ในปัจจุบัน Smartphone กลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่อยู่ติดตัวเราตลอดเวลา
เรียกได้ว่า ลืมของอื่นไว้บ้านยังพอไหว แต่ถ้าลืมมือถือไว้บ้านนี่ ยอมดั้นด้นกลับไปเอาเลยทีเดียว
และเวลาเราไปเที่ยวไหน เดี๋ยวนี้ก็เริ่มขี้เกียจพกกล้องถ่ายรูปใหญ่ๆกันแล้ว เพราะคุณภาพกล้องมือถือพัฒนาไปไวมาก ถ้าไม่ต้องเอาภาพไปทำงานใหญ่ๆ ก็สามารถใช้ Smartphone ถ่ายแทนกล้องถ่ายรูปได้สบายๆ
แถม Smartphone ปัจจุบัน ก็มีฟังก์ชั่นการทำงานที่จำลองมาจากกล้องถ่ายรูปให้เราได้เล่นกันเยอะพอสมควร แต่!... ส่วนใหญ่เราก็ใช้กันแค่ Auto ใช่มั้ยครับ 555
นี่แหละคือที่มาของบทความนี้ ผมอยากแนะนำฟังก์ชั่นการทำงานอื่นๆนอกจาก Mode Auto ของกล้อง Smartphone ดูกันว่ามันทำอะไรได้มากแค่ไหน และมีลูกเล่นอะไรซ่อนอยู่บ้าง
“ มาใช้กล้อง Smartphone ให้คุ้มค่า คุ้มราคากันเถอะ! “
หมายเหตุ
คอนเทนท์นี้ทางซัมซุงชวนมาทำ โดยให้ S6 edge มาลองใช้ ดังนั้นเนื้อหาผมจะขออิงจาก S6 edge เป็นหลักนะครับ แต่ปัจจุบันมือถือหลายรุ่นก็สามารถปรับการตั้งค่าแบบต่างๆได้คล้ายๆกัน มีหลักการใช้งานใกล้เคียงกันครับ ซึ่งสามารถทำตามได้เช่นกัน
และวันนี้เราไปลองถ่ายเล่นกันที่ Mercedes-Benz Cafe, Emporium ครับ เห็นคนช่วงนี้คนชอบไปกันเลยอยากไปบ้าง 555 เลยบรรยากาศดี อาหารอร่อย(และถ่ายรูปสวยด้วย) พึ่งรู้ตอนไปทานอาหาร ว่าที่นี่เป็น MB-Cafe แห่งแรกในเอเชียเชียวนะ! ใครสนใจลองไปทานอาหารกันได้ครับ
วันนี้ผมขอเริ่มจาก Pro Mode กันก่อน
เพราะเป็นโหมดที่มีอะไรให้เล่นเยอะ และคนน่าจะงงมากที่สุดครับ
Pro Mode คืออะไร?
ปรกติเวลาเราใช้มือถือถ่ายภาพ ก็มักจะใช้ออโต้กัน แต่มีหลายๆครั้งที่ไม่ได้ภาพออกมาตามต้องการ เช่น มืดไป สว่างไป หรือโฟกัสในจุดที่เราไม่ต้องการ Pro Mode จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ โดยการจำลองฟังก์ชั่นการทำงานของกล้อง DSLR บางส่วนมาครับ นั้นคือเราสามารถชดเชยแสง, ตั้ง iso (ความไวแสง), สี, ระยะโฟกัส ได้ตามต้องการ แน่นอนว่าในการถ่าย จะใช้เวลามากกว่า Auto แต่ก็ทำให้ได้ภาพแบบที่เราต้องการจริงๆ ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนชอบถ่ายภาพครับ
โดยวิธีการเข้า Pro Mode คือเข้าไปที่กล้องถ่ายภาพ > Mode > Pro
เมื่อเข้า Pro Mode ไป หน้าตาจะเป็นแบบนี้ครับ
จะเห็นว่ามีฟังก์ชั่นให้เราเลือกเยอะเลยทีเดียว และผู้ใช้ที่ไม่ได้มีพื้นฐานการใช้งานกับกล้อง DSLR มาก่อน ก็จะงงกันมากว่าอะไรคืออะไร
ลองมาไล่ดูทีละอันกันดีกว่า
เริ่มจากพื้นฐานสุด คือ
การชดเชยแสง (การปรับแสงสว่างของภาพ)
ฟังก์ชั่นนี้จะให้เราปรับความสว่างของภาพได้ระหว่าง -2 ev ถึง +2 ev
( ความสว่างที่ -2.0 ev )
( ความสว่างที่ -1.1ev )
( ความสว่างที่ +0.8 ev )
( ความสว่างที่ +2.0 ev )
Tip.
