จากนักเรียนไทย สู่ หนึ่งในผู้จัดการบริษัทหนังสือพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย (ตอนที่ 2)

**อ่านเรื่องราวอื่นๆ: http://bit.ly/1fzAxtP
**ติดตามเรื่องราวในเฟสบุค: http://bitly.com/1HK82FZ

ตอนที่ 2: เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย

ผ่านมาแล้ว เกือบ 3 เดือน...

นึกกับตัวเองว่า...ทำไมชีวิตมันน่าเบื่ออย่างนี้ เรียนแล้วกลับบ้าน กลับบ้านแล้วมาเรียน ไม่มีสีสันอะไรในชีวิตเลย ชีวิตเรียบง่ายมากกก แต่แล้ว…..ก็นึกขึ้นมาได้ว่า เออออออะ!! เราต้องจ่ายค่าเทอมของเทอมหน้าเองนี่นา ตามที่สัญญากับแม่ไว้ (คือต้องใช้เงินประมาณ 10,000 ดอลล์นิดๆ เป็นเงินไทยประมาณ 300,000 กว่าบาท) ฮือๆๆๆ ในชีวิตไม่เคยนึกมาก่อนว่าเงิน 300,000 บาทมันเป็นมูลค่าที่เยอะมากขนาดนี้ จนกระทั่งต้องมาลองหาเงินด้วยตนเอง เอาก็เอา....ต้องเริ่มหางานละ ไม่งั้นไม่รู้เลยว่าจะไปเอาเงินมาจากไหน T T


ขอทำ resume ก่องๆๆ

จากวันนั้นก็เริ่มเลย ด้วยการทำ Resume  เปิดในเน็ตเอาไอเดียหลายๆอันมารวมกัน จนได้เป็น resume น้อยๆออกมาอันหนึ่ง (เป็น resume ที่กิ๊กก๊อกสุดๆๆ) ทำเสร็จแล้ววว จากนั้นก็เริ่มคิดว่าเราจะไปหางานทำที่ไหนดี เคยได้ยินมาว่าถ้าทำงานร้านฝรั่งๆ เค้าจะให้ค่าแรง ประมาณ 15-20 ดอลล์ต่อชั่วโมง ถ้าทำร้านเอเซียๆหน่อยเค้าจะให้ 8-12 ดอลล์นิดๆต่อ ช.ม. คิดไว้ว่าร้านอาหารไทยคงเป็นช๊อยส์สุดท้าย เพราะเดี๋ยวกลัวได้พูดแต่ภาษาไทย ก้เลยตัดสินใจเริ่มไปสมัครงานร้านฝรั่งๆก่อนเลยละกัน เผื่อฟลุ๊ค ^^


เริ่มด้วยห้างที่ออสจ๋าาฝุดๆๆๆ เอา Myer กับ DJ ก่อนเรยละกันน


Krispy Kreme ก้อด้วย อันไหนฝรั่งๆนี่เอาไว้ก่อน


Max Brenner Chocolate Bar ฮี่ ฮี่ ฮี่


ร้านสลัดก้อด้วย!!!

ก้อเอาเลย! วันแรกที่ลองเริ่มหางานพาร์ททาม ไปห้างแถวๆบ้านเลยเนี่ยแหละ ร้านเยอะดี ก้อเริ่มตั้งแต่เอา resume ไปลองสมัครงานทุกที่ที่เป็นร้านฝรั่งๆ เช่น ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้า ร้านรองเท้า  ร้านชอคโกแล๊ต ร้านขายเนื้อ ร้านโดนัท ไปมาหมดทุกร้าน ตอนเดินไปก็เดินไปแบบกล้าๆ กลัวๆ งึกๆงักๆ ไม่มันใจเลย แต่ดีที่มีแฟนไปด้วยเพราะเค้าเป็นคนคอยผลักดัน และคอยบอกว่า “Just go in and do your best! You have nothing to lose!” เอาก็เอาวะ!! แต่ละที่ๆเดินเข้าไปอย่างเงอะๆงะๆ...


Me: “Hi, I’m just wondering if you have any casual position available?”
Store manager: “Do you want to hand in your resume and we’ll get back to you?”

ทุกคำตอบจะคล้ายๆกันหมดว่า ขอ resume ไว้ก่อนแล้วเราจะติดต่อไป  ในใจก็แอบดีใจว่า เดี๋ยวเค้าน่าจะติดต่อมาเร็วๆนี้ แต่แล้วผ่านไป  1 อาทิตย์.... 2 อาทิตย์ก้อแล้ว....

