เหมือน ๆอาการท้องเดินยังไม่หายสนิท เลยขอปริ๊ด ๆอีกซัก 2 เรื่องเลี้ยวกังน่อ
บางปู ดูนวล ดวลกีตาร์ จะว่าไป เหล่าแมน ๆอย่างเรากับเพื่อน ๆ วัดสังเวชเนี่ยก็อารมณ์ละเมียดเฉียดโรมานซ์หวานหวามไม่หยอกอยู่นะ สอบเสร็จแต่ละครั้งเนี่ย ไม่ว่าจะเป็นกลางภาคหรือปลายเทอม พวกเรา 5-6 คนก็จะต้องแบกกีตาร์ขึ้นรถเมล์สาย 25 ไปปากน้ำ สมุทรปราการ จากนั้นก็ต่อรถ 2 แถว ( คือนั่งรถ 2 แถวต่ออีกทอดนึงนะ ไม่ใช่อ๊อกเอิ๊กประก่งประกอบ เอ๊ คุณผู้อ่านเนี่ย ยังไงนะ ) ไปอีกหนึ่งเพลินครึ่งก็ถึงที่หมาย " สถานพักฟื้นบางปู" ตอนบ่ายแก่ ๆ
เป้าหมายหลักคือ จับจองช่องเว้าบนสะพานตรงหม่องเหมาะ ให้ได้สายลมพอเอื่อยอ่อน แล้ววันชัย มือกีตาร์อันดับหนึ่งประจำก๊วนก็จะเริ่มบรรเลงเพลงไทยฮ็อตฮิตในยุคนั้น เช่น เพลงทั้งหมู่มวลของวงชาตรีที่ไม่ใช่ศรีชล ประเภทแฟนฉัน ,รักครั้งแรก,ยากยิ่งนัก.....ถ้าเป็นแกรนด์เอ๊กซ์ก็ต้องแนวเลียนเสียงนุ่ม ๆดุจฟองโฟมล้างรถของพี่แจ้ " พบรัก" ที่ไพเราะเหลือประมาณ อีกเพลงที่จะขาดเสียมิได้ ไม่งั้นท้องผูกเป็นนิ่ว " ถึงจะสิ้นวิญญาณกี่ครั้ง ฉันก็ยังรักเธอฝังใจ..." ของอินโนเซนต์ ที่ตอนหลังมีคนเอามาทำเพลงประกอบโฆษณาห้างหรือไงนี่แหละ
ที่จริงเวลามากันแบบนี้ก็จะมีกีตาร์ตัวเดียวนี่แหละ ไม่ได้ดงได้ดวลตามหัวเรื่องหรอก แค่สัมผัสพาไปเท่านั้นเอง แหะแหะ วันชัย หัวหน้าห้องหนึ่งสมัยของเราจะรับเหมาเล่นเองทั้งหมด แบบว่าตีคอร์ดไป พอถึงท่อนลี้ด มันก็ลี้ดด้วยกีตาร์โปร่งนี่แหละ แต่ว่ามันได้ฟีลดีเหมือนกันนะ แต่ถ้าไปตั้งวงที่บ้านมันเมื่อไหร่ บางทีจะมีกีต้าร์แจมถึง 3 ตัวทีเดียวเชียว มีอหนึ่งตีคอร์ดคุมจังหวะไป ไอ้เกียติมือ 2 จะคอยลี้ดไล่ ไอ้เรามือ 3 ก็จะตีเบส ตึ๋งหนืด ๆคลอตามไปเรื่อย ๆ แบบว่าเนียนมาก ๆ เล่นหลอกพวกผู้หญิงอยู่ตั้งนาน 2 นาน ตอนหลังถึงมีคนนึงจับได้ว่า ไอ้มือ 3 เนี่ยมัน " มั่ว"นี่หว่า ไม่ได้ปงไม่ได้เป็นอะไรกับเค้าเล้ยยยย 55555 เนียนซ้าาาาาาาาา จนน่าจะมีแม่ชื่อ " จำเนียน" มากกว่า " บุญนาง" ซะละมัง