การชดเชยแสงแบบนี้ นอกจากใช้ปรับความสว่างได้ตามที่เราต้องการแล้ว การชดเชยแสงยังมีประโยชน์ในสถานการณ์ที่เราถ่ายย้อนแสง แล้ววัตถุเรามืดเกินไป เราก็ชดเชยแสงให้มันสว่างขึ้นได้
ถ่ายย้อนแสง ไม่ชดเชยแสง
ถ่ายย้อนแสง ชดเชยแสง +2ev
หรือการถ่ายวัตถุที่มีสีดำ หากให้กล้องวัดแสง auto บางครั้งกล้องจะโดนหลอก คิดว่าภาพมืดเกินไป กล้องจึงชดเชยให้สว่างขึ้น (กล้องเข้าใจว่า วัตถุสีดำ คือภาพมืดเกิน) จึงทำให้ถ่ายออกมาสว่างเกินจริง วัตถุที่ควรเป็นสีดำ จึงสว่างเกินไป และไม่เป็นสีดำเหมือนตาเห็น เราสามารถแก้ปัญหาได้โดยการชดเชยแสงไปด้านลบ เพื่อให้ภาพมืดลงมาหน่อย และวัตถุสีดำ ออกมาเหมือนที่ตาเห็นมากขึ้น
( Pro Mode ไม่ชดเชยแสง วัตถุสีเข้มจะดูสว่างเกินจริง)
(Pro Mode ชดเชยแสง -1.0 ev วัตถุสีเข้มจะออกมาเหมือนตาเห็นมากกว่า)
ในทางกลับกัน บางครั้งเราให้กล้องวัดแสงauto ถ่ายวัตถุสีขาว กล้องอาจโดนหลอกว่า สว่างเกินไป ตอนถ่ายมาภาพจึงดูมืดๆ หมองๆกว่าที่ควรจะเป็น (กล้องคิดว่าวัตถุสีขาว คือสว่างเกินไป จึงปรับให้มืดลง) เราสามารถแก้ได้โดยการใช้ Pro Mode แล้วชดเชยแสงไปทางด้านบวก เพื่อให้ได้ภาพที่สว่างตามต้องการ และวัตถุสีขาวไม่หมอง
(Pro Mode ไม่ชดเชยแสง วัตถุสีขาวจะออกมาหมอง)
(Pro Mode ชดเชยแสง +1.0 ev วัตถุสีขาวจะออกมาเหมือนตาเห็นมากกว่า)
อันต่อมาคือ
ISO (ความไวแสงของตัวรับภาพ)
หลายๆคนลองปรับแล้ว ก็จะเห็นว่า มันไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย
คือถ้าเราลองปรับในที่สว่างๆ ก็จะไม่ค่อยเห็นผลครับ เพราะในที่สว่างๆ ต่อให้เราปรับiso ไว้สูง
แต่สุดท้ายกล้องก็วัดแสง และปรับความสว่างให้ภาพออกมาสว่างพอดี อยู่ดี
iso ของ S6 จึงไม่ได้มีไว้เพื่อปรับให้ภาพสว่างขึ้นครับ แต่มีไวเพื่อให้กล้องใช้ shutter speed ได้มากขึ้น
เวลาถ่ายในที่แสงน้อย จะช่วยเรื่องภาพสั่นได้
จริงอยู่ที่ iso สูง ก็จะถ่ายในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น แต่หากซูมดูภาพ จะเห็นว่าคุณภาพของภาพที่ได้ลดลง
เกิด Noise (สัญญานรบกวนในภาพ ทำให้ภาพดูแตก) ดังนั้น แนะนำว่าพยายามใช้ iso ให้น้อยสุดเท่าที่เป็นไปได้ละกันครับ ภาพจะได้คมที่สุด
Tip.
