K Computer เครื่อง Supercomputer ที่แรงที่สุดในญี่ปุ่น

สืบเนื่องจากกระทู้ที่แล้ว  http://ppantip.com/topic/33921162/ ได้มีการกล่าวถึง K computer
กระทู้นี้จึงขอแนะนำให้รู้จักกับ K Computer เครื่อง supercomputer ที่แรงที่สุดในญี่ปุ่นครับ

เนื้อหา
- ที่มา
- รายละเอียดทางเทคนิค
- Facilities อื่นๆ
- ประโยชน์ของ K computer ต่อวงการวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์
- อนาคตของ K computer

K Computer เป็นโครงการร่วมมือระหว่าง RIKEN Advanced Institute for Computational Science และ Fujitsu ในแผนงาน High Performance Computing Infrastructure (HPCI) ของกระทรวงการศึกษา วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Ministry of Education, Culture, Sports, Science and Technology) เริ่มต้น โครงการในปี 2006 ใช้งานได้จริงในปี 2012

ชื่อ K (Kei) มาจากภาษาญี่ปุ่น  京  ที่แปลว่า 10^16 ซึ่งมาเป้าหมายที่จะสร้าง supercomputer ที่มีความเร็วในการคำนวณ 10^16 FLOP (FLOP = floating-point operations per second )



ตัวอักษร 京 หน้าคอมพิวเตอร์ เขียนโดยคุณ Souun Takeda


K Computer สีแดงแรงสามเท่า ตั้งอยู่ที่ศูนย์วิจัย RIKEN Advanced Institute for Computational Science เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น



ทำความรู้จักกับตัวเครื่องกันดีกว่า



K computer ประกอบด้วย

CPU SPARC64 VIIIf จำนวน 82,944 ตัว
Memory 1.27PB
Local Filesystem 11PB
Global Filesystem 30PB

- ใช้ CPU SPARC64 VIIIf ที่ออกแบบและผลิตโดย Fujitsu




- System boards 24 ตัว  แต่ละตัวมีหน่วยความจำรวม 64GiB


สรุปสเปคได้ดังนี้

- 1 node = 128 GFLOPS 16GiB
- 4 nodes = 1 Service Board =  512 GFLOPS 64GB
- 24 Service Boards = 1 Compute Rack = 12.3 TFLOPS 1.5TB
- 8 Compute Racks = 1 Rack = 98.4TFLOPS 12TB
- Full System = 864 Racks = 10.62 PFLOPS 1.26PB



ระบายความร้อนอุปกรณ์โดยใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำและอากาศร่วมกัน




ทิศทางการไหลของอากาศ ถูกคำนวนเพื่อประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือในการทำงานสูงสุด




ระบบจ่ายไฟนั้น ใช้ PSU แปลงไฟ AC 200V แปลงเป็น 48V เพื่อต่อกับ Server Board (SB)
ตัว PSU มีขนาด 3000W ประสิทธิภาพทางพลังงาน 91%

จากนั้นวงจรควบคุมไฟจะแปลงไฟเป็น 12V และไฟแรงดันต่ำเพื่อจ่ายให้อุปกรณ์แต่ละตัว
เหตุที่ใช้การลดแรงดันไฟฟ้าโดยการใช้วงจรบน SB เพราะว่าต้องการลดการสูญเสียพลังงานไฟฟ้า
เป็นความร้อนเนื่องมาจากความต้านทานในสายไฟ ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมเท่ากับ 76%

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่