แต่ ให้ไม่ตายสิเอ้า ฉากนกนางนวลนับร้อยนับพันบินฉวัดเฉวียนโฉบไปโฉบมากันควั่ก ๆนี่ มันช่างงดงามเกินจะบรรยายซะจริง ๆ เอาเป็นว่า " หะโฮ้ย วี้ดวิ้ว หวู่ฮู้ววววสุด ๆไปเลย"อะ ยิ่งช็อตที่มันร่อนปีกโฉบข้าวหลามบิกลางที่พวกเราโยนให้กลางอากาศ เนียนนวลสมชื่อเป็นยิ่งนัก สุดจะหักใจรักเจ้านวลจนล้นปรี่ ถึงจะผ่านเนิ่นนานมาหลายปี ยังสุดที่จะคะนึงถึงบางปู ( เอ่อ อารมณ์บางปูพาไปน่ะ ) บางที พวกเราก็จะถอดรองเท้าลงไปย่ำโคลนจับปูกะปลาตีน ( โทษทีที่ไม่สุภาพ ต้องไปโทษคนตั้งโน่นดิ เอ๊อ อีกแระ ) เป็นอะไรที่หนุกหนานบานตะไลมาก ๆ ( ตามมาตราส่วน 2.45 บานตะไท = 1 บานตะไล ) พออิ่มเอมใจได้ที่ แดดร่มลมตด เอ๊ย ตก พวกเราก็จะยกกีวนไปอิ่มกายกันต่อที่ร้านทหารเรือที่ปลายสะพาน ที่จริง ถ้าใครเคยไปที่นี่หรือที่ไหนก็แล้วแต่ที่ออกแนวบริการโดยชายชาติทหารแบบนี้ ย่อมจะรู้ว่า อย่าได้คาดหวังรสชาติความอร่อยเป็นดีที่สุด เพราะเค้าทำดีที่สุดได้เท่านั้นแหละ ก็เค้าให้สายลมเย็นเอื่อย น้องนวลนับร้อย วิวอ่าวไทยกว้างไกลสุดตา แล้วยังจะเอาอะไรอีก หือ
และแล้ว ครั้งหนึ่งวันนั้น สีสันสวยงาม หลังจากเอมใจและกายจนอาหารและเครื่องดื่ม ( น้ำอัดลมและอัดแอล )หมดโต๊ะ พวกเราก็เรียกเช็คบิล ทีนี้ตอนนั้นยังไม่มีใครจบบริหารการเงินเลยซักคน ควักกันไปควักกันมา กว่าจะรีดออกมาได้ครบ เล่นเอาทั้งคนจ่ายคนเก็บลุ้นกันน้ำลายเหนียวไปเลย เรียกว่าตูดแทบจะหมดกันทุกตูดนั่นแหละ สุดท้ายพอจ่ายค่ารถ 2 แถวเสร็จก็เป็นอันว่า ค่ารถเมล์สาย 25 ที่จะพาก๊วนเกลอเผลอกินเพลิน ( เกิน ) กลับกรุงหามีไม่ แล้วจะทำไงได้ ก็ต้องแบกหน้ามึนขึ้นไปนั่งตอนหลัง พอพี่กระเป๋าเดินแกีป ๆเข้ามา เราก็ยื่นหน้ามึน ๆเข้าไปหา พร้อมกับเอ่ยมธุรสวาจาว่า " พี่ครับ พวกผมสอบเสร็จมาเที่ยวบางปูกัน ทีนี้ดันกินกันเพลินไปหน่อย แหะแหะ เงินเลยหมด มีเหลือแค่นี้ ขอนั่งไปลงหนามหลวงหน่อยนะพี่" พี่เค้าเจอก๊วนสะเหร่อไม่เจียมกระเป๋าแบบพวกเราบ่อยรึไงก็ไม่รู้ เค้าเลยทำหน้าเซ็ง ๆพอประมาณ แบบว่าพอให้รู้ว่า " นี่เซ็งนาโว้ย" แล้วก็เดินแก๊ ป ๆจากไป พอไปถึงหนามหลวงแล้ว เราก็ต้องรับหน้าที่เข้าไปไถเงินไอ้จ่อยที่วัดมาเป็นค่ารถให้พรรคพวกได้กลับไปเจอหน้าแม่หน้าพ่อกันต่อไป