แบบที่ผมบอกไปข้างต้นครับ ว่าพยายามใช้ iso ให้ต่ำที่สุดเท่าที่ทำได้ iso สูงๆไว้ใช้ในยามจำเป็น...ตัวอย่างเช่น
สมมุติว่าผมถ่ายสาวในผับ ด้วย iso 100 ปรากฏว่า ภาพออกมาสว่างพอดี แต่มือผมสั่น สาวสวยๆคนนั้น หน้าเบลอจนเอาไปอวดเพื่อนไม่ได้ โอ้คุณพระ ขนาดf1.9 แล้ว ถ้าภาพเบลอจากการขยับแบบนี้แสดงว่า Shutter Speed ของกล้องต่ำเกินไป สถานการณ์แบบนี้แหละครับที่ผมควรจะเพิ่ม iso (มันจำเป็นจีๆนะ 555) ผมเพิ่ม iso ให้สูงขึ้น ภาพที่ได้สว่างเท่าเดิม แต่ชดเชยให้ Shutter Speed ของกล้องไวขึ้น ก็จะช่วยลดปัญหาภาพเบลอจากการขยับไปได้ระดับนึงครับ
(เอาไปใช้ดูหน้าจริงของหนุ่มๆ สาวๆในผับกันก็ได้นะเออ มองในกล้องสว่างๆอาจจะเห็นความจริงอันน่าสะพรึง 555)
ภาพนี้
ภาพนี้ใช้ iso 100 กล้องปรับ Shutter Speed ให้เป็น 1/7 วินาที ภาพยังมืดไปนิดหน่อย (คิดว่า Shutter Speed ต่ำสุดแล้ว และ f 1.9 แล้ว)
ลองเพิ่ม iso เป็น 800 กล้องปรับ Shutter Speed เพิ่มให้เป็น 1/33 วินาที
อันต่อไป
WB ( White Balance ) นั่นก็คือการควบคุมสีของภาพนั่นเอง
White Balance ภาษาไทยคืออุณหภูมิสี มีหน่วยเป็น Kelvin
ยิ่ง WB Kelvin สูงๆ ภาพก็ยิ่งเหลืองๆส้มๆ
ยิ่ง WB Kelvin ต่ำๆ ภาพก็จะยิ่งสีอมฟ้า
ค่าWB มาตฐาน จะอยู่ที่ประมาณ 5,200 - 5,400 Kelvin หรือเราเรียกมันว่า WB Daylight (สัญลักษณ์จะเป็นรูปพระอาทิตย์ครับ)
WB Daylight ซึ่งเป็นค่ามาตฐานนี้ หมายความว่า หากเราเอาวัตถุสีขาว ไปวางกลางแดดตอนเที่ยง วัตถุสีขาวนั้น จะเป็นสีขาวพอดี ไม่อมส้ม หรืออมฟ้า
ลองมาดู White Balance แบบต่างๆที่มีให้ใน S6 กันครับ
Preset ของ WB ที่เตรียมเอาไว้ให้มีดังนี้
Daylight : เหมาะกับการถ่ายกลางแจ้งตอนกลางวัน หรือในห้องที่ไฟเป็นสีขาวสว่าง
Cloudy : ภาพจะอมส้ม เหมาะกับการถ่ายกลางแจ้งในช่วงที่ฟ้าครึ้มๆหน่อย หรือในห้องที่แสง
เป็นสีอมฟ้าๆ แต่บางคนก็ชอบใช้ถ่ายตอนพระอาทิตย์ตกดิน เพื่อให้ได้ภาพสีอมส้มๆ
ครับ
Incandescent : จะเป็นอุณหภูมิสีอมฟ้า เหมาะกับการถ่ายในห้องที่เป็นไฟสีส้ม
Fluorescent : อุณหภูมิสีจะอมฟ้านิดๆ แดงหน่อยๆ เหมาะกับการถ่ายในห้องที่เป็นไฟสีเพี้ยนๆอม
เขียวๆเหลืองๆครับ
Tip.
