ขับรถขึ้นดอยอินทนนท์ท่ามกลางหมอกตอนบ่ายสอง ระทึกใจฝาครอบกะทะล้อหลุดบนดอย ป่า Jurassic เป็นยังไง นาขั้นบันไดแม่กลางหลวงช่วงเดือนมิถุนายนจะสวยแจ่มเหมือนช่วงปลายฝนที่เป็นทุ่งข้าวสีทองมั้ย หาคำตอบได้ในกระทู้นี้เลย
ทริปนี้เราบินจากกรุงเทพมาเชียงใหม่ วันแรกแวะเที่ยว ดอยสุเทพ ดอยปุย และ พักค้างคืนที่โรงแรม Veranda High Resort Chiang Mai ตามกระทู้นี้ไปตามอ่านกันได้จ้า
http://ppantip.com/topic/33903939
วันนี้เป็นวันที่สองของทริป แพลนเที่ยวของเราคร่าวๆคือ ดอยอินทนนท์ บ้านแม่กลางหลวง และพักค้างคืนที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์
จากโรงแรมเรามุ่งสู่ดอยอินทนนท์ จุดแรกที่แวะคือ พระมหาธาตุเจดีย์นภเมทนีดล-พระมหาธาตุเจดีย์นภพลภูมิสิริ
ระหว่างขับขึ้นดอย อากาศก็เย็นขึ้นเรื่อยๆ ตามความสูงที่เพิ่มขึ้น ก่อนถึงพระธาตุเวลาประมาณบ่ายสองหมอกก็ลงจัดจนแทบมองไม่เห็นถนน พอลงจากรถสิ่งแรกที่กระทบผิวคือ ลม ลมแรงมากจนทำให้รู้สึกหนาว อุณหภูมิน่าจะประมาณ 15 องศา เรารีบวิ่งกลับไปที่รถอย่างเร็วเพื่อหยิบเสื้อกันลมมา ใส่เสื้อทับไว้ผมก็ยังกระจุยตามแรงลมอยู่ดี สุดท้ายต้องเอา hood มาคลุม
พอมาถึงก็เห็นพระธาตุในสายหมอกแบบนี้
เราเข้าไปไหว้พระธาตุทั้งสองแล้วเดินชมโดยรอบ รอบๆมีสวนปลูกดอกไม้สวยงามมาก โดยเฉพาะดอกไฮเดรนเยียช่วงนี้กำลังบานสวยเลย
ระหว่างเดินชมสวนก็มีฝนตกเบาๆ ซึ่งก็โชคดีที่เราหยิบเสื้อตัวนี้ติดมาเพราะมันกันทั้งลมทั้งฝนและมี hood ด้วย ใครขึ้นดอยอินทนนท์อย่าลืมติดเสื้อกันลมมาด้วยนะ เพราะลมแรงมากเลย
หลังจากไหว้พระธาตุเป็นสิริมงคลสำหรับวันนี้แล้ว เราก็มุ่งสู่ยอดดอย ระหว่างขับรถท่ามกลางม่านหมอกนั่นเอง ก็มีเหตุระทึกใจเกิดขึ้น ปึ้ก! เสียงดังขึ้น พร้อมกับเสียงแฟนเราร้องว่า เฮ้ย ฝาครอบกะทะล้อหลุด เราสองคนก็ตกใจแล้วหยุดจอดรถชิดริมข้างทาง พอลงมาเช็ค เฮ้ย รถเราจริงด้วย เราสองคนเหงื่อตกเลย มันคือรถเช่าไม่ใช่รถเราจะเป็นไงละเนี่ย ปฏิบัติการตามหากระทะล้อจึงเกิดขึ้น เราช่วยกันเดินย้อนกลับไปหากระทะล้อท่ามกลางหมอกลงหนาทึบ บรรยากาศวังเวงเพราะแทบไม่มีรถผ่านขึ้นดอยหรือสวนทางเลย แต่โชคก็ไม่เข้าข้าง เราเลยตัดสินใจโทรถามบริษัทเช่ารถได้คำตอบอันน่าสะพรึงว่า การที่กระทะล้อหลุดเทียบเท่ากับเราทำอุปกรณ์ติดรถหายต้องเสียค่าปรับ 2600 บาท ถ้ายังไงให้พยายามหาให้เจอ OMG เช่ารถ 3800 บาท แต่จะโดนปรับค่ากระทะล้อ 2ใน3 ของค่าเช่า ซีดเลยทีนี้ เราสองคนสองแรงแข็งขันก็ทั้งขับรถวน ทั้งกระจายกำลังหากระทะล้อกันห้าหกรอบก็ไม่ประสบความสำเร็จ สุดท้ายก็ต้องยอมรับความซวยที่ไม่ได้ก่อ เฮ้อ ทำใจ life goes on ก็เลยตัดใจไปเดินป่าให้ป่าช่วยปลอบประโลมใจเราดีกว่า
จริงๆเราอยากเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน แต่เนื่องจากเป็นช่วงหน้าฝนกิ่วแม่ปานปิดเพื่อความปลอดภัยเลยอดไป เราจึงพุ่งเป้ามาที่ อ่างกา แทน อ่างกาเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติมีความยาวประมาณ 300 เมตร ซึ่งตอนแรกเราเข้าไปไม่ได้คาดหวังมากนัก แต่พอเดินเข้าไปในอ่างกา มันเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกนึง เข้าสู่ยุคดึกดำบรรพ์ Jurassic เลยทีเดียว
ตามเรามา Into the woods กัน
ทางเดินเข้าจะเป็นสะพานไม้แบบนี้ ระหว่างเราเดินก็มีฝนโปรยปรายลงมา แต่มาถึงตัวเราไม่หนักเพราะมีป่าช่วยอุ้มน้ำไว้
เดินเข้าไปแล้วรู้สึกว่าป่าช่างยิ่งใหญ่และน่าพิศวงจริงๆ
ระหว่างทางจะมีป้ายบอกเป็นระยะว่ามีต้นไม้พันธุ์อะไร หรือแถวนี้มีนกชนิดใดอาศัยอยู่
ในป่านี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีความสัมพันธ์กัน
ต้นมอสข้าวตอกฤาษี ซึ่งเป็นพรรณไม้หายาก
ยิ่งได้รับฝน ต้นไม้ก็ยิ่งดูสดชื่นเขียวชอุ่ม
ป่าไม้เหล่านี้จะช่วยโอบอุ้มน้ำฝนไว้ในหน้าฝน และเมื่อถึงหน้าแล้งมันจะคายน้ำออกมา และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร
ต้องขอบคุณป่าแห่งนี้ที่ช่วยชโลมหัวใจเราให้ชุ่มชื่น ถึงแม้เราจะต้องเดินท่ามกลางฝนที่ต้องโปรยปราย อากาศหนาวเย็น แต่ใจเรากลับรู้สึกเป็นสุข สดชื่น มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
ออกจากป่าก็รู้สึกหิวพอดี เราจึงลงจากดอยและเข้าเช็คอินที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ เราสั่งอาหารกันสามสี่อย่าง อาหารหมดอย่างรวดเร็วทุกอย่างอร่อยมาก ขออภัยทุกท่านที่ไม่มีภาพให้ดู
พอท้องอิ่มก็เริ่มมีพลังไปลุยต่อ เราจึงออกเดินทางไปบ้านแม่กลางหลวงกัน เราใช้ google map ซึ่งนำทางไปบ้านแม่กลางหลวงอย่างแม่นยำ ระยะทางจากสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ไปบ้านแม่กลางหลวงใช้เวลาไม่นาน ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ถึง ทางเข้าแม่กลางหลวงเป็นทางลาดชัน แต่สภาพถนนอยู่ในสภาพดีรถ vios สามารถขับเข้าไปได้สบายๆ พอไปถึงเราเลยแวะถามชาวบ้านแถวนั้นว่าเราอยากชมนาขั้นบันได รถจะเข้าไปได้ถึงไหน เราขับมาเรื่อยๆผ่านนาขั้นบันไดในหมู่บ้าน จนถึงทางเข้าที่เริ่มมีบ้านเรือนชาวบ้านอยู่เยอะ คิดว่าไม่ควรเข้าต่อแล้วเลยจอดรถ เห็นป้ายทางเดินเข้าเล็กๆ เขียนว่า มีร้านกาแฟ ให้อาหารปลาได้ พอดีมีคุณน้าผู้หญิงสองคนชาวแม่กลางหลวงนั่งคุยกันภาษาที่เราไม่เข้าใจอยู่ปากทางเข้า เราเลยเสี่ยงเข้าไปถามว่าทางนี้เป็นทางไปร้านกาแฟใช่มั้ย คุณน้าชี้บอกว่าร้านกาแฟไปอีกทาง ทางนี้เข้ามาดูนาขั้นบันไดได้ เราเลยตัดสินใจเดินเข้าไป
