เหตุผลที่ทนดูขาดทุนได้ แต่ทนดูกำไรไม่ได้
การตอบสมองของสมอง เมื่อมีภัย หรือเมื่อเห็นเงินในพอร์ตเราลดลงเรื่อย ๆ
สมองส่วน ลิมบิก (สมองที่ควบคุมพฤติกรรม) จะสั่งให้เรา
1.หยุดนิ่ง
2.หนี
3.ต่อสู้
ซึ่งการหยุดนิ่ง เป็นคำสั่งแรกของสมอง โดยรอดูสถานะการณ์ และประเมินความปลอดภัย ก่อนปฏิบัติสิ่งอื่นต่อไป
การหยุดนิ่ง คือปล่อยให้มูลค่าเงิน ของเราตกลงไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้จัดการ หรือควบคุมสิ่งใด ปล่อยมันไป อย่างที่เป็น(let it go)
ดังนั้นคนทั่วไป เมื่อเห็นหุ้นเราตก จึงไม่ทำอะไร นั่นเป็นเพราะสมองส่วนลิมบิก สั่งการตอบสนองภัยคุกคาม โดยหยุดนิ่งประเมินสถานการณ์
เช่น เวลาคนโดนรถชน จะยืนให้ถูกรถชน, เวลาเจอสุนัขดุ จะหยุดนิ่ง และเมื่อสุนัขเริ่มวิ่งมาทำร้าย ก็จะหนี และเมื่อหนีไม่พ้น ก็จะต่อสู้,
หรืออีกกรณีหนึ่ง เวลาทราบข่าวร้าย สมองจะตอบสนอง หยุดนิ่ง ไม่มีจิตใจหรือเรี่ยวแรงทำอะไร นี่เป็นกระบวนการของสมองส่วน ลิมบิก
คนใจร้อน จะใช้สมองส่วนนี้มาก ในการจัดการกับสิ่งเร้า ที่เกิดขึ้น และเป็นส่ิงที่น่ากลัวมาก ต่อการลงทุน
นั่นเป็นเหตุผลว่า เมื่อเราเจอสถาการณ์เลวร้าย "เราสามารถนั่งมอง" ดูมูลค่าหุ้นของเราตกโดยไม่ได้มีการตอบสนองต่อเงินที่ลดลงเรื่อย ๆ แต่อย่างใด
ทางแก้ทางหนึ่งที่ผมคิดได้คือ เราต้องใช้สมองส่วน นิโอคอร์แท็กซ์ สมองส่วนนี้ควบคุมความคิด สติปัญญา เหตุผล
แต่เราต้องใช้ก่อนเริ่ม ลงมือซื้อ-ขาย หรือ วางแผนก่อนนั่นเอง
อย่าให้สมองส่วน ลิมบิก มาสั่งให้เราหยุดนิ่ง หรืออิ้ง กับอันตรายที่เกิดขึ้น
การซื้อขายแบบใช้อารมณ์ หรือใช้เวลาตัดสินใจเพียงสั้น ๆ นั้น จะไม่มีการเตรียมรับมือกับสถานการณ์ ที่เลวร้าย ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในตลาดทุน
โดยเฉพาะคนที่ชอบเล่นหุ้นปั่น หรือตลาดที่แรงเหวี่ยงสูง ต้องมีแผนสำรอง หรือมีขั้นตอนรับมือสถานะการณ์ฉุกเฉินเสมอ
การรับรู้ความเสี่ยงหรืออันตรายในการลงทุน ต้องมีแผนรับมือและจำกัด ความเสี่ยง ในการลงทุน แม้มีความเสี่ยงแต่ก็ควบคุมจำกัดความเสียหายได้
เพื่อน ๆ มีแผนรับมือความเสี่ยงอย่างไร แชร์กันได้ครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ สมอง เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย มีหน้าที่เกี่ยวกับ การจดจำการคิด และความรู้สึกต่างๆ สมอง ประกอบด้วยตัวเซลล์ประมาณ 10 พันล้านตัว ถึง 12 พันล้านตัว แต่ละตัวมีเส้นใยที่เรียกว่า แอกซอน (Axon) และเดนไดรต์ (Dendrite) สำหรับให้ กระแสไฟฟ้าเคมี (Electrochemical) แล่นผ่านถึงกัน การที่เราจะคิด หรือจดจำสิ่งต่างๆนั้น เกิดจากการเชื่อมต่อของ กระแสไฟฟ้า ใน สมอง คนที่ฉลาดที่สุดก็คือ คนที่สามารถใช้ กำลังไฟฟ้า ได้เต็มที่โครงสร้างของสมอง ออกเป็น 3 ส่วน ตามวิวัฒนาการของสมอง
