เปลี่ยนสายงาน และยอมลดเงินเดือน แต่ถูกกลับมองว่าตกต่ำ

งง กับ ตะกระของคนบางคน เรามีประสบการณ์ทำงาน 8 ปีกว่า อายุ 30+ แต่งงานปีนี้ปีที่ 4
เงินเดือน ณ ตอนนั้น 48000 ฐานเงินเดือน +(เบี้ยเลี้ยง +โอที+ ค่ารถ)รับอยู่ 52000-55000
ช่วงนั้นป่วยหนัก   คุณสามีให้ลาออกจากงานเพื่อพักผ่อนรักษาตัว (ตอนนั้นป่วยจนเดินไม่ได้ค่ะ)

เราพักรักษาตัว จนร่างกายน่าจะปกติเกือบเต็ม 100%รวมแล้วประมาณ 1 ปีกว่าๆ
เราอยากทำงานเพราะว่าเบื่ออยู่ว่างไม่ได้ทำอะไรนอกจากคิดเมนูอาหารแต่ละวัน
อ่านข่าว ดูทีวี  ดูหุ้น ช่วงนั้นหัดเล่นหุ้น คุณสามีเห็นว่าร่างกายเราโอเคสามารถทำงานได้
อนุญาติให้ทำงานได้ แต่ไม่อนุญาตให้ทำงานสายเดิม เพราะถ้าทำสายเดิมต้องเดินทางเข้าเมือง  
และกลับไปเครียดและกลับบ้านดึกเหมือนเก่า

เราไปสมัครงานเริ่มแรกบริษัทรับเราในตำแหน่ง Admin (แถวที่พักตำแหน่งนี้ง่ายสุด  รับสมัครเยอะ)
แต่เราคุยกับฝ่ายจัดซื้อได้ลงตัว ฝ่ายจัดซื้อเลยขอเราไปเป็นลูกมือ ทำงาน Admin ได้ 2 เดือน
ตอนนี้ทำตำแหน่งจัดซื้อมาได้ 9 เดือนแล้วค่ะ รวมแล้วทำงานได้ 11 เดือนแล้วค่ะ เริ่มแรกเราได้เงินเดือน  17,000
พอเราย้ายไปจัดซื้อ บริษัทเพิ่มเงินเดือนให้เป็น 20,000 เพราะความรับผิดชอบเยอะขึ้น หัวหน้าที่ขอเราไปช่วยงาน
พูดขอเพิ่มให้  ผ่านโปร 4 เดือนเพิ่มให้เราเป็น 22,000 ค่ะ (ไม่รวมเบี้ยขยัน ถ้าไม่ขาด ไม่ลา ไม่สาย 500/เดือน)

ทุกวันนี้เวลาเจอเพื่อนๆพอรู้ว่าเราเปลี่ยนสายงานและลดเงินเดือน ก็จะพูดทับถมเรา กันประมาณว่า ทำไมยอมลดตัวเอง
แบบนี้เงินเดือนใช้พอเหรอ คงลำบากหน้าดู  บราาาาาาา เยอะมากบางคนเวลาคุยกันอยู่ดีๆเราคุยด้วยก็จะเบรกเราทันที
ประมาณว่าฉันคนละพวกกับเธอแล้วจะพูดประมาณว่าตำแหน่งเราต่ำต้อย
(หมายถึงเวลาคุยเรื่องงานค่ะ) เวลาเจอกันก็จะคุยแต่เรื่องที่เราเปลี่ยนสายงาน
และทนทำงานเป็นเบ้คนอื่น เพื่อนบางคนยังไม่เคยเจอกลับเม้าเรื่องของเราซะงั้น...

