เห็นต่างประเทศเขาให้ความสำคัญกับกระทรวงนี้มากมาตลอด เพราะโลกทุกวันนี้ไม่มีประเทศใดจะอยู่ได้
โดยลำพังแบบเช่นแต่ก่อน หันมาดูเจ้ากระทรวงนี้ที่ผ่านๆมาว่าแต่ละท่านได้สร้างคุณูปการอะไรให้กระทรวง
นี้จนทำให้ประเทศเราได้ยืนอยู่บนเวทีโลกอย่างสง่าผ่าเผยอย่างที่เห็นๆ>
@ นาย กษิต ภิรมย์ สมัยรัฐบาล อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ ได้มาเป็นผู้นำกระทรวงนี้ก็เพราะเป็น Activist ต่อต้าน
รัฐบาลก่อนอย่างเข้มข้นประกอบเป็นทูตเก่ามาก่อนก็เลยพอเหมาะพอเจาะ ก็ไม่ว่ากัน เพราะรัฐบาลนี้ขึ้นก็
โดยเรียนลัดรอบรั้วเข้ามา มาดูผลงานที่ท่านให้กระทรวงนี้ เหมือนเป็น mission พิเศษอย่างไงอย่างงั้น เพราะ
ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ภาระกิจท่านเป็นการตามล่าผู้ร้ายต่างแดน จะเห็นว่าเดือนๆหนึ่งแทบจะไม่นั่ง
กระทรวงเลย ภาระกิจดูต่างแดนตลอดจากประเทศโน้นไปประเทศนี้ตามล้างตามเช็ดทุกๆอย่าง เท่านี้งานของ
ท่านตลอด 2 ปีก่วา
@ นาย สุรพงษ์ โตจิจักษณ์ชัยกุล สมัยรัฐบาล ยื่งลักษณ์ ชินวัฒน์ ก็คงด้วยความคุ้นเคยกับตระกูลชินวัฒน์มานาน
และด้วยความภักดีเป็นปากเป็นเสียงให้มาตลอดก็เลยได้ลงที่นี้ มาดูผลงานส่วนใหญ่ของท่านก็ไม่แตกต่างจาก
นาย กษิต คนก่อนเท่าไรเพราะภาระกิจท่านก็อยู่แต่เมืองนอกเป็นส่วนใหญ่ต่างจากนาย กษิต ตรงที่ไปประชาสัม
พันธ์นายกหญิงคนแรกของไทยและให้ชาวโลกได้รู้ว่ารัฐบาลนี้ขึ้นมาอย่างสง่างามไปไปลัดรั้วที่ไหนมาและก็ย้อน
ย้อนกลับคู่แข่งทางการเมืองเวลาใครมาก้าวก่ายนายกหญิง..ก็เท่าเนี๋ยงานของท่าน!
@ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฎิมาประกร รัฐมนตรีล่าสุดในยุค คสช ครองเมือง รู้ๆกันอยู่รัฐบาลทหารสิ่งที่ไว้ใจเชื่อใจก็ต้องเอา
ทหารด้วยกันมาเป็น เป็นการเกลี่ยอำนาจตอบแทนกลายๆ สมัยที่ท่านเป็น ผบ.สูงสุด เห็นบุคคลิกท่านเหมือนกัปตัน
วอลเลย์บอล หญิง ดุดันขึงขังกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมตลอด แต่พอมาอยู่ในตำแหน่งนี้ท่านเชื่องลงไปเยอะมาก เหมือนท่าน
จะรู้ตัวรู้สิ่งแวดล้อมของโลกการต่างประเทศ ท่านแจกยิ้มก้มหัวนอบน้อมให้กับผู้คนเวลาที่อยู่ในเวทีโลกเหมือนจะขอโทษ
ขอเวลา ขอความเห็นใจ ยังไงยังงั้นเลย ไม่กล้าที่จะประจันกับปัญหาที่ไทยตกเป็นจำเลยในข้อกล่าวหาต่างๆในสังคมโลก
**** นี่แหละครับ!ตามความเห็นมุมมองของผม ท่านใดจะแย้งก็ยอมรับครับ!เพราะเหตุผลกระทรวงนี้เป็นหน้าเป็นตาของ
บ้านเมือง จึงอยากได้ท่านที่มีความรู้ มีวิสัยทัศน์จริงๆมาคุมกระทรวงนี้ ไม่ใช่จับยัดมาเพราะเหตุผลทางการเมือง!!
