นิ้วชี้ยาวๆ กด F9 ตามความเคยชินเพื่อ Refresh Mail จาก Server
แม่กลางหลวง....พุ่งมากระแทกตาด้วยความเร็วพอประมาณ
Double Click อีกที ต้นข้าวเหลืองอร่ามเรียงตัวลดหลั่นตามขั้นบันไดจากเมืองไกล
ก็โผล่มาทักทายตรงหน้าที่ออฟฟิศแถวบางนา
วันที่ 1-8 กรกฎาคมเราลานะ..
"แกจะไปเที่ยวไหนอ่ะ??"เสียงเพื่อนถาม
"ตอนแรกว่าจะไปเชียงคาน แต่เดี๋ยวว่าจะแวะไปดูนาข้าวขั้นบันไดที่เชียงใหม่สักวันนึง"
"แวะไปดู" ....เชียงคาน...กับเชียงใหม่
เราหลุดปากเหมือนคนไม่รู้จักประเทศไทย และดูแผนที่ไม่เป็น
คำพูดสบายๆ เหมือนมองว่ามันใกล้กันเหมือนจมูกกับปาก
ทั้งที่ความจริง มันห่างกันประมาณจมูกกับหูซ้าย
หลังจากคำพูดนั้นไม่กี่วัน เราก็มายืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าพระธาตุศรีจอมทอง
พระธาตุประจำวันเกิดคนปีหนู...
700 กว่ากิโลเมตรจากกรุงเทพฯ และกว่า 8 ชั่วโมงบนรถทัวร์ที่หลับๆตื่นๆ
"หนูหริ่ง"จอมซนตัวน้อย ก็ได้มาไหว้พระธาตุประจำปีเกิดตัวเองเอาฤกษ์เอาชัย
"รถสองแถวสีเหลือง ที่เขียนว่า ดอยอินทนนท์ ราคา 80 บาท"
คือสิ่งที่ลายแทงบอกมา
นี่จะเป็นพาหนะเดียวที่จะพาไปสู่ทุ่งนาขั้นบันได ที่เราอยากแค่"แวะมาดู"
รถสองแถวสีเหลืองน่ะเจอแล้ว เพียงแต่สนนราคาของมันแพงมาก (กอไก่ล้านตัว)
ขนาดที่ว่าพาหนะที่พาเรามาจากกรุงเทพมายังถูกกว่านี้เลย
เราปฏิเสธไปอย่างไม่ลังเล แค่นักเดินทางราคาประหยัด
ที่จัดสรรงบประมาณของทริปมาจากบ้านแล้ว
จะให้ใช้เงินจำนวนที่สามารถพาเรากลับจากเชียงใหม่ไปบ้านได้
เพื่อขึ้นไปแม่กลางหลวงที่ห่างออกไปแค่หลักสิบกิโลเมตรคงไม่มีทาง
ลายแทงไม่ได้บอก ว่าจะไปลงที่หมู่บ้านได้ยังไง ถ้าไม่ไปกับรถสองแถวสีเหลือง
หลังจากยืนมองตาชั่วโมงกว่าๆท่ามกลางแดดที่แรงขึ้นเรื่อยๆ
กับผู้ชายแปลกหน้าที่ท่ารถหน้าพระธาตุ
เราก็เริ่มสนทนากันเป็นครั้งแรก พี่เค้าคงเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมกันมากกว่าเนื้อคู่
หลังจากคุยกันไม่นานเราตัดสินใจชวนกันโบกรถ
แม้จุดหมายเราต่างกัน แต่เราต้องเดินไปในเส้นทางเดียวกัน
เราเจอคนใจดีที่ตีนดอยอินทนนท์ ที่ยอมให้เราเกาะท้ายรถขึ้นไป
ที่หมายของเราอยู่ที่ กม. 26 ของดอยอินทนนท์
ส่วนที่หมายของเพื่อนใหม่คือเต๊นท์บนยอดดอยสุดทาง
ลมเย็นๆจากต้นไม้เขียวๆระหว่างทางขึ้นดอย ทำให้เราสนิทกันเล็กน้อย
"อกหักเหรอ ถึงมาเที่ยวคนเดียว"
ประโยคคำถามกึ่งเย้ากึ่งแซวทำให้เราชะงักเล็กน้อย
นึกถึงความสัมพันธ์อันแสนคลุมเครือของคนที่คุยกันมาหลายปี
แต่ให้เรามาคนเดียวโดยไม่ห่วงทำเอาความสุขของเราปลิวตามลมไปเล็กน้อย
"อ๋อ เปล่า แค่อยากชาร์ตแบตน่ะ แล้วพี่ล่ะ"
ดีนะที่เราคว้าความสุขติดมือกลับมาทันไม่ให้มันหล่นกระบะท้ายไป
"ขอบคุณค่ะ" ประโยคสุดท้ายที่หันไปบอกพี่เจ้าของรถ
ก่อนจะได้ยินเสียงโหวกเหวกตามลมของเพื่อนใหม่ที่ยังกึ่งนั่งกึ่งนอนบนกะบะท้าย
"พรุ่งนี้ ถ้าจะลงจากดอยโทร.หาพี่นะ ถ้าไม่มีรถลงเดี๋ยวพี่โบกรถลงมาแวะรับ"
เรายิ้มให้กับความใจดี ขนาดไม่มีรถ ยังมีแก่ใจเอื้อเฟื้อ
ว่าแต่...นี่เรายืนอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย ทางลงชันๆ แคบๆ
พร้อมป้ายที่เขียนว่า "บ้านแม่กลางหลวง หมู่ที่ 17"
นาข้าวขั้นบันได..ที่แวะไปกวักมือเรียกเรามาจากกรุงเทพฯ อยู่ไหนนะ??
...แม่กลางหลวง...
เป็นหมู่บ้านปกาเกอะญอ (กระเหรี่ยง) ตั้งอยู่ในหุบเขานาข้าวขั้นบันได
เป็นส่วนหนึ่งของมูลนิธิโครงการหลวง
และเป็นหมู่บ้านตัวอย่างเรื่องความพอเพียงตามแนวพระราชดำริ
เป็นที่ถ่ายทำหนังเรื่อง หนึ่งใจ...เดียวกัน ที่ทูลกระหม่อมหญิงแสดง
แน่นอนว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้เราไม่รู้มาก่อนแน่ๆ
บอกแล้วว่า นาข้าวขั้นบันได เป็นอย่างเดียวที่ทำให้เราแวะมา
เชียงใหม่ในฤดูฝนกับอุณหภูมิ 16 กว่าองศา
และบ้านพักหลังใหญ่ริมฝายทำให้สดชื่นไม่น้อย
การเดินทางมาถึงที่นี่ก่อนเทศกาลหยุดยาว 1 วัน
หมู่บ้านเลยยังไม่มีคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่
ด้วยความที่ไม่ตั้งใจมา เลยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่มีกิจกรรมอะไรบ้าง
1 วัน 1 คืนคือระยะเวลาที่ตั้งใจมาพัก ทำให้เราไม่สามารถไปเดินป่าดูน้ำตกได้
สุดท้ายพี่เจ้าของที่พัก เลยพาพวกเราเดินชมโครงการรอบหมู่บ้าน
เดินขึ้น เดินลง ผ่านนาข้าว ไร่กาแฟ บ่อเลี้ยงปลา และแปลงเบญจมาศเหลืองอร่าม
นาข้าวขั้นบันได ไม่เหลืองอร่ามออกรวงเหมือนที่ไปเต้นเย้ายวนต่อหน้า
แต่้ต้นกล้าอ่อนๆ สีเขีียวทั้งแผงก็งดงามไม่ต่างกัน น้ำไหลเซาะลงจากที่สูงลงที่ต่ำเรียงกันไป
เหมือนน้ำตกย่อมๆ ซอกซอนไปตามแนวต้นกล้า บ่งบอกถึงภูมิปัญญาชาวบ้าน
อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน และไอหมอกระเรี่ยยอดเขาทำให้ความเหงาในใจจางลงอย่างรวดเร็ว
มันเป็นความชื่นใจแบบบอกไม่ถูก...นี่สินะรางวัลจากการเดินทาง
1 วันที่นี่ทำให้เราก้าวช้าลงกว่าเคย จนอยากหยุดเวลาเอาไว้แค่นี้...
ต้นกล้า..ให้ความรู้สึกเหมือนเกิดใหม่
กาแฟสดสีเข้มสนิท ราดด้วยน้ำร้อนที่ต้มด้วยเตาถ่าน
ทำให้สารบางอย่างในกาแฟมันส่งกลิ่นหอมหวน
เรื่องราวเรื่องแล้วเรื่องเล่า ที่ซุ้มโต๊ะไม้ไผ่ช่วยเปิดโลกเราให้กว้างขึ้น
ที่นี่ทำให้เราลืม..ว่าเรามาจากที่ไหน ลืมว่าเราเป็นใคร
หัวโขนที่ใส่ทุกวัน เราทำหลุดมือไว้ที่ตีนดอยแน่ๆ
ถึงตอนนี้แยกไม่ออกแล้วล่ะ..ว่าไอขาวจากหมอก
หรือจากกาแฟสดร้อนกรุ่นกันแน่ที่สะกดเราไว้ที่นี่
.....แม่กลางหลวง,จอมทอง,เชียงใหม่....