พอเราเริ่มงานจัดซื้อ เพิ่งค้นพบว่าเราชอบคุยกับคนโน้น  ชอบต่อรอง ชอบค้นหา  
ชอบเสนอของแปลกๆใหม่ งานจัดซื้อ ไม่ต้องทำงานตามแผนบังคับใคร
และทำตามคำสั่งใครว่าต้องทำโน้นนี้ ซึ่งอยู่ที่เทคนิคของตัวเอง แต่หวังผลลัพธ์  
บริษัทต้องได้ผลประโยช์และกำไรมากที่สุด และขอเครดิตให้ได้ ทำสัญญาต้องไม่พลาด
ได้ของดีราคาถูก จนทุกวันนี้เวลา จะต่อรอง เจรจาอะไร เจ้านายจะเรียกเราขึ้นไปใช้งาน
ไม่ว่าจะงานบริษัทโดยตรงหรืองานส่วนอื่น (เจ้านายบอกว่าเราโน้นน้าวคนเก่ง อ้อนเก่งค่ะ)
และตามตื้อและจิกงานบ่อย (ไม่ได้พูดจาแรงนะ เราจะตามงานบ่อยๆ แต่จะพูดดีๆเพราะๆให้คนโดนตามเกรงใจ)


ถามว่าเงินเดือนลดลงครึ่งๆ พอใช้ไหม บอกเลยว่าพอ เหลือเก็บด้วยค่ะ ก่อนหน้าเงินเดือนเยอะก็จริง
สังคมก็เยอะตาม ค่าใช้จ่ายเยอะ กินข้าวแต่ละมื้อเป็น 100 นั่งรถวันละ 100 - 200 แต่ละวันอยู่บนท้องถนนวันละ 2-3 ชั่วโมง
กินข้าวนอกบ้าน 3 มื้อ เช่าคอนโดราคาแพง 6000-7000  เพราะงานเงินเดือนเยอะๆบริษัทใหญ่ๆจะอยู่กลางเมือง
ต้องหาที่มีที่จอดรถด้วย

ช่วงที่เราพักรักษาตัวสามีย้ายที่พักอยู่ๆใกล้ที่ทำงานของสามีค่ะออกจากตัวเมืองมานิดหน่อยค่ะ
เราจึงยอมลดเงินเดือนตัวเองเพื่อไม่ไปทำงานย่านตัวเมืองค่ะ

เราจะบอกว่าทำไมลดเงินเดือนแล้วเราอยู่สบายกว่าตอนเงินเดือนเยอะๆค่ะ 1 ปี ที่พักฟื้นสามีมีรายได้คนเดียว
ใช้เงินอย่างประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย สามีหารายได้เสริมเพื่อให้อยู่กันได้ไม่ลำบากทั้ง 2 คน
(เราไม่เคยยืมเงินใครสักบาทช่วงพักฟื้นค่ะ ) จนติดนิสัยประหยัด อดออม

ณ ปัจจุบันนั่งรถไปกลับทำงานวันละ 18 บาท ถ้านั่งรถตู้ 20  (3ป้ายรถเมล์) ออกจากบ้าน 8.30 นั่งรถนานสุด 15 นาที
มื้อเช้าทำอาหารทานเอง มื้อเที่ยงอาหาร 45 +( ค่าผลไม้ 15 +น้ำหวาน 15 =บางมื้อ) มื้อเย็นกลับมาทำอาหารทานเอง
สรุปทำงานรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด/ต่อ ไม่เกิน 100 บาท เข้างาน 9.00 เลิก 18.00 เรากลับถึงบ้าน 18.15 ทุกวันถ้าไม่แวะเดินดูโน้นนี่
หรือสรรคสังกับเพื่อนร่วมงาน

ส่วนคุณสามี เดินไปทำงาน จากเมื่อก่อนต้องเสียค่ารถหรือค่าน้ำมัน เพราะบางวันขับรถไปทำงาน ตกวันประมาณ 200(เฉพาะค่าเดินทาง)
แต่ทุกวันนี้ เดินไปทำงาน ที่ทำงานกับคอนโดห่างกัน 1 ป้ายรถเมล์ มื้อเช้าทานที่บ้าน เที่ยงอาหารโรงอาหาร 40
+ กาแฟสด(ขาดไม่ได้)35 สรุปวันนึงไม่เกิน  100 บาท แฟนไม่ทานขนมหวาน

