ดูกรภิกษุทั้งหลาย ที่สุดในเบื้องต้นแห่งภวตัณหา ย่อมไม่ปรากฏ; ในกาลก่อน
แต่นี้ ภวตัณหามิได้มี; แต่ว่าภวตัณหาเพิ่งมีต่อภายหลัง. เพราะเหตุนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำกล่าวอย่างนี้แหละเป็นคำที่ใคร ๆ ควรกล่าว
และควรกล่าวด้วยว่า "ภวตัณหา ย่อมปรากฏ เพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย" ดังนี้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ถึงแม้ภวตัณหานั้นก็เป็นธรรมชาติมี
อาหาร หาใช่เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอาหารไม่. ก็อะไรเล่า เป็นอาหารของ
ภวตัณหา? คำตอบพึงมีว่า "อวิชชา เป็นอาหารของภวตัณหา" ดังนี้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ที่สุดในเบื้อต้นของอวิชชา ย่อมไม่ปรากฏ; ในกาลก่อน
แต่นี้อวิชชามิได้มี; แต่ว่า อวิชชาเพิ่งมีต่อภายหลัง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คำกล่าวอย่างนี้แหละ เป็นคำที่ใคร ๆ ควรกล่าว และควรกล่าวด้วยว่า "อวิชชา
ย่อมปรากฏเพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย" ดังนี้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ถึงแม้อวิชชานั้น ก็เป็นธรรมชาติมีอาหาร
หาใช่เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอาหารไม่. ก็อะไรเล่า เป็นอาหารของอวิชชา?
คำตอบพึงมีว่า "นิวรณ์ทั้งหลาย ๕ ประการเป็นอาหารของอวิชชา" ดังนี้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ถึงแม้นิวรณ์ ทั้งหลาย ๕ ประการ ก็เป็น
ธรรมชาติมีอาหาร หาใช่เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอาหารไม่. ก็อะไรเล่า เป็น
อาหารของนิวรณ์ทั้งหลาย ๕ ประการ? คำ ตอบพึงมีว่า "ทุจริตทั้งหลาย ๓
ประการ" ดังนี้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ถึงแม้ทุจริตทั้งหลาย ๓ ประการ ก็เป็น
ธรรมชาติมีอาหาร หาใช่เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอาหารไม่. ก็อะไรเล่า เป็น
อาหารของทุจริตทั้งหลาย ๓ ประการ? คำตอบพึงมีว่า "การไม่สำรวมอินทรีย์"
ดังนี้. ....ฯลฯ.... ....ฯลฯ....
การไม่สำรวมอินทรีย์บริบูรณ์แล้ว ย่อมยังความไม่มีสติสัมปชัญญะ
ความไม่มีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์แล้ว ย่อมยังการกระทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย
การกระทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายบริบูรณ์แล้ว ย่อมยังความไม่มีศรัทธา
ความไม่มีศรัทธาบริบูรณ์แล้ว ย่อมยังการไม่ฟังสัทธรรม
การไม่ฟังสัทธรรมบริบูรณ์แล้ว ย่อมยังการไม่คบสัปบุรุษ
การไม่คบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์
....ฯลฯ.... ....ฯลฯ....
การไม่สำรวมอินทรีย์บริบูรณ์แล้ว ย่อมทำทุจริตทั้งหลาย ๓ ประการ
ให้บริบูรณ์;
ทุจริตทั้งหลาย ๓ ประการบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำนิวรณ์ทั้งหลาย ๕
ประการให้บริบูรณ์;
นิวรณ์ทั้งหลาย ๕ ประการบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำอวิชชาให้บริบูรณ์.
ภิกษุ ท.! อาหารแห่งอวิชชานี้ ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ และ
บริบูรณ์แล้วด้วยอาการอย่างนี้.