กรกฎาคม 2552
Diary of My Journey :: Route 2 # Mae Klang Luang
แม่กลางหลวง....พุ่งมากระแทกตาด้วยความเร็วพอประมาณ
Double Click อีกที ต้นข้าวเหลืองอร่ามเรียงตัวลดหลั่นตามขั้นบันไดจากเมืองไกล
ก็โผล่มาทักทายตรงหน้าที่ออฟฟิศแถวบางนา
วันที่ 1-8 กรกฎาคมเราลานะ..
"แกจะไปเที่ยวไหนอ่ะ??"เสียงเพื่อนถาม
"ตอนแรกว่าจะไปเชียงคาน แต่เดี๋ยวว่าจะแวะไปดูนาข้าวขั้นบันไดที่เชียงใหม่สักวันนึง"
"แวะไปดู" ....เชียงคาน...กับเชียงใหม่
เราหลุดปากเหมือนคนไม่รู้จักประเทศไทย และดูแผนที่ไม่เป็น
คำพูดสบายๆ เหมือนมองว่ามันใกล้กันเหมือนจมูกกับปาก
ทั้งที่ความจริง มันห่างกันประมาณจมูกกับหูซ้าย
หลังจากคำพูดนั้นไม่กี่วัน เราก็มายืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าพระธาตุศรีจอมทอง
พระธาตุประจำวันเกิดคนปีหนู...
700 กว่ากิโลเมตรจากกรุงเทพฯ และกว่า 8 ชั่วโมงบนรถทัวร์ที่หลับๆตื่นๆ
"หนูหริ่ง"จอมซนตัวน้อย ก็ได้มาไหว้พระธาตุประจำปีเกิดตัวเองเอาฤกษ์เอาชัย
"รถสองแถวสีเหลือง ที่เขียนว่า ดอยอินทนนท์ ราคา 80 บาท"
คือสิ่งที่ลายแทงบอกมา
นี่จะเป็นพาหนะเดียวที่จะพาไปสู่ทุ่งนาขั้นบันได ที่เราอยากแค่"แวะมาดู"
รถสองแถวสีเหลืองน่ะเจอแล้ว เพียงแต่สนนราคาของมันแพงมาก (กอไก่ล้านตัว)
ขนาดที่ว่าพาหนะที่พาเรามาจากกรุงเทพมายังถูกกว่านี้เลย
เราปฏิเสธไปอย่างไม่ลังเล แค่นักเดินทางราคาประหยัด
ที่จัดสรรงบประมาณของทริปมาจากบ้านแล้ว
จะให้ใช้เงินจำนวนที่สามารถพาเรากลับจากเชียงใหม่ไปบ้านได้
เพื่อขึ้นไปแม่กลางหลวงที่ห่างออกไปแค่หลักสิบกิโลเมตรคงไม่มีทาง
ลายแทงไม่ได้บอก ว่าจะไปลงที่หมู่บ้านได้ยังไง ถ้าไม่ไปกับรถสองแถวสีเหลือง
หลังจากยืนมองตาชั่วโมงกว่าๆท่ามกลางแดดที่แรงขึ้นเรื่อยๆ
กับผู้ชายแปลกหน้าที่ท่ารถหน้าพระธาตุ
เราก็เริ่มสนทนากันเป็นครั้งแรก พี่เค้าคงเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมกันมากกว่าเนื้อคู่
หลังจากคุยกันไม่นานเราตัดสินใจชวนกันโบกรถ
แม้จุดหมายเราต่างกัน แต่เราต้องเดินไปในเส้นทางเดียวกัน
เราเจอคนใจดีที่ตีนดอยอินทนนท์ ที่ยอมให้เราเกาะท้ายรถขึ้นไป
ที่หมายของเราอยู่ที่ กม. 26 ของดอยอินทนนท์
ส่วนที่หมายของเพื่อนใหม่คือเต๊นท์บนยอดดอยสุดทาง
ลมเย็นๆจากต้นไม้เขียวๆระหว่างทางขึ้นดอย ทำให้เราสนิทกันเล็กน้อย
"อกหักเหรอ ถึงมาเที่ยวคนเดียว"
ประโยคคำถามกึ่งเย้ากึ่งแซวทำให้เราชะงักเล็กน้อย
นึกถึงความสัมพันธ์อันแสนคลุมเครือของคนที่คุยกันมาหลายปี
แต่ให้เรามาคนเดียวโดยไม่ห่วงทำเอาความสุขของเราปลิวตามลมไปเล็กน้อย
"อ๋อ เปล่า แค่อยากชาร์ตแบตน่ะ แล้วพี่ล่ะ"
ดีนะที่เราคว้าความสุขติดมือกลับมาทันไม่ให้มันหล่นกระบะท้ายไป
"ขอบคุณค่ะ" ประโยคสุดท้ายที่หันไปบอกพี่เจ้าของรถ
ก่อนจะได้ยินเสียงโหวกเหวกตามลมของเพื่อนใหม่ที่ยังกึ่งนั่งกึ่งนอนบนกะบะท้าย
"พรุ่งนี้ ถ้าจะลงจากดอยโทร.หาพี่นะ ถ้าไม่มีรถลงเดี๋ยวพี่โบกรถลงมาแวะรับ"
เรายิ้มให้กับความใจดี ขนาดไม่มีรถ ยังมีแก่ใจเอื้อเฟื้อ
ว่าแต่...นี่เรายืนอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย ทางลงชันๆ แคบๆ
พร้อมป้ายที่เขียนว่า "บ้านแม่กลางหลวง หมู่ที่ 17"
นาข้าวขั้นบันได..ที่แวะไปกวักมือเรียกเรามาจากกรุงเทพฯ อยู่ไหนนะ??