ภาพที่เราได้เห็นก็คือภาพท้องทุ่งนาท่ามกลางขุนเขา ลักษณะปลูกเป็นขั้นบันไดแต่ไม่สูงมากนัก
ภาพนี้เราถ่ายจากบ้านพักโฮมสเตย์หลังหนึ่งในหมู่บ้านซึ่งน่าจะเพิ่งสร้างเสร็จ ไม่มีคนเข้าพัก ซึ่งจะมองเห็นวิวทุ่งนาเขียวขจีแบบนี้
ชาวนากำลังใช้คันไถไถนา
ภาพเมฆขาวที่สะท้อนในนาข้าว
เดินต่อไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นคันนา และทุ่งข้าวเขียวขจีที่พึ่งถูกปักดำ สุดปลายสายตาเป็นกระท่อมปลายนาเล็กๆน่ารัก
ซึ่งกระท่อมปลายนานี้ก็คือ ร้านกาแฟนั่นเอง ร้านนี้ชื่อ อุ่มเอิบ coffee ตอนที่เราเดินมาถึงก็พร้อมๆกับเจ้าของร้านกาแฟที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาถึงร้าน
ร้านนี้ตกแต่งได้น่ารัก เก๋ไก๋ มีสไตล์ มีไม้ไอติมให้คู่รักมาเขียนชื่อคู่กัน เด็กๆในหมู่บ้านมานั่งเล่น อ่านหนังสือในร้านกันอย่างสนุกสนาน
คนในหมู่บ้านก็มานั่ง slow life อ่านหนังสือ คุยกัน นั่งดูวิวทุ่งนาสบายใจ
ระหว่างรอเครื่องดื่มเราเลยเดินไปชมทุ่งนาใกล้ๆกระท่อม
ท้องทุ่งนาสีเขียวสุดลูกหูลูกตาทำให้ใจเราชุ่มชื่น
เราสองคนเดินกลับมาดื่มเบอรี่โซดาสีหวานที่สั่งไว้ นั่งชมทุ่งนา อยากหยุดเวลานี้ไว้นานๆ
สุดท้ายเมื่อพระอาทิตย์เริ่มอัสดง เราก็จำใจอำลาบ้านแม่กลางหลวง พร้อมกับความคิดที่ว่าเราต้องกลับมาเยือนที่นี่อีกครั้งอย่างแน่นอน
[CR] ตะลุยดงหมอกดอยอินทนนท์-จิบกาแฟ slow life กลางทุ่งนาบ้านแม่กลางหลวง-เยือนป่า Jurassic (เชียงใหม่หน้าฝน 5D4Nรูปเยอะ)
ทริปนี้เราบินจากกรุงเทพมาเชียงใหม่ วันแรกแวะเที่ยว ดอยสุเทพ ดอยปุย และ พักค้างคืนที่โรงแรม Veranda High Resort Chiang Mai ตามกระทู้นี้ไปตามอ่านกันได้จ้า http://ppantip.com/topic/33903939
วันนี้เป็นวันที่สองของทริป แพลนเที่ยวของเราคร่าวๆคือ ดอยอินทนนท์ บ้านแม่กลางหลวง และพักค้างคืนที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์
จากโรงแรมเรามุ่งสู่ดอยอินทนนท์ จุดแรกที่แวะคือ พระมหาธาตุเจดีย์นภเมทนีดล-พระมหาธาตุเจดีย์นภพลภูมิสิริ
ระหว่างขับขึ้นดอย อากาศก็เย็นขึ้นเรื่อยๆ ตามความสูงที่เพิ่มขึ้น ก่อนถึงพระธาตุเวลาประมาณบ่ายสองหมอกก็ลงจัดจนแทบมองไม่เห็นถนน พอลงจากรถสิ่งแรกที่กระทบผิวคือ ลม ลมแรงมากจนทำให้รู้สึกหนาว อุณหภูมิน่าจะประมาณ 15 องศา เรารีบวิ่งกลับไปที่รถอย่างเร็วเพื่อหยิบเสื้อกันลมมา ใส่เสื้อทับไว้ผมก็ยังกระจุยตามแรงลมอยู่ดี สุดท้ายต้องเอา hood มาคลุม
พอมาถึงก็เห็นพระธาตุในสายหมอกแบบนี้
เราเข้าไปไหว้พระธาตุทั้งสองแล้วเดินชมโดยรอบ รอบๆมีสวนปลูกดอกไม้สวยงามมาก โดยเฉพาะดอกไฮเดรนเยียช่วงนี้กำลังบานสวยเลย