สมอง ส่วนแรก อาร์เบรน (R-brian) หรือ เรปทิเลียนเบรน (Reptilian brain) แปลว่ามาจาก สัตว์เลื้อยคลาน หรือ สมอง สัตว์ชั้นต่ำ ซึ่ง ดร.ไพรบรัม แนะนำว่า เราควรจะเรียก เรปทิเลียนเบรน หรือ สมอง ของ สัตว์เลื้อยคลาน ว่า คอร์เบรน (Core brain) หรือแกนหลัก ของ สมอง คือ สมอง ที่อยู่ที่ แกนสมอง หรือ ก้านสมอง นั่นเอง มีหน้าที่ ขั้นพื้นฐาน ที่ง่ายที่สุดเกี่ยวกับ การเต้นของหัวใจ การหายใจ ทําหน้าที่ เกี่ยวกับ ประสาทสัมผัส และสั่งงานให้ กล้ามเนื้อ มีการเคลื่อนไหว สมอง ส่วนนี้ยังรับ และเก็บข้อมูล เกี่ยวกับ การเรียนรู้ จาก สมอง หรือ ระบบประสาท ส่วนถัดไป และทําให้เกิดเป็น ระบบตอบโต้อัตโนมัติ ขึ้นทําให้เรามี ปฏิกิริยาอย่างง่ายๆ ปราศจาก อารมณ์ ปราศจาก เหตุผล เช่น สัญชาตญาณ การมีชีวิตอยู่เพื่อ ความอยู่รอด ความต้องการอาหาร ที่พักอาศัย
สมอง ส่วนที่สองเรียกว่า ลิมบิกเบรน (Limbic brain) หรือ โอลด์แมมมาเลียนเบรน (Old Mammalian brain) คือ สมอง ของ สัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนม สมัยเก่า ก็คือ สมอง ส่วน ฮิปโปแคมปัส เทมโพราลโลบ และบางส่วนของ ฟรอนทอลโลบ ซึ่งมีหน้าที่ เกี่ยวกับ ความจำ การเรียนรู้ พฤติกรรม ความสุข อารมณ์ขั้นพื้นฐาน ความรู้สึก เช่น ชอบ ไม่ชอบ ดี ไม่ดี โกรธ หรือ มีความสุข เศร้า หรือ สนุกสนาน รัก หรือเกลียด สมอง ส่วนลิมบิก จะทําให้คนเราปรับตัวได้ดีขึ้น มีความฉลาดมากขึ้น และสามารถเรียนรู้โลกได้ กว้างขึ้น เป็นสมอง ส่วนที่สลับซับซ้อน มากขึ้น ทําให้คนเรา มีความสามารถใน การปรับตัว ปรับ พฤติกรรมให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น ถ้าหากมี สิ่งกระตุ้น ที่ไม่ดีเข้ามา สมอง ส่วนนี้จะ แปลข้อมูล ออกมาเป็น ความเครียด หรือไม่มีความสุข
สมอง ส่วนที่สามเรียกว่า นิวแมมมาเลียนเบรน (New Mammalian brain) หรือสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสมัยใหม่ คือสมองใหญ่ ทั้งหมด โดยเฉพาะบริเวณพื้นผิวของสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับ ความรู้สึกนึกคิด การเรียนรู้ สติสัมปชัญญะ และรายละเอียดที่สลับซับซ้อน มีขนาดใหญ่ กว่าสมองอีก 2 ส่วนถึง 5 เท่าด้วยกัน สมองส่วนนี้เป็นศูนย์รวมเกี่ยวกับ ความฉลาด ความคิดสร้างสรรค์ การคํานวณ ความรู้สึก เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ความรักความเสน่หา เป็นสมองส่วนที่ทำให้มนษุย์รู้จูกคิด หาหนทางเอาชนะธรรมชาติ หรือควบคุมสิ่งแวดล้อมในโลกนี้
