ำเข้าไปยังเขตแดนของพวกอสูรแล้ว ย่อมเป็นการยากที่จะช่วยนางออกมาได้ ซึ่ง วิชุเทพบุตร เอง ก็กังวลในข้อนี้อยู่ไม่น้อยเช่นกัน โชคดีในโชคร้ายที่อสูรที่ล่อลวงทิพย์อัปสรไป เปลี่ยนแปลงวิธีเดินทางไปยังทิวเขากรวิก แทนที่จะเหาะไปกลับเปลี่ยนเป็นใช้วิธีการเดินเท้าแทน ทำให้การเดินทางไปยังทิวเขากรวิกของนางฟ้าทิพย์อัปสรช้าลงไปมาก มิเช่นนั้นโอกาสที่จะติดตามไปช่วยเหลือนางไว้คงเป็นไปได้ยากมากกว่านี้
“ท่านวิชุเทพบุตร พวกเรารีบเร่งไปที่ทิวเขากรวิกโดยเร็วเถอะ ข้าเป็นห่วง ทิพย์อัปสร เหลือเกิน ไม่รู้ป่านนี้นางจะเป็นอย่างไรบ้าง” เกสรมณฑา ที่เป็นห่วง ทิพย์อัปสร เร่งบอกให้ทุกคนรีบไปยังทิวเขากรวิกโดยเร็ว เวลานี้ เกสรมณฑา ใจร้อนรุ่มราวกับไฟ เป็นห่วง ทิพย์อัปสร เหลือกำลัง
วิชุเทพบุตร เองก็เป็นห่วง ทิพย์อัปสร ผู้เป็นน้องสาวไม่น้อยเช่น จึงรีบออกคำสั่งเร่งให้ทุกคนเดินทางไปยังทิวเขากรวิกให้เร็วที่สุด
“พวกเราทั้งหมดรีบเดินทางให้เร็วขึ้นกว่านี้ อย่างไรพวกเราจะต้องไปถึงทิวเขากรวิกก่อนที่ ทิพย์อัปสร น้องสาวข้าจะไปถึงให้ได้”
“ขอรับ”
เทพอารักขาและเทพทวารบาลต่างรับคำสั่ง เร่งเดินทางเต็มกำลัง ความหวังในเวลานี้คือต้องช่วย ทิพย์อัปสร ให้ได้โดยเร็ว ก่อนที่จะเกิดอันตรายขึ้นกับนาง