...แม่กลางหลวง...
เป็นหมู่บ้านปกาเกอะญอ (กระเหรี่ยง) ตั้งอยู่ในหุบเขานาข้าวขั้นบันได
เป็นส่วนหนึ่งของมูลนิธิโครงการหลวง
และเป็นหมู่บ้านตัวอย่างเรื่องความพอเพียงตามแนวพระราชดำริ
เป็นที่ถ่ายทำหนังเรื่อง หนึ่งใจ...เดียวกัน ที่ทูลกระหม่อมหญิงแสดง
แน่นอนว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้เราไม่รู้มาก่อนแน่ๆ
บอกแล้วว่า นาข้าวขั้นบันได เป็นอย่างเดียวที่ทำให้เราแวะมา
เชียงใหม่ในฤดูฝนกับอุณหภูมิ 16 กว่าองศา
และบ้านพักหลังใหญ่ริมฝายทำให้สดชื่นไม่น้อย
การเดินทางมาถึงที่นี่ก่อนเทศกาลหยุดยาว 1 วัน
หมู่บ้านเลยยังไม่มีคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่
ด้วยความที่ไม่ตั้งใจมา เลยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่มีกิจกรรมอะไรบ้าง
1 วัน 1 คืนคือระยะเวลาที่ตั้งใจมาพัก ทำให้เราไม่สามารถไปเดินป่าดูน้ำตกได้
สุดท้ายพี่เจ้าของที่พัก เลยพาพวกเราเดินชมโครงการรอบหมู่บ้าน
เดินขึ้น เดินลง ผ่านนาข้าว ไร่กาแฟ บ่อเลี้ยงปลา และแปลงเบญจมาศเหลืองอร่าม
นาข้าวขั้นบันได ไม่เหลืองอร่ามออกรวงเหมือนที่ไปเต้นเย้ายวนต่อหน้า
แต่้ต้นกล้าอ่อนๆ สีเขีียวทั้งแผงก็งดงามไม่ต่างกัน น้ำไหลเซาะลงจากที่สูงลงที่ต่ำเรียงกันไป
เหมือนน้ำตกย่อมๆ ซอกซอนไปตามแนวต้นกล้า บ่งบอกถึงภูมิปัญญาชาวบ้าน
อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน และไอหมอกระเรี่ยยอดเขาทำให้ความเหงาในใจจางลงอย่างรวดเร็ว
มันเป็นความชื่นใจแบบบอกไม่ถูก...นี่สินะรางวัลจากการเดินทาง
1 วันที่นี่ทำให้เราก้าวช้าลงกว่าเคย จนอยากหยุดเวลาเอาไว้แค่นี้...
ต้นกล้า..ให้ความรู้สึกเหมือนเกิดใหม่
กาแฟสดสีเข้มสนิท ราดด้วยน้ำร้อนที่ต้มด้วยเตาถ่าน
ทำให้สารบางอย่างในกาแฟมันส่งกลิ่นหอมหวน
เรื่องราวเรื่องแล้วเรื่องเล่า ที่ซุ้มโต๊ะไม้ไผ่ช่วยเปิดโลกเราให้กว้างขึ้น
ที่นี่ทำให้เราลืม..ว่าเรามาจากที่ไหน ลืมว่าเราเป็นใคร
หัวโขนที่ใส่ทุกวัน เราทำหลุดมือไว้ที่ตีนดอยแน่ๆ
ถึงตอนนี้แยกไม่ออกแล้วล่ะ..ว่าไอขาวจากหมอก
หรือจากกาแฟสดร้อนกรุ่นกันแน่ที่สะกดเราไว้ที่นี่
.....แม่กลางหลวง,จอมทอง,เชียงใหม่....
กรกฎาคม 2552