ระหว่างเดินชมสวนก็มีฝนตกเบาๆ ซึ่งก็โชคดีที่เราหยิบเสื้อตัวนี้ติดมาเพราะมันกันทั้งลมทั้งฝนและมี hood ด้วย ใครขึ้นดอยอินทนนท์อย่าลืมติดเสื้อกันลมมาด้วยนะ เพราะลมแรงมากเลย
หลังจากไหว้พระธาตุเป็นสิริมงคลสำหรับวันนี้แล้ว เราก็มุ่งสู่ยอดดอย ระหว่างขับรถท่ามกลางม่านหมอกนั่นเอง ก็มีเหตุระทึกใจเกิดขึ้น ปึ้ก! เสียงดังขึ้น พร้อมกับเสียงแฟนเราร้องว่า เฮ้ย ฝาครอบกะทะล้อหลุด เราสองคนก็ตกใจแล้วหยุดจอดรถชิดริมข้างทาง พอลงมาเช็ค เฮ้ย รถเราจริงด้วย เราสองคนเหงื่อตกเลย มันคือรถเช่าไม่ใช่รถเราจะเป็นไงละเนี่ย ปฏิบัติการตามหากระทะล้อจึงเกิดขึ้น เราช่วยกันเดินย้อนกลับไปหากระทะล้อท่ามกลางหมอกลงหนาทึบ บรรยากาศวังเวงเพราะแทบไม่มีรถผ่านขึ้นดอยหรือสวนทางเลย แต่โชคก็ไม่เข้าข้าง เราเลยตัดสินใจโทรถามบริษัทเช่ารถได้คำตอบอันน่าสะพรึงว่า การที่กระทะล้อหลุดเทียบเท่ากับเราทำอุปกรณ์ติดรถหายต้องเสียค่าปรับ 2600 บาท ถ้ายังไงให้พยายามหาให้เจอ OMG เช่ารถ 3800 บาท แต่จะโดนปรับค่ากระทะล้อ 2ใน3 ของค่าเช่า ซีดเลยทีนี้ เราสองคนสองแรงแข็งขันก็ทั้งขับรถวน ทั้งกระจายกำลังหากระทะล้อกันห้าหกรอบก็ไม่ประสบความสำเร็จ สุดท้ายก็ต้องยอมรับความซวยที่ไม่ได้ก่อ เฮ้อ ทำใจ life goes on ก็เลยตัดใจไปเดินป่าให้ป่าช่วยปลอบประโลมใจเราดีกว่า
จริงๆเราอยากเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน แต่เนื่องจากเป็นช่วงหน้าฝนกิ่วแม่ปานปิดเพื่อความปลอดภัยเลยอดไป เราจึงพุ่งเป้ามาที่ อ่างกา แทน อ่างกาเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติมีความยาวประมาณ 300 เมตร ซึ่งตอนแรกเราเข้าไปไม่ได้คาดหวังมากนัก แต่พอเดินเข้าไปในอ่างกา มันเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกนึง เข้าสู่ยุคดึกดำบรรพ์ Jurassic เลยทีเดียว
ตามเรามา Into the woods กัน
ทางเดินเข้าจะเป็นสะพานไม้แบบนี้ ระหว่างเราเดินก็มีฝนโปรยปรายลงมา แต่มาถึงตัวเราไม่หนักเพราะมีป่าช่วยอุ้มน้ำไว้
เดินเข้าไปแล้วรู้สึกว่าป่าช่างยิ่งใหญ่และน่าพิศวงจริงๆ
ระหว่างทางจะมีป้ายบอกเป็นระยะว่ามีต้นไม้พันธุ์อะไร หรือแถวนี้มีนกชนิดใดอาศัยอยู่
ในป่านี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีความสัมพันธ์กัน
ต้นมอสข้าวตอกฤาษี ซึ่งเป็นพรรณไม้หายาก
ยิ่งได้รับฝน ต้นไม้ก็ยิ่งดูสดชื่นเขียวชอุ่ม
ป่าไม้เหล่านี้จะช่วยโอบอุ้มน้ำฝนไว้ในหน้าฝน และเมื่อถึงหน้าแล้งมันจะคายน้ำออกมา และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร
ต้องขอบคุณป่าแห่งนี้ที่ช่วยชโลมหัวใจเราให้ชุ่มชื่น ถึงแม้เราจะต้องเดินท่ามกลางฝนที่ต้องโปรยปราย อากาศหนาวเย็น แต่ใจเรากลับรู้สึกเป็นสุข สดชื่น มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