โครงสร้างสมอง 3 ส่วนที่อยู่ในกะโหลกศีรษะของเรา ก็คือ ระบบประสาทสำคัญที่ได้วิวัฒนาการมาจาก ยุคดึกดำบรรพ์จนถึงปัจจุบัน เป็นสิ่ง ที่ได้รับ มาจากบรรพบุรุษ และเป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถประสบความสำเร็จในชีวิต อย่างไรก็ตาม ควรจำไว้ว่าสมองเรา ยังมีความสามารถ ที่ยังไม่ได้ พัฒนา หรือยังมีโอกาสที่จะพัฒนาไปได้อีกมาก ประสบการณ์ หรือการกระทำของเรารวมถึงความรู้สึก นึกคิด พฤติกรรม กิจกรรม ทั้งหลาย การหลับ การตื่น ความฝัน ล้วนขึ้นอยู่กับสมองทั้ง 3 ส่วนนี้ ทั้งสิ้น ระบบสมอง 3 ส่วนนี้แสดงให้เห็นว่า ธรรมชาติสามารถ สร้าง โครงสร้างใหม่ และโครงสร้างที่สลับซับซ้อนขึ้นบนพื้นฐานของ โครงสร้างเก่า ๆ ซึ่งเปรียบเสมือนเซลล์ง่าย ๆ ที่ได้ผสมผสาน ตัวเองเข้าไป ในสิ่งมีชีวิตที่มีหลายเซลล์ เป็นการเปลี่ยน หรือวิวัฒนาการจากสัตว์เซลล์เดียวเป็นสัตว์หลายเซลล์
เริ่มด้วย ระบบประสาทอาร์เบรน หรือเรปทิเลียนเบรน ที่มีหน้าที่ขั้นพื้นฐานที่ง่ายที่สุดเป็นการทำงานในเด็กเล็ก ๆ ซึ่งค่อย ๆ มีพัฒนาการตามมา สมองส่วนนี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับ ประสาทสัมผัส และสั่งงานให้กล้ามเนื้อมีการเคลื่อนไหว นอกจากทำหน้าที่ พื้นฐานง่าย ๆ แล้ว สมองส่วนนี้ยังรับ และเก็บข้อมูลเกี่ยวกับ การเรียนรู้จากสมอง หรือระบบประสาทส่วนถัดไป และทำให้เกิดเป็นระบบอัตโนมัติขึ้น ทำให้เรามีปฏิกิริยาอย่างง่าย ๆ ปราศจากอารมณ์ ปราศจากเหตุผล เช่น สัญชาตญาณ การมีชีวิตอยู่เพื่อความอยู่รอด ความต้องการอาหาร ที่พักอาศัย หรือการมีเพศสัมพันธ์ในรูปแบบง่าย ๆ ไม่สลับซับซ้อนของสัตว์บางประเภท
สมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสมัยเก่า หรือ สมองลิมบิกเบรน (Limbic brain) ระบบประสาท ส่วนถัดไปที่เรียกว่า ลิมบิกเบรน หรือ โอลด์แมมมาเลียนเบรน หรือสมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสมัยเก่า สมองส่วนนี้จะอยู่ที่เทมโพราลโลบ หรือเป็นส่วนข้าง ๆ ของสมองใหญ่ ทั้งสองข้าง สมองส่วนนี้ได้รับการเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า อีโมชั่นแนลเบรน (Emotional brain) หรือสมองที่เกี่ยวกับ อารมณ์ หรือ ลิมบิก เบรน ซึ่ง Limb มาจากคำว่า "โอบรอบ" คือ สมองส่วนนี้จะโอบรอบสมองส่วนที่เป็นอาร์เบรน หรือเรปทิเลียนเบรน สมองส่วนนี้จะทำให้ เราปรับตัวได้ดีขึ้น มีความฉลาดมากขึ้น และสามารถเรียนรู้โลกได้กว้างขึ้น ดังนั้นการที่มีสมองส่วนนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมจาก อาร์เบรน หรือ สมองส่วนที่เรียบง่าย มาเป็นสมองส่วนที่สลับซับซ้อนมากขึ้น มีความสามารถในการปรับตัว ปรับพฤติกรรมให้เข้ากับ สิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น สมองส่วนนี้จะ เกี่ยวข้องกับความรู้สึก เช่น ชอบ ไม่ชอบ ดี ไม่ดี โกรธ หรือมีความสุข เศร้า หรือสนุกสนาน รัก หรือเกลียด ถ้าหากว่า มีสิ่งกระตุ้น ที่ไม่ดีเข้ามา สมองส่วนนี้ก็แปลข้อมูลออกมา เป็นความเครียด หรือไม่มีความสุข หรือถ้าหากว่าเคยมีประสบการณ์ ที่เจ็บปวดมาก่อน ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกไม่ชอบ เป็นต้น สมองส่วนนี้มีความเกี่ยวข้องกับ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เกี่ยวข้องกับ ความสัมพันธ์ ระหว่างแม่กับลูก เด็กกับครอบครัว เด็กกับสังคม หรือระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย เกี่ยวข้องกับความฝัน วิสัยทัศน์ และความเพ้อฝัน
ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากสมองใหม่ที่เรียกว่า สมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสมัยใหม่ หรือ นีโอคอร์เท็กซ์ (Neocortex) ด้วย สมองส่วนที่ 3 หรือ สมองส่วนที่ทำหน้าที่สูงสุดในบรรดาสมองทั้งหมด เรียกว่า นีโอคอร์เท็กซ์ แปลว่า สมองส่วนใหม่ (New brain) จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าสมองอีก 2 ส่วนถึง 5 เท่าด้วยกัน สมองส่วนนี้จะเป็นที่รวมเกี่ยวกับ ความฉลาด ความคิดสร้างสรรค์ การคำนวณ ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ความรักความเสน่หา สมองส่วนนี้จะทำให้เรารู้จักหาหนทางที่จะควบคุมสิ่งแวดล้อมในโลกนี้ สิ่งที่อยู่รอบตัวเรา และการมีอิทธิพลควบคุม คนอื่นด้วย นอกจากนั้นสมองส่วนนี้จะทำหน้าที่เกี่ยวกับ ความคิดทางด้านปรัชญา ศาสนา เป็นส่วนที่จะ ทำให้เห็นหนทางไปถึง จุดมุ่งหมายของมนุษยชน แต่อย่างไรก็ตาม สมองส่วนนี้ไม่สามารถที่จะทำงานได้ โดยปราศจาก สมองอีก 2 ส่วน คือ อาร์เบรน กับ ลิมบิกเบรน มาช่วยด้วย โดยสมองส่วนใหม่ หรือนีโอคอร์เท็กซ์ แบ่งแยกออกเป็น 2 ด้าน คือ ด้านขวา และด้านซ้าย แต่ละด้านจะมีหน้าที่เฉพาะเจาะจง มีเส้นใยประสาทที่เตรียมพร้อมสำหรับการเรียนรู้ และรับรู้ข้อมูลจากสมองอีก 2 ส่วน ในขณะที่มีการตอบสนองจากระบบอาร์เบรน