แม้แคมเปญโพสต์คลิป #Dontjudgechallenge หรืออย่าตัดสินคนจากภายนอก ได้รับความนิยมจากดาราในไทย แต่อาจเป็นเรื่องเศร้า ที่หลายคนอาจจะไม่เข้าใจแคมเปญนี้ กลายเป็นการเหยียด และล้อเลียน คนที่หน้าตาไม่ดีมากกว่า
กระแสกระแสในโลกโซเชียล กับแคมเปญ #Don't judge challenge หรือ อย่าตัดสินคนจากภายนอก ได้รับความนิยมจากคนดังและดารานักแสดงในไทย โดยการโพสต์คลิปวิดีโอเซลฟี่ตัวเองในสภาพที่แต่งหน้าเป็นคนน่าเกลียด พร้อมกับเปิดเพลงสนุกสนานประกอบไปด้วย แต่เมื่อเอาปิดหน้ากล้อง และเปิดมาอีกครั้ง กลับกลายเป็นคนสวยหล่อ เพียงชั่วพริบตา รวมทั้งหลายคนก็แสดงความเห็นอย่างสนุกสนาน ตลกขบขัน ไปจนถึง จะแต่งหน้าหรือไม่แต่งหน้า ก็ไม่แตกต่างกัน และในต่างประเทศ ข้อมูลในเว็บไซต์ topsy พบว่า มีผู้ติดแฮชแท็กนี้ในทวิตเตอร์มากกว่า 2 ล้านครั้ง และแฮชแท็กในอินสตาแกรมกว่า 6 หมื่นครั้ง รวมถึงในเฟซบุ๊กจำนวนมากอีกด้วย
แต่แท้ที่จริง หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า แคมเปญนี้ มาจากคลิปวิดีโอในเว็บไซต์ยูทูบที่ชื่อว่า You look disgusting (เธอดูน่ารังเกียจ) ของ My pale skin โดยรวบรวมความเห็นจากชาวเน็ตที่กล่าวถึง 'เอ็ม ฟอร์ด' (Em Ford) บล็อกเกอร์ด้านความงามชาวอังกฤษ หลังจากที่เธอได้โพสต์รูปหน้าสด แต่กลับถูกชาวเน็ตวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับใบหน้าของเธอในด้านลบ และเมื่อเธอแต่งหน้าสวยก็กลับถูกมองว่าเป็นคนหลอกลวง เธอจึงต้องการสื่อให้ทุกคนเห็นว่า ความสมบูรณ์แบบไม่มีอยู่จริง และอยากให้ทุกคนมั่นใจในตนเอง อย่าไปสนใจในคำพูดของคนอื่น ซึ่งมีผู้เข้าชมกว่า 12 ล้านครั้งแล้ว
ความเข้าใจผิดเหล่านี้ ทำให้มีการวิจารณ์ว่า คนหน้าตาดีๆทั้งต่างประเทศและเมืองไทย อาจเข้าใจแคมเปญนี้ผิด โดยแต่งหน้าให้ตัวเองอัปลักษณ์ก่อน แล้วค่อยลบออก แล้วอวดความสวยความหล่อของตัวเอง ทำให้กลายเป็นว่า คนหน้าตาดี มีโอกาสในการอวดความสวยความหล่อของตัวเอง โดยใช้การแกล้งแต่งหน้าให้น่าเกลียดก่อน
กลายเป็นการเหยียดและล้อเลียน คนที่หน้าตาไม่ดีหนักขึ้นไปอีก เพราะเอาคนหน้าตาดีมาแต่งหน้าล้อคนที่หน้าตาไม่ดี กลายเป็นการร่วมแคมเปญนี้แบบผิดๆ ทั้งที่แคมเปญนี้ ต้องการให้คนที่หน้าตาไม่ดี กล้าเผยใบหน้าที่ไม่ดีของตัวเอง โดยการลบเครื่องสำอางออก แล้วเผยใบหน้าที่แท้จริงอย่างภาคภูมิใจ
และไม่ต่างจากแคมเปญ กิจกรรมราดน้ำเย็นหรือ #IceBucketChallenge เมื่อปี 2557 ที่ได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไป นักการเมือง ดาราเซเลบริตี้ทั่วฟ้าเมืองไทยที่มีชื่อเสียง ร่วมรับคำท้าทำกิจกรรมนำน้ำเย็นที่มีน้ำแข็งผสมอยู่ในถังขนาดใหญ่มาราดหัว เพื่อทำให้ร่างกายเกิดความชาและอ่อนแรง ผู้ร่วมทำกิจกรรมจะได้รับรู้ถึงความรู้สึกของผู้ป่วยที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ ALS ว่ามีอาการเป็นอย่างไร และช่วยสมทบทุนบริจาคเงินช่วยเหลือผ่านทางกองทุนผู้ป่วยโรคร้ายนี้ ที่กลายเป็นการบริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศลต่างๆกระจัดกระจาย ขณะที่หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงอย่าง กองทุนสนับสนุนเครื่องช่วยหายใจในผู้ป่วย ALS ภายใต้มูลนิธิสนับสนุนสถาบันประสาทวิทยา กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการรับเงินบิรจาคด้วยช่วยทางอื่น หลังเคมเปญนี้หมดกระแสไป
ปล. รบกวนขอโหวตให้เป็นกระทู้แนะนำหน่อย ดาราจะได้เห็นกันถ้วนทั่วหน้า ก่อนจะเลอะเทะกันไปมากกว่านี้!