ในการใช้ WBนั้น อยากให้ลองนึกภาพ ว่าการตั้งค่า WB เปรียบเหมือนการเอากระดาษแก้วสีๆมาบังหน้ากล้องครับ เช่น Cloudy ก็เหมือนการเอากระดาษแก้วสีอมส้มๆมาบังหน้ากล้อง หากแสงในห้องตอนนั้นเป็นแสงสีขาว ภาพก็จะออกมาอมส้มๆ แต่หากแสงในห้องนั้นเป็นสีอมฟ้าๆ เมื่อแสงสีฟ้า มาหักล้างกับ WB Cloudy ที่อมส้มๆ ภาพที่ได้ก็จะค่อนข้างขาวครับ (สีจะตรงกับความเป็นจริง)
[SR] มาหัดใช้ฟังก์ชั่นกล้อง Smartphone ให้คุ้มค่า คุ้มราคากันเถอะ! ตอนที่1: Pro mode
เรียกได้ว่า ลืมของอื่นไว้บ้านยังพอไหว แต่ถ้าลืมมือถือไว้บ้านนี่ ยอมดั้นด้นกลับไปเอาเลยทีเดียว
และเวลาเราไปเที่ยวไหน เดี๋ยวนี้ก็เริ่มขี้เกียจพกกล้องถ่ายรูปใหญ่ๆกันแล้ว เพราะคุณภาพกล้องมือถือพัฒนาไปไวมาก ถ้าไม่ต้องเอาภาพไปทำงานใหญ่ๆ ก็สามารถใช้ Smartphone ถ่ายแทนกล้องถ่ายรูปได้สบายๆ
แถม Smartphone ปัจจุบัน ก็มีฟังก์ชั่นการทำงานที่จำลองมาจากกล้องถ่ายรูปให้เราได้เล่นกันเยอะพอสมควร แต่!... ส่วนใหญ่เราก็ใช้กันแค่ Auto ใช่มั้ยครับ 555
นี่แหละคือที่มาของบทความนี้ ผมอยากแนะนำฟังก์ชั่นการทำงานอื่นๆนอกจาก Mode Auto ของกล้อง Smartphone ดูกันว่ามันทำอะไรได้มากแค่ไหน และมีลูกเล่นอะไรซ่อนอยู่บ้าง
“ มาใช้กล้อง Smartphone ให้คุ้มค่า คุ้มราคากันเถอะ! “
หมายเหตุ
คอนเทนท์นี้ทางซัมซุงชวนมาทำ โดยให้ S6 edge มาลองใช้ ดังนั้นเนื้อหาผมจะขออิงจาก S6 edge เป็นหลักนะครับ แต่ปัจจุบันมือถือหลายรุ่นก็สามารถปรับการตั้งค่าแบบต่างๆได้คล้ายๆกัน มีหลักการใช้งานใกล้เคียงกันครับ ซึ่งสามารถทำตามได้เช่นกัน
และวันนี้เราไปลองถ่ายเล่นกันที่ Mercedes-Benz Cafe, Emporium ครับ เห็นคนช่วงนี้คนชอบไปกันเลยอยากไปบ้าง 555 เลยบรรยากาศดี อาหารอร่อย(และถ่ายรูปสวยด้วย) พึ่งรู้ตอนไปทานอาหาร ว่าที่นี่เป็น MB-Cafe แห่งแรกในเอเชียเชียวนะ! ใครสนใจลองไปทานอาหารกันได้ครับ
วันนี้ผมขอเริ่มจาก Pro Mode กันก่อน
เพราะเป็นโหมดที่มีอะไรให้เล่นเยอะ และคนน่าจะงงมากที่สุดครับ
Pro Mode คืออะไร?
ปรกติเวลาเราใช้มือถือถ่ายภาพ ก็มักจะใช้ออโต้กัน แต่มีหลายๆครั้งที่ไม่ได้ภาพออกมาตามต้องการ เช่น มืดไป สว่างไป หรือโฟกัสในจุดที่เราไม่ต้องการ Pro Mode จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ โดยการจำลองฟังก์ชั่นการทำงานของกล้อง DSLR บางส่วนมาครับ นั้นคือเราสามารถชดเชยแสง, ตั้ง iso (ความไวแสง), สี, ระยะโฟกัส ได้ตามต้องการ แน่นอนว่าในการถ่าย จะใช้เวลามากกว่า Auto แต่ก็ทำให้ได้ภาพแบบที่เราต้องการจริงๆ ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนชอบถ่ายภาพครับ
โดยวิธีการเข้า Pro Mode คือเข้าไปที่กล้องถ่ายภาพ > Mode > Pro
เมื่อเข้า Pro Mode ไป หน้าตาจะเป็นแบบนี้ครับ
จะเห็นว่ามีฟังก์ชั่นให้เราเลือกเยอะเลยทีเดียว และผู้ใช้ที่ไม่ได้มีพื้นฐานการใช้งานกับกล้อง DSLR มาก่อน ก็จะงงกันมากว่าอะไรคืออะไร
ลองมาไล่ดูทีละอันกันดีกว่า
เริ่มจากพื้นฐานสุด คือ การชดเชยแสง (การปรับแสงสว่างของภาพ)
ฟังก์ชั่นนี้จะให้เราปรับความสว่างของภาพได้ระหว่าง -2 ev ถึง +2 ev
( ความสว่างที่ -2.0 ev )
( ความสว่างที่ -1.1ev )
( ความสว่างที่ +0.8 ev )
( ความสว่างที่ +2.0 ev )
Tip.