ก้อยังไม่มีใครติดต่อมาเลย  นึกกับตัวเอง...โอเคไม่เปนรายเค้าคงยังดู resume เราอยู่
แต่ปาเข้าไปแล้ว 3 อาทิตย์...มัน ไม่มีใครติดต่อกลับมาเล๊ยยจริงๆ T T เศร้ามากๆ คิดว่าเค้าคงเอา resume เราไปทำกระดาษทดแล้วแน่ๆเลย แอบคิดในแง่ลบด้วยว่า เพราะเราเป็นเอเซียรึเปล่าเค้าเลยไม่รับ หรือ เพราะภาษาเรา หรือ เพราะบุคลิคของเราที่ไม่ผ่านหรึอเปล่า คือไม่มีร้านไหนอยากได้คนทำงานขันแข็งอย่างเราไปร่วมงานด้วยเลยหรอ เราก้อเปนคนมีความรู้มีดีกรี ทำไมมีใครเห็นคุณค่าเราเลย downๆๆๆ แต่ยังไงก็ตามเรา ”ต้อง” ทำงานหาเงินจริงๆ ไม่งั้นเราจะเอาเงิน 300,000 บาทมาจากไหน


ฮือๆๆๆๆ แอบร้องไห้เสียจายยย Y Y

ในเมื่อเค้าไม่รับเราก้อต้อง move on คิดกับตัวเองว่า ยังไงเราก้อตามเราต้องหางานให้ได้ ลองใหม่! คราวนี้ถ้าร้านฝรั่งไม่รับ เราไปร้านเอเซียๆก้อได้  


ร้านอาหารจีน


ร้านอาหารจีนแบบ Yum Cha ชื่อ Prince


อาหารทอดๆ grillๆ ในร้าน Yumcha

วันนั้นเลยก้อเอาเลย! เริ่มต้นไปหางานตั้งแต่ 10 โมงเช้าที่ห้างเดิม โดยมีเป้าหมายเป็นร้านทุกร้านเท่าที่จะหาได้ เอาละร้าน Asian Grocery ที่มีเจ้าของร้านซิ่มมากกก, ร้านซูชิ, ร้านอาหารไทยที่คนเกาหลีเปนเจ้าของง (เอ๊ะ! ยังไง), ร้าน 2ดอลล่า, Noodles Bar ไปมาหมดดดด

จนกระทั่งเป้าหมายต่อมาเป็นร้านไอศรีม เห็นคุณลุงคนเอเซียทำงานอยู่อย่างขันแข็งสุดๆ เราก็เดินเข้าไปแบบอายๆเหมือนเดิม....

Me: Hi, are you looking for any casual worker?
(คุณลุงเลยไปบอก Store manager ที่เป็นผู้หญิงคนจีน ให้ว่าเราอยากหางานพาร์ททาม เค้าก้อออกมาก แล้วก้อจ้องเราอยู่ 2-3 วิ...)
Store Manager: “......Yes, we are looking for casuals. Do you have resume?”

ก้อเลยยื่น resume ให้ เค้าก็เปิดไปเปิดมา เราก็ลุ้นแล้วลุ้นอีก ปรื๊บ! เค้าหันมาก้อหันมาถามเกี่ยวกับว่าเราว่า เป็นใคร มาจากไหน เรียนที่ไหนอะไร พักอยู่ที่ไหน  ทำงานได้วันไหนบ้าง ถามไปเรื่อยๆ และแล้วก้อถามว่า........เริ่มงานได้เมื่อไหร่?  เราบอกว่าเริ่มได้ตั้งแต่พรุ่งนี้เลย เค้าเลยบอกว่าโอเครงั้นพรุ่งนี้มาเลยตอน 10 โมงเช้า โชะ!!!! ได้ยินแล้วก้อดีใจมากกกกกก!!! ทำไมมันง่ายอย่างงี๊ล่ะ!!! จากนั้นเค้าก็ออธิบายหน้าที่ของงาน และก็ค่าแรงต่างๆให้ฟังคือ
- เป็น shopkeeper ขายไอศรีม น้ำผลไม้ปั่น มิลค์เชค  ป๊อบคอร์น  ฮอตดอก สเลอปี๊ ฯลฯ
(เราก็ตอบ OK!)
- ร้านเปิด 9 โมง ปิด 5 โมง ทุกวันยกเว้น Night Shopping วันพฤหัสปิด 3 ทุ่ม
(เราก็ตอบ OK!)
- คุณลุงและคุณป้าจะเป็นคน Train งานให้ และทุกวันจะได้ทานไอศรีมฟรี 1 โคน (อื้อหือ...ดีจิงๆ)
(เราก็ตอบ OK!)
- ค่าแรงเริ่มเดือนแรก 9 ดอลล์ ต่อชั่วโมง จากเดือนแรกไปแล้วจะเป็น 11 ดอลล์ต่อชั่วโมงนะ (แป่ววว....คิดในใจว่าทำมันน้อยจังเนี่ย แต่ว่าเอาก้อเอา!!)
(เราก็ตอบ Ummm…OK!)