และ
ขอวิพากษ์..รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ!
โดยลำพังแบบเช่นแต่ก่อน หันมาดูเจ้ากระทรวงนี้ที่ผ่านๆมาว่าแต่ละท่านได้สร้างคุณูปการอะไรให้กระทรวง
นี้จนทำให้ประเทศเราได้ยืนอยู่บนเวทีโลกอย่างสง่าผ่าเผยอย่างที่เห็นๆ>
@ นาย กษิต ภิรมย์ สมัยรัฐบาล อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ ได้มาเป็นผู้นำกระทรวงนี้ก็เพราะเป็น Activist ต่อต้าน
รัฐบาลก่อนอย่างเข้มข้นประกอบเป็นทูตเก่ามาก่อนก็เลยพอเหมาะพอเจาะ ก็ไม่ว่ากัน เพราะรัฐบาลนี้ขึ้นก็
โดยเรียนลัดรอบรั้วเข้ามา มาดูผลงานที่ท่านให้กระทรวงนี้ เหมือนเป็น mission พิเศษอย่างไงอย่างงั้น เพราะ
ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ภาระกิจท่านเป็นการตามล่าผู้ร้ายต่างแดน จะเห็นว่าเดือนๆหนึ่งแทบจะไม่นั่ง
กระทรวงเลย ภาระกิจดูต่างแดนตลอดจากประเทศโน้นไปประเทศนี้ตามล้างตามเช็ดทุกๆอย่าง เท่านี้งานของ
ท่านตลอด 2 ปีก่วา
@ นาย สุรพงษ์ โตจิจักษณ์ชัยกุล สมัยรัฐบาล ยื่งลักษณ์ ชินวัฒน์ ก็คงด้วยความคุ้นเคยกับตระกูลชินวัฒน์มานาน
และด้วยความภักดีเป็นปากเป็นเสียงให้มาตลอดก็เลยได้ลงที่นี้ มาดูผลงานส่วนใหญ่ของท่านก็ไม่แตกต่างจาก
นาย กษิต คนก่อนเท่าไรเพราะภาระกิจท่านก็อยู่แต่เมืองนอกเป็นส่วนใหญ่ต่างจากนาย กษิต ตรงที่ไปประชาสัม
พันธ์นายกหญิงคนแรกของไทยและให้ชาวโลกได้รู้ว่ารัฐบาลนี้ขึ้นมาอย่างสง่างามไปไปลัดรั้วที่ไหนมาและก็ย้อน
ย้อนกลับคู่แข่งทางการเมืองเวลาใครมาก้าวก่ายนายกหญิง..ก็เท่าเนี๋ยงานของท่าน!
@ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฎิมาประกร รัฐมนตรีล่าสุดในยุค คสช ครองเมือง รู้ๆกันอยู่รัฐบาลทหารสิ่งที่ไว้ใจเชื่อใจก็ต้องเอา
ทหารด้วยกันมาเป็น เป็นการเกลี่ยอำนาจตอบแทนกลายๆ สมัยที่ท่านเป็น ผบ.สูงสุด เห็นบุคคลิกท่านเหมือนกัปตัน
วอลเลย์บอล หญิง ดุดันขึงขังกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมตลอด แต่พอมาอยู่ในตำแหน่งนี้ท่านเชื่องลงไปเยอะมาก เหมือนท่าน
จะรู้ตัวรู้สิ่งแวดล้อมของโลกการต่างประเทศ ท่านแจกยิ้มก้มหัวนอบน้อมให้กับผู้คนเวลาที่อยู่ในเวทีโลกเหมือนจะขอโทษ
ขอเวลา ขอความเห็นใจ ยังไงยังงั้นเลย ไม่กล้าที่จะประจันกับปัญหาที่ไทยตกเป็นจำเลยในข้อกล่าวหาต่างๆในสังคมโลก
**** นี่แหละครับ!ตามความเห็นมุมมองของผม ท่านใดจะแย้งก็ยอมรับครับ!เพราะเหตุผลกระทรวงนี้เป็นหน้าเป็นตาของ
บ้านเมือง จึงอยากได้ท่านที่มีความรู้ มีวิสัยทัศน์จริงๆมาคุมกระทรวงนี้ ไม่ใช่จับยัดมาเพราะเหตุผลทางการเมือง!!
และ