การชดเชยแสงแบบนี้ นอกจากใช้ปรับความสว่างได้ตามที่เราต้องการแล้ว การชดเชยแสงยังมีประโยชน์ในสถานการณ์ที่เราถ่ายย้อนแสง แล้ววัตถุเรามืดเกินไป เราก็ชดเชยแสงให้มันสว่างขึ้นได้
ถ่ายย้อนแสง ไม่ชดเชยแสง
ถ่ายย้อนแสง ชดเชยแสง +2ev
หรือการถ่ายวัตถุที่มีสีดำ หากให้กล้องวัดแสง auto บางครั้งกล้องจะโดนหลอก คิดว่าภาพมืดเกินไป กล้องจึงชดเชยให้สว่างขึ้น (กล้องเข้าใจว่า วัตถุสีดำ คือภาพมืดเกิน) จึงทำให้ถ่ายออกมาสว่างเกินจริง วัตถุที่ควรเป็นสีดำ จึงสว่างเกินไป และไม่เป็นสีดำเหมือนตาเห็น เราสามารถแก้ปัญหาได้โดยการชดเชยแสงไปด้านลบ เพื่อให้ภาพมืดลงมาหน่อย และวัตถุสีดำ ออกมาเหมือนที่ตาเห็นมากขึ้น
( Pro Mode ไม่ชดเชยแสง วัตถุสีเข้มจะดูสว่างเกินจริง)
(Pro Mode ชดเชยแสง -1.0 ev วัตถุสีเข้มจะออกมาเหมือนตาเห็นมากกว่า)
ในทางกลับกัน บางครั้งเราให้กล้องวัดแสงauto ถ่ายวัตถุสีขาว กล้องอาจโดนหลอกว่า สว่างเกินไป ตอนถ่ายมาภาพจึงดูมืดๆ หมองๆกว่าที่ควรจะเป็น (กล้องคิดว่าวัตถุสีขาว คือสว่างเกินไป จึงปรับให้มืดลง) เราสามารถแก้ได้โดยการใช้ Pro Mode แล้วชดเชยแสงไปทางด้านบวก เพื่อให้ได้ภาพที่สว่างตามต้องการ และวัตถุสีขาวไม่หมอง
(Pro Mode ไม่ชดเชยแสง วัตถุสีขาวจะออกมาหมอง)
(Pro Mode ชดเชยแสง +1.0 ev วัตถุสีขาวจะออกมาเหมือนตาเห็นมากกว่า)
อันต่อมาคือ ISO (ความไวแสงของตัวรับภาพ)
หลายๆคนลองปรับแล้ว ก็จะเห็นว่า มันไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย
คือถ้าเราลองปรับในที่สว่างๆ ก็จะไม่ค่อยเห็นผลครับ เพราะในที่สว่างๆ ต่อให้เราปรับiso ไว้สูง
แต่สุดท้ายกล้องก็วัดแสง และปรับความสว่างให้ภาพออกมาสว่างพอดี อยู่ดี
iso ของ S6 จึงไม่ได้มีไว้เพื่อปรับให้ภาพสว่างขึ้นครับ แต่มีไวเพื่อให้กล้องใช้ shutter speed ได้มากขึ้น
เวลาถ่ายในที่แสงน้อย จะช่วยเรื่องภาพสั่นได้
จริงอยู่ที่ iso สูง ก็จะถ่ายในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น แต่หากซูมดูภาพ จะเห็นว่าคุณภาพของภาพที่ได้ลดลง
เกิด Noise (สัญญานรบกวนในภาพ ทำให้ภาพดูแตก) ดังนั้น แนะนำว่าพยายามใช้ iso ให้น้อยสุดเท่าที่เป็นไปได้ละกันครับ ภาพจะได้คมที่สุด
Tip.