CR:
http://news.voicetv.co.th/thailand/232149.html
#DontJudgeChallenge กับการเข้าใจผิดของดาราไทย
แม้แคมเปญโพสต์คลิป #Dontjudgechallenge หรืออย่าตัดสินคนจากภายนอก ได้รับความนิยมจากดาราในไทย แต่อาจเป็นเรื่องเศร้า ที่หลายคนอาจจะไม่เข้าใจแคมเปญนี้ กลายเป็นการเหยียด และล้อเลียน คนที่หน้าตาไม่ดีมากกว่า
กระแสกระแสในโลกโซเชียล กับแคมเปญ #Don't judge challenge หรือ อย่าตัดสินคนจากภายนอก ได้รับความนิยมจากคนดังและดารานักแสดงในไทย โดยการโพสต์คลิปวิดีโอเซลฟี่ตัวเองในสภาพที่แต่งหน้าเป็นคนน่าเกลียด พร้อมกับเปิดเพลงสนุกสนานประกอบไปด้วย แต่เมื่อเอาปิดหน้ากล้อง และเปิดมาอีกครั้ง กลับกลายเป็นคนสวยหล่อ เพียงชั่วพริบตา รวมทั้งหลายคนก็แสดงความเห็นอย่างสนุกสนาน ตลกขบขัน ไปจนถึง จะแต่งหน้าหรือไม่แต่งหน้า ก็ไม่แตกต่างกัน และในต่างประเทศ ข้อมูลในเว็บไซต์ topsy พบว่า มีผู้ติดแฮชแท็กนี้ในทวิตเตอร์มากกว่า 2 ล้านครั้ง และแฮชแท็กในอินสตาแกรมกว่า 6 หมื่นครั้ง รวมถึงในเฟซบุ๊กจำนวนมากอีกด้วย
แต่แท้ที่จริง หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า แคมเปญนี้ มาจากคลิปวิดีโอในเว็บไซต์ยูทูบที่ชื่อว่า You look disgusting (เธอดูน่ารังเกียจ) ของ My pale skin โดยรวบรวมความเห็นจากชาวเน็ตที่กล่าวถึง 'เอ็ม ฟอร์ด' (Em Ford) บล็อกเกอร์ด้านความงามชาวอังกฤษ หลังจากที่เธอได้โพสต์รูปหน้าสด แต่กลับถูกชาวเน็ตวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับใบหน้าของเธอในด้านลบ และเมื่อเธอแต่งหน้าสวยก็กลับถูกมองว่าเป็นคนหลอกลวง เธอจึงต้องการสื่อให้ทุกคนเห็นว่า ความสมบูรณ์แบบไม่มีอยู่จริง และอยากให้ทุกคนมั่นใจในตนเอง อย่าไปสนใจในคำพูดของคนอื่น ซึ่งมีผู้เข้าชมกว่า 12 ล้านครั้งแล้ว
ความเข้าใจผิดเหล่านี้ ทำให้มีการวิจารณ์ว่า คนหน้าตาดีๆทั้งต่างประเทศและเมืองไทย อาจเข้าใจแคมเปญนี้ผิด โดยแต่งหน้าให้ตัวเองอัปลักษณ์ก่อน แล้วค่อยลบออก แล้วอวดความสวยความหล่อของตัวเอง ทำให้กลายเป็นว่า คนหน้าตาดี มีโอกาสในการอวดความสวยความหล่อของตัวเอง โดยใช้การแกล้งแต่งหน้าให้น่าเกลียดก่อน
กลายเป็นการเหยียดและล้อเลียน คนที่หน้าตาไม่ดีหนักขึ้นไปอีก เพราะเอาคนหน้าตาดีมาแต่งหน้าล้อคนที่หน้าตาไม่ดี กลายเป็นการร่วมแคมเปญนี้แบบผิดๆ ทั้งที่แคมเปญนี้ ต้องการให้คนที่หน้าตาไม่ดี กล้าเผยใบหน้าที่ไม่ดีของตัวเอง โดยการลบเครื่องสำอางออก แล้วเผยใบหน้าที่แท้จริงอย่างภาคภูมิใจ
และไม่ต่างจากแคมเปญ กิจกรรมราดน้ำเย็นหรือ #IceBucketChallenge เมื่อปี 2557 ที่ได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไป นักการเมือง ดาราเซเลบริตี้ทั่วฟ้าเมืองไทยที่มีชื่อเสียง ร่วมรับคำท้าทำกิจกรรมนำน้ำเย็นที่มีน้ำแข็งผสมอยู่ในถังขนาดใหญ่มาราดหัว เพื่อทำให้ร่างกายเกิดความชาและอ่อนแรง ผู้ร่วมทำกิจกรรมจะได้รับรู้ถึงความรู้สึกของผู้ป่วยที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ ALS ว่ามีอาการเป็นอย่างไร และช่วยสมทบทุนบริจาคเงินช่วยเหลือผ่านทางกองทุนผู้ป่วยโรคร้ายนี้ ที่กลายเป็นการบริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศลต่างๆกระจัดกระจาย ขณะที่หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงอย่าง กองทุนสนับสนุนเครื่องช่วยหายใจในผู้ป่วย ALS ภายใต้มูลนิธิสนับสนุนสถาบันประสาทวิทยา กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการรับเงินบิรจาคด้วยช่วยทางอื่น หลังเคมเปญนี้หมดกระแสไป
ปล. รบกวนขอโหวตให้เป็นกระทู้แนะนำหน่อย ดาราจะได้เห็นกันถ้วนทั่วหน้า ก่อนจะเลอะเทะกันไปมากกว่านี้!
CR: http://news.voicetv.co.th/thailand/232149.html