ตั้งแต่เราเปลี่ยนสายงานและยอมลดเงินเดือนเพื่อทำงานใกล้บ้าน รู้สึกว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้น มีเวลาทำโน้นนี้
มีเวลาทำอาหารทานเอง มีเวลาออกกำลังกาย เรากับสามีได้ทำกิจกรรมร่วมกันเยอะขึ้น ดูหนังฟังเพลง
และไม่เสียสุขภาพจิตในการนั่งรถติด  

ทุกวันนี้รายรับจะน้อยลงมากเมื่อรวมเงินเดือนสองคน แต่รายจ่ายเราก็ลดลงมากเท่าตัว จากเมื่อก่อนเงินเดือนจะใช้เดือน ชน เดือน
เงินเก็บมีน้อยมากเมื่อเทียบกับเงินเดือน ตั้งแต่เราย้ายงานและย้ายการใช้ชีวิตใหม่ มีเงินฝากทุกเดือนค่ะ   

จะบอกว่า เรากับแฟนเงินเดือนรวมกัน 44,000(ไม่นับเศษเอากลม)  
เราผ่อนรถ(ผ่อนก่อนที่จะป่วย) ผ่อนคอนโด(เมื่อก่อนเช่าตอนนี้ซื้ออยู่เอง)
บางคนถามว่าเงินเดือนเท่านี้ทำยังไงถึงพอ เกินตัวไปไหมที่ผ่อนรถ และคอนโด
บางคนมาสงสารเราเฉย งง มาสงสารอะไรฉัน ฉันไม่เคยค้างชำระสักงวด
เป็นลูกหนี้ที่ดี ไม่เคยเหรด ตรงทุกงวด

44,000/เดือน (คิดกลมๆ)
*ผ่อนรถ 10,600/เดือน (รถเหลือ 1ปี8 เดือน ผ่อนไว้ก่อนจะป่วยค่ะ)
*คอนโดผ่อน 6,000 /เดือน  (ผ่อนดาวน์ 190,000 ไม่ได้กู้ค่ะ 18 งวด ผ่อนครบแล้ว ณ ตอนนี้เข้าอยู่แล้วค่ะ )
*ค่าน้ำค่าไฟ ค่าส่วนกลางคอนโด 800+1000(ค่าน้ำค่าไฟ แต่ไม่เคยใช้ถึง)
เหลือ  25,600

*เราจะแบ่งกับแฟน
แฟน 3,000 (ค่าอาหารมื้อกลางวัน) - เรา 4,500  (ค่าอาหารมื้อกลางวันกับค่ารถ )
แฟนจะเหลือทุกเดือน 1,000 เราก็จะเหลือทุกเดือน 1,000  บางเดือนเหลือเกือบ 2,000
เหลือ 18,100

*ค่ากลับข้าวเราซื้ออาหารสดทุกสัปดาห์ทำกินเองค่ะ 600/สัปดาห์ =4*600=2,400
อาจจะน้อยนะแต่จะบอกว่าบางสัปดาห์เหลือเยอะค่ะ
เหลือ  15,700

*ค่าน้ำมันรถ 1,000  ถ้าจะไปไหน ทริปหรือธุรของใครระหว่าง
เรากับแฟนคนนั้นต้องหักเงินค่าขนมของตัวเองค่ะ ส่วนมากจะไปเที่ยวซะมากกว่า คนหนึ่งออกค่าน้ำมัน
คนหนึ่งออกค่าอาหารค่ะ
เหลือ 14,700

*ค่าใช้จ่ายซื้อของใช้เข้าบ้าน 2,500 + (ค่าโทรศัพท์รายเดือน+ค่าอินเตอร์เน็ต 700(2คน)+800)=4,000
เหลือ10,700

*เงินเก็บ 4,000 (ส่วนนี้เราเก็บเข้าบัญชี ฝากประจำ ภาคบังคับ )
*ค่าใช้จ่ายค่าเสื่อมของรถ พรบ. ประกัน 1,500 (เก็บทุกเดือนค่ะถึงรอบจะได้ไม่ปวดหัว)