บางแสน สะดือดำให้มีปิดเทอมนึง เรา ไอ้จ่อย ไอ้ธี ( ก๊วนอารามบอย )แล้วก็ไอ้เกียรติ นึกครึ้มอยากเที่ยวทะเล และด้วยสถานภาพอย่างพวกเรา แอฟฟอร์ดได้ก็แค่ทะเลที่ใกล้ที่สุดเท่านั้น " บางแสน" จำได้ว่า ตื่นเต้นกันมากเหลือเกิน จนถึงกับกลัวว่าจะเที่ยวได้ไม่คุ้ม เลยจับรถเที่ยวแรกที่เอกมัยราว ๆตีห้าได้มั้ง ไปถึงหาดบางแสน ยังดูสลัว ๆอยู่เลย เลยชวนกันไปนั่งเล่นนอนเล่นริมหาด เม้าท์กันไปเรื่อย ๆ กะว่าพอตะวันขึ้น เห็นน้ำทะเลชัดหน่อย ก็ลงไปลุยโลดให้คุ้มกับความตื่นเต้นกันไปเลย อุแม่เจ้า รู้งี้เซิร์ชกูเกิ้ลก่อนก็ดี หรอก ( โม้ไปงั้นแหละ ตอนนั้นมีเน็ตที่ไหนกัน ) นี่มันทะเลหรือว่า เลทะ หรือว่ากระทะกันแน่ เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่คราบน้ำมันผสมยางมะตอยลอยฟ่องเต็มไปหมดชนิดสุดลูกหูลูกตาหลานยายทีเดียว เดินไปทางซ้ายก็แล้ว ขวาก็แล้ว เดินกันไปหลายรอยเท้าก็แล้ว ไม่มีวี่แววเลยว่า ตรงไหนจะมีพื้นที่ว่างพอที่จะให้เราพาตัวลงไปเล่นน้ำปลอดคราบน้ำมันได้เลยสักหม่อง
อุตส่าห์แหกขี้ตาแหกกระเป๋าเสียค่ารถจนแทบหมดตูดกันแล้วแบบนี้ มีหรือที่จะถอย สุดท้ายด้วยเสียงเอกฉันท์ 4 เกลอเจอทะเลดำ เลยพร้อมใจกันถอดเสื้อผ้าเหลือกางเกงขาสั้นตัวเดียว ( 4 คนก็ 4 ตัวสิ จะใส่ตัวเดียวกันได้ไง เอ๊ อีกแระ ) แล้วก็ลงไปเล่นน้ำกันแบบแค่น ๆ ทว่ามันก็ให้รสชาติความมันส์ไปอีกแบบ ประมาณว่ากำลังเล่นเกมฝึกประสาทสายตา คือหนุกนิด ๆนึง ๆไปด้วย แล้วก็คอยเล็ง ๆไปด้วยว่า ต้องเอี้ยวตัวหลบยังไง ถึงจะรอดพ้นแพยางมะตอยปื้นใหญ่ที่กำลังลอยรี่เข้ามาได้ ที่แน่ ๆ วันนั้น บางแสนทั้งหมดเป็นของเรา เค้ายกให้เรา 4 คนแล้ว เพราะในจักรวาลนี้คงไม่มีใครบ้าหรือเสียสติพอที่จะลงไปละเลงตัวเกลือกกลั้วคราบน้ำมันกับยางมะตอยดำเมี่ยมแบบนั้นแน่ สุดท้าย พอรู้สึกว่าสะใจพอคุ้มกับค่าแหกขี้ตากับกระเป๋าถึงขีดนึง และทุเรศทุรังกันได้ที่แล้ว พวกเราก็ขึ้นจากทะเล เอ๊ยเลทะ เอ๊ยกระทะน้ำมันเย็นยักษ์ที่เรียกว่า บางแสน ในสภาพที่มอมแมมเปรอะเปื้อนขมุกขมัวเป็นปื้น ๆแถบ ๆจุด ๆไปทั่วทั้งตัว ไม่เว้นกระทั่งใบหน้าอันหล่อเหลา