แบบที่ผมบอกไปข้างต้นครับ ว่าพยายามใช้ iso ให้ต่ำที่สุดเท่าที่ทำได้ iso สูงๆไว้ใช้ในยามจำเป็น...ตัวอย่างเช่น
สมมุติว่าผมถ่ายสาวในผับ ด้วย iso 100 ปรากฏว่า ภาพออกมาสว่างพอดี แต่มือผมสั่น สาวสวยๆคนนั้น หน้าเบลอจนเอาไปอวดเพื่อนไม่ได้ โอ้คุณพระ ขนาดf1.9 แล้ว ถ้าภาพเบลอจากการขยับแบบนี้แสดงว่า Shutter Speed ของกล้องต่ำเกินไป สถานการณ์แบบนี้แหละครับที่ผมควรจะเพิ่ม iso (มันจำเป็นจีๆนะ 555) ผมเพิ่ม iso ให้สูงขึ้น ภาพที่ได้สว่างเท่าเดิม แต่ชดเชยให้ Shutter Speed ของกล้องไวขึ้น ก็จะช่วยลดปัญหาภาพเบลอจากการขยับไปได้ระดับนึงครับ
(เอาไปใช้ดูหน้าจริงของหนุ่มๆ สาวๆในผับกันก็ได้นะเออ มองในกล้องสว่างๆอาจจะเห็นความจริงอันน่าสะพรึง 555)
ภาพนี้
ภาพนี้ใช้ iso 100 กล้องปรับ Shutter Speed ให้เป็น 1/7 วินาที ภาพยังมืดไปนิดหน่อย (คิดว่า Shutter Speed ต่ำสุดแล้ว และ f 1.9 แล้ว)
ลองเพิ่ม iso เป็น 800 กล้องปรับ Shutter Speed เพิ่มให้เป็น 1/33 วินาที
อันต่อไป WB ( White Balance ) นั่นก็คือการควบคุมสีของภาพนั่นเอง
White Balance ภาษาไทยคืออุณหภูมิสี มีหน่วยเป็น Kelvin
ยิ่ง WB Kelvin สูงๆ ภาพก็ยิ่งเหลืองๆส้มๆ
ยิ่ง WB Kelvin ต่ำๆ ภาพก็จะยิ่งสีอมฟ้า
ค่าWB มาตฐาน จะอยู่ที่ประมาณ 5,200 - 5,400 Kelvin หรือเราเรียกมันว่า WB Daylight (สัญลักษณ์จะเป็นรูปพระอาทิตย์ครับ)
WB Daylight ซึ่งเป็นค่ามาตฐานนี้ หมายความว่า หากเราเอาวัตถุสีขาว ไปวางกลางแดดตอนเที่ยง วัตถุสีขาวนั้น จะเป็นสีขาวพอดี ไม่อมส้ม หรืออมฟ้า
ลองมาดู White Balance แบบต่างๆที่มีให้ใน S6 กันครับ
Preset ของ WB ที่เตรียมเอาไว้ให้มีดังนี้
Daylight : เหมาะกับการถ่ายกลางแจ้งตอนกลางวัน หรือในห้องที่ไฟเป็นสีขาวสว่าง
Cloudy : ภาพจะอมส้ม เหมาะกับการถ่ายกลางแจ้งในช่วงที่ฟ้าครึ้มๆหน่อย หรือในห้องที่แสง
เป็นสีอมฟ้าๆ แต่บางคนก็ชอบใช้ถ่ายตอนพระอาทิตย์ตกดิน เพื่อให้ได้ภาพสีอมส้มๆ
ครับ
Incandescent : จะเป็นอุณหภูมิสีอมฟ้า เหมาะกับการถ่ายในห้องที่เป็นไฟสีส้ม
Fluorescent : อุณหภูมิสีจะอมฟ้านิดๆ แดงหน่อยๆ เหมาะกับการถ่ายในห้องที่เป็นไฟสีเพี้ยนๆอม
เขียวๆเหลืองๆครับ
Tip.
ในการใช้ WBนั้น อยากให้ลองนึกภาพ ว่าการตั้งค่า WB เปรียบเหมือนการเอากระดาษแก้วสีๆมาบังหน้ากล้องครับ เช่น Cloudy ก็เหมือนการเอากระดาษแก้วสีอมส้มๆมาบังหน้ากล้อง หากแสงในห้องตอนนั้นเป็นแสงสีขาว ภาพก็จะออกมาอมส้มๆ แต่หากแสงในห้องนั้นเป็นสีอมฟ้าๆ เมื่อแสงสีฟ้า มาหักล้างกับ WB Cloudy ที่อมส้มๆ ภาพที่ได้ก็จะค่อนข้างขาวครับ (สีจะตรงกับความเป็นจริง)