ก็จะมี การป้อนข้อมูลนี้กลับเข้าไปในสมองส่วนใหม่ หรือนีโอคอร์เท็กซ์ด้วย ซึ่งทำให้เกิดการสร้างระบบประสาทขนานไป กับ ระบบประสาท ใน อาร์เบรน ถ้าหากไม่มี สมองนีโอคอร์เท็กซ์ การตอบสนองก็จะเป็นไป โดยอัตโนมัติ แต่เนื่องจากมีการควบคุมจากสมองส่วนใหม่ หรือ นีโอคอร์เท็กซ์ ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างมีวัตถุประสงค์มากขึ้น มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น
ถึงแม้ว่าสมอง 3 ส่วนจะทำงานประสานกัน แต่ในบางขณะเราสามารถที่จะเลือกใช้สมองส่วนใดส่วนหนึ่งมากกว่าส่วนอื่นได้ เช่น ในเรื่อง เพศสัมพันธ์ ระบบประสาทอาร์เบรนที่เกี่ยวข้องกับเพศสัมพันธ์จะทำงาน แต่จะเห็นได้ว่ามนุษย์เรามีรูปแบบการมี เพศสัมพันธ์ ที่ไม่เหมือน สัตว์ ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติอย่างง่าย ๆ เพศสัมพันธ์ของมนุษย์มีรูปแบบที่ซับซ้อนกว่า มีเรื่อง ของอารมณ์ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น เรื่อง รัก ๆ ใคร่ ๆ แบบโรมิโอกับจูเลียต เป็นต้น ตรงนี้ต้องใช้สมองนีโอคอร์เท็กซ์เข้าไปเปลี่ยนรูปแบบ จากการสืบพันธุ์ง่าย ๆ แบบสัตว์ให้มี รูปแบบ ที่สลับซับซ้อนมากขึ้น
อาร์เบรนยังเกี่ยวข้อง กับเรื่อง ของการใช้ภาษาด้วย พบว่า ทารกในครรภ์จะมีการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ บริเวณปากอย่างเฉพาะเจาะจง ในขณะที่ได้ยินเสียงของแม่พูด ต้องใช้สมองส่วนอาร์เบรน ทำงานสั่งให้กล้ามเนื้อตรงนั้นเคลื่อนไหว และเนื่องจากสมองส่วนอาร์เบรน อยู่บริเวณที่เรียกว่า เบรนสเต็ม (Brain Stem) หรือก้านสมอง ซึ่งจะเป็นประตูปิดเปิดการรับรู้กับโลกภายนอก ดังนั้นถ้าหาก ระบบสมองส่วนนี้เสียไป เราจะไม่สามารถรับรู้โลกภายนอกได้เลย
สมองส่วนอาร์เบรนยังมีหน้าที่เกี่ยวกับ การหลับการตื่น ทำให้เรารู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าสมองอาร์เบรนสามารถที่จะตอบสนอง โดยตรงกับประสาทสัมผัสที่รับเข้ามา แต่ปฏิกิริยาส่วนใหญ่แล้วจะต้องผ่านสมองส่วนอีโมชั่นแนล หรือลิมบิกเบรน เพื่อที่จะจัดเก็บความจำ และทำให้เกิดการเรียนรู้ สมองส่วนอีโมชั่นแนล หรือ ลิมบิกเบรนยังมีหน้าที่เกี่ยวกับ ภาษาอีกด้วย ซึ่งจะเกิดขึ้นก่อนที่เด็กทารกจะพูดได้ ด้วยซ้ำ หากไม่มีสมองส่วนนี้เราจะไม่สามารถเขียน หรือพูด หรือสื่อสารกับใครได้ เช่น เดียวกันกับ ถ้าเราไม่มีสมองส่วนใหม่ หรือสมองนีโอคอร์เท็กซ์ เราก็จะไม่สามารถคิดได้เลย แต่เดิมเราคิดว่าสมอง 2 ส่วนที่เก่าแก่ คือ อาร์เบรน กับ ลิมบิกเบรน ไม่มีประโยชน์ เป็นสิ่งที่หลงเหลือมาจากวิวัฒนาการ งานส่วนใหญ่ ของสมอง จะเกิดขึ้นที่สมองส่วนใหม่ นีโอคอร์เท็กซ์ แต่จากการวิจัยใหม่ ๆ ค้นพบสิ่งตรงกันข้ามว่า ประสบการณ์ในชีวิต ของเรามาจาก การทำงานของสมอง 2 ส่วนนี้ด้วย