Yayyyy!!!!! ดีใจมากๆๆๆ วันนั้นเป็นวันแรกที่รู้สึกมี self-confidence เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยยย  หลังจากได้งาน



พอเริ่มทำงานปุ๊บ คุณลุงคุณป้าก้อช่วย train ให้เป็นอย่างดี หลายอาทิตย์ต่อมา รู้สึกตัวเองเป็น expert สุดๆในการสกู๊ปไอศรีม ทำมิลค์เชค ทำฮอตดอก ทำป๊อปคอร์น สับผลไม้ ทำน้ำปั่นต่างๆ แถมได้กินไอติมฟรีด้วย แฮปปี้กับงานจริงๆ แต่ละวันเจอลูกค้าดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ก็ไม่เปนไร ถือว่าเป็นการปรับตัวให้รู้จักผู้คนของออสเตรเลียให้มากขึ้น พอชีวิตเริ่มมีทิศทางก็เลยตัดสินใจสอนพิเศษน้องๆแถวบ้านด้วย โดยการสอนการบ้าน ได้ค่าสอนมาชั่วโมงละ 20 ดอลล์ จากตอนนั้นก็เริ่มเก็บเงินที่ได้จากการทำงานพาร์ททามไปเรื่อยๆ  และใช้เงินอย่างประหยัดมากๆ  

รู้สึกดีจิงๆที่เริ่มเหนแสงไฟในชีวิตของตัวเองในออสเตรเลียละ....


สิ่งที่ได้เรียนรู้จากบทเรียนที่ 2:

1) เป้าหมายมีไว้ให้พุ่งชน
เมื่อเรารู้แล้วว่าเราต้องทำอะไรเช่น ต้องหาเงินมาจ่ายค่าเทอม หรือ ต้องสอบให้ผ่าน หรือ อะไรก็ตาม เรา "ต้อง" ลงมือทำ เพราะถ้าเราเลื่อนเป้าหมายนั้นไปเรื่อยๆ มันจะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงหรือเกิดขึ้นเลย

2) There's nothing to lose! (มันไม่มีอะไรจะเสีย เป็นไง เป็นกัน!)
หากเราไม่กล้าทำอะไรบ้างอย่างหรือเราไม่กล้าเผชิญหน้าอะไรบางอย่าง ในตัวอย่างนี้คือไม่มั่นใจที่จะไปของานพิเศษทำ ให้คิดซะว่าเราไม่มีอะไรจะเสีย และ จงมุ่งหน้าเดินเข้าไปในร้านเพื่อไปของาน ฮ่า ฮ่า ลองคิดดูว่าถ้าวันนี้เดินเข้าไปของานทำ หรือยื่นเรซูเม่แล้วเค้าไม่รับ มันก้อไม่ได้ส่งผลเสียอะไร You're not going to die!! ตอนเราเดินออกมาจากร้านเค้าก้อคงจำไม่ได้แล้วว่าเราเป็นใคร แต่ถ้าเราไม่ได้เดินเข้าไป เราอาจจะไม่เคยได้งานทำเลยก้อได้

3) ล้มได้ ท้อได้ แต่ต้องลุกขึ้นมาด้วย
เมื่อเราลองสมัครงานไปหลายๆที่แล้วเค้าไม่รับ เข้าใจว่ามันเสียเซลฟ์ มัน down แต่เราก้ออย่าหยุดแค่ตรงนั้น (เพราะหยุดแล้ว เราก้อจะอยู่ตรงนั้น และอาจจะไม่ได้งานอะไรเลย) แต่ถ้าเราฮึดสู้หางานต่อเรา สมัครไป 100 ที่มันจะต้องมีซักที่ๆเค้าจะรับเรา เพราะฉะนั้น "อย่า ยอม แพ้" นะคะ ^^


**อ่านเรื่องราวอื่นๆ: http://bit.ly/1fzAxtP
**ติดตามเรื่องราวในเฟสบุค: http://bitly.com/1HK82FZ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่