*1,000ให้แม่ (แม่เราเอง พ่อแม่ฝ่ายสามีเคยให้แต่เค้าไม่รับบอกว่าเราเพิ่งสร้างครอบครัว แต่แฟนจะให้ช่วงเทศกาล)
แม่อยู่บ้านพี่สาวแทบจะไม่ได้ใช้เงินเลยค่ะ บางเดือนแม่บอกว่าไม่ต้องโอนให้ เดือนก่อนยังไม่ได้ใช้เลย
เราก็จะโอนให้พี่สาวแทนเป็นค่าของใช้ของแม่

*เหลืออีก 4,200
ส่วนนี้เก็บไว้ยามฉุกเฉิน และค่าหาความสุขใส่ตัว หรือค่าอาหารที่จะทานนอกบ้าน
หรือใส่ซองงานแต่ง งานบวช แต่ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ เงินส่วนนี้แฟนเป็นคนเก็บแฟน
เวลาจะเอาโน้นนี้แฟนจะสอนให้เราเก็บไปแต่ละเดือน แล้วค่อยซื้อค่ะ

จำนวนตัวเลขเงินอาจจะมียืดหยุ่นบ้างค่ะ แต่ยังมีรายได้พิเศษของสามีอีกค่ะ คือดูแล เวปไซต์
อัดเดทข้อมูลประจำวัน 2,000 รายได้ส่วนนี้เราจะไม่เอามาคิด ทำสัญญาทุก 5 เดือน
มีบางช่วงเว้นแต่ก็กลับมาจ้างเหมือนเดิมตลอด ส่วนนี้เราให้สามีเป็นคนเก็บค่ะ
เพราะเป็นรายได้พิเศษของเค้าเผื่อสามีอยากได้อะไรแต่ถ้าเราอยากได้อะไรเป็นพิเศษก้อจะขอจากสามี

ทุกเดือนเราสองคนสามีทำบัญชีรายรับรายจ่าย เพิ่งเข้าใจว่าการทำบัญชีค่าใช้จ่ายมันดียังไง
เราจะรู้ว่าเงินของเราจ่ายอะไรไปบ้าง ถามว่าเราลำบากไหม บอกเลยว่าไม่

พอสื้นเดือนจะสนุกมาก เวลาใครมีเงินเหลือมากกว่ากัน อ้อ!! เรากับสามีจะมีกระปุก ออมสินจะใส่ทุกเช้า
คนละ 10 บาทเป็นค่าออกไปทำงานค่ะ บังคับเลยว่ต้องหยอด
และถ้าใครใช้เงินแล้วได้เงินทอนเป็นแบงค์ 50 ตกลงกันว่าไม่ใช้ให้เก็บ
สรุปแต่ละเดือนเงินส่วนนี้เหลือเยอะเชียวค่ะ

ถามว่าขีดเส้นการใช้เงินแบบนี้อึดอัดไหม ตอบเลยว่าไม่ เราจะสบายๆ ไม่ตึงกับการใช้เงินค่ะ
ทำให้เรามีระเบียบวินัยมากขึ้น อยากได้อะไรทำให้เรารู้คุณค่าของเงิน


อยากจะบอกว่าคนเราไม่ได้วัดกันที่เงินเดือนค่ะ บางคนเงินเดือนน้อยนิดแต่คุณภาพชีวิต ดี ดี๊  บางครั้งเราเห็น
เพื่อนๆบางคนที่ว่าเราเรื่องเปลี่ยนงาน เงินเดือนน้อยกว่าเค้า ต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ ต้องตื้นนอนตั้งแต่
ตี 5 เพื่อมาให้ทันทำงาน และกว่าจะถึงบ้านเกือน สี่ทุ่ม ห้าทุ่ม  เรายังย้อนไปว่าเราเคยใช้ชีวิตแบบนี้ได้ไงเนี้ย
ทุกวันนี้เรานั่งรถย้อนทางกับคนอื่น เห็นรถติดแล้วเพลียแทน เงินเดือนใช้ว่าสำคัญค่ะ....

คนเราไม่สายที่เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ และเรียนรู้ตัวเองว่า ตัวเองชอบอะไรค่ะ....
บางครั้งเงินเดือนเยอะๆก็ไม่ใช่เป็นเป้าหมายการใช้ชีวิตของทุกคนไปค่ะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่