ออกจากป่าก็รู้สึกหิวพอดี เราจึงลงจากดอยและเข้าเช็คอินที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ เราสั่งอาหารกันสามสี่อย่าง อาหารหมดอย่างรวดเร็วทุกอย่างอร่อยมาก ขออภัยทุกท่านที่ไม่มีภาพให้ดู
พอท้องอิ่มก็เริ่มมีพลังไปลุยต่อ เราจึงออกเดินทางไปบ้านแม่กลางหลวงกัน เราใช้ google map ซึ่งนำทางไปบ้านแม่กลางหลวงอย่างแม่นยำ ระยะทางจากสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ไปบ้านแม่กลางหลวงใช้เวลาไม่นาน ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ถึง ทางเข้าแม่กลางหลวงเป็นทางลาดชัน แต่สภาพถนนอยู่ในสภาพดีรถ vios สามารถขับเข้าไปได้สบายๆ พอไปถึงเราเลยแวะถามชาวบ้านแถวนั้นว่าเราอยากชมนาขั้นบันได รถจะเข้าไปได้ถึงไหน เราขับมาเรื่อยๆผ่านนาขั้นบันไดในหมู่บ้าน จนถึงทางเข้าที่เริ่มมีบ้านเรือนชาวบ้านอยู่เยอะ คิดว่าไม่ควรเข้าต่อแล้วเลยจอดรถ เห็นป้ายทางเดินเข้าเล็กๆ เขียนว่า มีร้านกาแฟ ให้อาหารปลาได้ พอดีมีคุณน้าผู้หญิงสองคนชาวแม่กลางหลวงนั่งคุยกันภาษาที่เราไม่เข้าใจอยู่ปากทางเข้า เราเลยเสี่ยงเข้าไปถามว่าทางนี้เป็นทางไปร้านกาแฟใช่มั้ย คุณน้าชี้บอกว่าร้านกาแฟไปอีกทาง ทางนี้เข้ามาดูนาขั้นบันไดได้ เราเลยตัดสินใจเดินเข้าไป
ภาพที่เราได้เห็นก็คือภาพท้องทุ่งนาท่ามกลางขุนเขา ลักษณะปลูกเป็นขั้นบันไดแต่ไม่สูงมากนัก
ภาพนี้เราถ่ายจากบ้านพักโฮมสเตย์หลังหนึ่งในหมู่บ้านซึ่งน่าจะเพิ่งสร้างเสร็จ ไม่มีคนเข้าพัก ซึ่งจะมองเห็นวิวทุ่งนาเขียวขจีแบบนี้
ชาวนากำลังใช้คันไถไถนา
ภาพเมฆขาวที่สะท้อนในนาข้าว
เดินต่อไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นคันนา และทุ่งข้าวเขียวขจีที่พึ่งถูกปักดำ สุดปลายสายตาเป็นกระท่อมปลายนาเล็กๆน่ารัก
ซึ่งกระท่อมปลายนานี้ก็คือ ร้านกาแฟนั่นเอง ร้านนี้ชื่อ อุ่มเอิบ coffee ตอนที่เราเดินมาถึงก็พร้อมๆกับเจ้าของร้านกาแฟที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาถึงร้าน
ร้านนี้ตกแต่งได้น่ารัก เก๋ไก๋ มีสไตล์ มีไม้ไอติมให้คู่รักมาเขียนชื่อคู่กัน เด็กๆในหมู่บ้านมานั่งเล่น อ่านหนังสือในร้านกันอย่างสนุกสนาน
คนในหมู่บ้านก็มานั่ง slow life อ่านหนังสือ คุยกัน นั่งดูวิวทุ่งนาสบายใจ
ระหว่างรอเครื่องดื่มเราเลยเดินไปชมทุ่งนาใกล้ๆกระท่อม
ท้องทุ่งนาสีเขียวสุดลูกหูลูกตาทำให้ใจเราชุ่มชื่น
เราสองคนเดินกลับมาดื่มเบอรี่โซดาสีหวานที่สั่งไว้ นั่งชมทุ่งนา อยากหยุดเวลานี้ไว้นานๆ
สุดท้ายเมื่อพระอาทิตย์เริ่มอัสดง เราก็จำใจอำลาบ้านแม่กลางหลวง พร้อมกับความคิดที่ว่าเราต้องกลับมาเยือนที่นี่อีกครั้งอย่างแน่นอน