credit; http://www.novabizz.com/NovaAce/Brain.ht
สมอง กับการ ลงทุน
การตอบสมองของสมอง เมื่อมีภัย หรือเมื่อเห็นเงินในพอร์ตเราลดลงเรื่อย ๆ
สมองส่วน ลิมบิก (สมองที่ควบคุมพฤติกรรม) จะสั่งให้เรา
1.หยุดนิ่ง
2.หนี
3.ต่อสู้
ซึ่งการหยุดนิ่ง เป็นคำสั่งแรกของสมอง โดยรอดูสถานะการณ์ และประเมินความปลอดภัย ก่อนปฏิบัติสิ่งอื่นต่อไป
การหยุดนิ่ง คือปล่อยให้มูลค่าเงิน ของเราตกลงไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้จัดการ หรือควบคุมสิ่งใด ปล่อยมันไป อย่างที่เป็น(let it go)
ดังนั้นคนทั่วไป เมื่อเห็นหุ้นเราตก จึงไม่ทำอะไร นั่นเป็นเพราะสมองส่วนลิมบิก สั่งการตอบสนองภัยคุกคาม โดยหยุดนิ่งประเมินสถานการณ์
เช่น เวลาคนโดนรถชน จะยืนให้ถูกรถชน, เวลาเจอสุนัขดุ จะหยุดนิ่ง และเมื่อสุนัขเริ่มวิ่งมาทำร้าย ก็จะหนี และเมื่อหนีไม่พ้น ก็จะต่อสู้,
หรืออีกกรณีหนึ่ง เวลาทราบข่าวร้าย สมองจะตอบสนอง หยุดนิ่ง ไม่มีจิตใจหรือเรี่ยวแรงทำอะไร นี่เป็นกระบวนการของสมองส่วน ลิมบิก
คนใจร้อน จะใช้สมองส่วนนี้มาก ในการจัดการกับสิ่งเร้า ที่เกิดขึ้น และเป็นส่ิงที่น่ากลัวมาก ต่อการลงทุน
นั่นเป็นเหตุผลว่า เมื่อเราเจอสถาการณ์เลวร้าย "เราสามารถนั่งมอง" ดูมูลค่าหุ้นของเราตกโดยไม่ได้มีการตอบสนองต่อเงินที่ลดลงเรื่อย ๆ แต่อย่างใด
ทางแก้ทางหนึ่งที่ผมคิดได้คือ เราต้องใช้สมองส่วน นิโอคอร์แท็กซ์ สมองส่วนนี้ควบคุมความคิด สติปัญญา เหตุผล
แต่เราต้องใช้ก่อนเริ่ม ลงมือซื้อ-ขาย หรือ วางแผนก่อนนั่นเอง
อย่าให้สมองส่วน ลิมบิก มาสั่งให้เราหยุดนิ่ง หรืออิ้ง กับอันตรายที่เกิดขึ้น
การซื้อขายแบบใช้อารมณ์ หรือใช้เวลาตัดสินใจเพียงสั้น ๆ นั้น จะไม่มีการเตรียมรับมือกับสถานการณ์ ที่เลวร้าย ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในตลาดทุน
โดยเฉพาะคนที่ชอบเล่นหุ้นปั่น หรือตลาดที่แรงเหวี่ยงสูง ต้องมีแผนสำรอง หรือมีขั้นตอนรับมือสถานะการณ์ฉุกเฉินเสมอ
การรับรู้ความเสี่ยงหรืออันตรายในการลงทุน ต้องมีแผนรับมือและจำกัด ความเสี่ยง ในการลงทุน แม้มีความเสี่ยงแต่ก็ควบคุมจำกัดความเสียหายได้
เพื่อน ๆ มีแผนรับมือความเสี่ยงอย่างไร แชร์กันได้ครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้