เมื่ออวิชชาบริบูรณ์แล้วอย่างนี้ ย่อมทำภวตัณหาให้บริบูรณ์.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหารแห่งภวตัณหานี้ ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้
และบริบูรณ์แล้วด้วยอาการอย่างนี้
อวิชชาบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำภวตัณหาให้บริบูรณ์
แต่นี้ ภวตัณหามิได้มี; แต่ว่าภวตัณหาเพิ่งมีต่อภายหลัง. เพราะเหตุนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำกล่าวอย่างนี้แหละเป็นคำที่ใคร ๆ ควรกล่าว
และควรกล่าวด้วยว่า "ภวตัณหา ย่อมปรากฏ เพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย" ดังนี้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ถึงแม้ภวตัณหานั้นก็เป็นธรรมชาติมี
อาหาร หาใช่เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอาหารไม่. ก็อะไรเล่า เป็นอาหารของ
ภวตัณหา? คำตอบพึงมีว่า "อวิชชา เป็นอาหารของภวตัณหา" ดังนี้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ที่สุดในเบื้อต้นของอวิชชา ย่อมไม่ปรากฏ; ในกาลก่อน
แต่นี้อวิชชามิได้มี; แต่ว่า อวิชชาเพิ่งมีต่อภายหลัง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คำกล่าวอย่างนี้แหละ เป็นคำที่ใคร ๆ ควรกล่าว และควรกล่าวด้วยว่า "อวิชชา
ย่อมปรากฏเพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย" ดังนี้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ถึงแม้อวิชชานั้น ก็เป็นธรรมชาติมีอาหาร
หาใช่เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอาหารไม่. ก็อะไรเล่า เป็นอาหารของอวิชชา?
คำตอบพึงมีว่า "นิวรณ์ทั้งหลาย ๕ ประการเป็นอาหารของอวิชชา" ดังนี้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ถึงแม้นิวรณ์ ทั้งหลาย ๕ ประการ ก็เป็น
ธรรมชาติมีอาหาร หาใช่เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอาหารไม่. ก็อะไรเล่า เป็น
อาหารของนิวรณ์ทั้งหลาย ๕ ประการ? คำ ตอบพึงมีว่า "ทุจริตทั้งหลาย ๓
ประการ" ดังนี้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ถึงแม้ทุจริตทั้งหลาย ๓ ประการ ก็เป็น
ธรรมชาติมีอาหาร หาใช่เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอาหารไม่. ก็อะไรเล่า เป็น
อาหารของทุจริตทั้งหลาย ๓ ประการ? คำตอบพึงมีว่า "การไม่สำรวมอินทรีย์"
ดังนี้. ....ฯลฯ.... ....ฯลฯ....
การไม่สำรวมอินทรีย์บริบูรณ์แล้ว ย่อมยังความไม่มีสติสัมปชัญญะ
ความไม่มีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์แล้ว ย่อมยังการกระทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย
การกระทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายบริบูรณ์แล้ว ย่อมยังความไม่มีศรัทธา
ความไม่มีศรัทธาบริบูรณ์แล้ว ย่อมยังการไม่ฟังสัทธรรม
การไม่ฟังสัทธรรมบริบูรณ์แล้ว ย่อมยังการไม่คบสัปบุรุษ
การไม่คบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์
....ฯลฯ.... ....ฯลฯ....
การไม่สำรวมอินทรีย์บริบูรณ์แล้ว ย่อมทำทุจริตทั้งหลาย ๓ ประการ
ให้บริบูรณ์;
ทุจริตทั้งหลาย ๓ ประการบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำนิวรณ์ทั้งหลาย ๕
ประการให้บริบูรณ์;
นิวรณ์ทั้งหลาย ๕ ประการบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำอวิชชาให้บริบูรณ์.
ภิกษุ ท.! อาหารแห่งอวิชชานี้ ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ และ
บริบูรณ์แล้วด้วยอาการอย่างนี้.
เมื่ออวิชชาบริบูรณ์แล้วอย่างนี้ ย่อมทำภวตัณหาให้บริบูรณ์.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหารแห่งภวตัณหานี้ ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้
และบริบูรณ์แล้วด้วยอาการอย่างนี้