กว่าจะเอาสบู่ในห้องน้ำขัดถูออกให้พอดูสารรูปตัวเองได้และพร้อมจะขึ้นรถกลับบ้านได้ก็เล่นเอาหมดสบู่หมดน้ำหมดแรงหมดใจไปตาม ๆกัน ที่สำคัญ กลับมาแล้ว พวกเรายังต้องมานั่งแคะยางมะตอยออกจากสะดือกันต่ออีกหลายแป๊บอีกด้วย งานนี้ ถึงไม่รู้ว่าสะดือทะเลดำหรือไม่ดำ แต่ก็รู้แน่ชัดเลยว่า สะดือตรูกับพรรคพวก " ดำเมี่ยม" เลยอะ
สัญญาลูกผู้ชายอก 3.5 ศอก รอบเอว 34 รองเท้าเบอร์ 42-43 ว่าพรุ่งนี้จะเดินเข้ารั้วจามจุรีแล้วอย่างแน่นอน.........มั้ง
บันทึกชีวิต แง้มนิด ปิดหน่อยของคนชื่อต๋อง-27/49 หมดตูดที่บางปู สะดือดำ ณ บางแสน
เหมือน ๆอาการท้องเดินยังไม่หายสนิท เลยขอปริ๊ด ๆอีกซัก 2 เรื่องเลี้ยวกังน่อ
บางปู ดูนวล ดวลกีตาร์ จะว่าไป เหล่าแมน ๆอย่างเรากับเพื่อน ๆ วัดสังเวชเนี่ยก็อารมณ์ละเมียดเฉียดโรมานซ์หวานหวามไม่หยอกอยู่นะ สอบเสร็จแต่ละครั้งเนี่ย ไม่ว่าจะเป็นกลางภาคหรือปลายเทอม พวกเรา 5-6 คนก็จะต้องแบกกีตาร์ขึ้นรถเมล์สาย 25 ไปปากน้ำ สมุทรปราการ จากนั้นก็ต่อรถ 2 แถว ( คือนั่งรถ 2 แถวต่ออีกทอดนึงนะ ไม่ใช่อ๊อกเอิ๊กประก่งประกอบ เอ๊ คุณผู้อ่านเนี่ย ยังไงนะ ) ไปอีกหนึ่งเพลินครึ่งก็ถึงที่หมาย " สถานพักฟื้นบางปู" ตอนบ่ายแก่ ๆ
เป้าหมายหลักคือ จับจองช่องเว้าบนสะพานตรงหม่องเหมาะ ให้ได้สายลมพอเอื่อยอ่อน แล้ววันชัย มือกีตาร์อันดับหนึ่งประจำก๊วนก็จะเริ่มบรรเลงเพลงไทยฮ็อตฮิตในยุคนั้น เช่น เพลงทั้งหมู่มวลของวงชาตรีที่ไม่ใช่ศรีชล ประเภทแฟนฉัน ,รักครั้งแรก,ยากยิ่งนัก.....ถ้าเป็นแกรนด์เอ๊กซ์ก็ต้องแนวเลียนเสียงนุ่ม ๆดุจฟองโฟมล้างรถของพี่แจ้ " พบรัก" ที่ไพเราะเหลือประมาณ อีกเพลงที่จะขาดเสียมิได้ ไม่งั้นท้องผูกเป็นนิ่ว " ถึงจะสิ้นวิญญาณกี่ครั้ง ฉันก็ยังรักเธอฝังใจ..." ของอินโนเซนต์ ที่ตอนหลังมีคนเอามาทำเพลงประกอบโฆษณาห้างหรือไงนี่แหละ
ที่จริงเวลามากันแบบนี้ก็จะมีกีตาร์ตัวเดียวนี่แหละ ไม่ได้ดงได้ดวลตามหัวเรื่องหรอก แค่สัมผัสพาไปเท่านั้นเอง แหะแหะ วันชัย หัวหน้าห้องหนึ่งสมัยของเราจะรับเหมาเล่นเองทั้งหมด แบบว่าตีคอร์ดไป พอถึงท่อนลี้ด มันก็ลี้ดด้วยกีตาร์โปร่งนี่แหละ แต่ว่ามันได้ฟีลดีเหมือนกันนะ แต่ถ้าไปตั้งวงที่บ้านมันเมื่อไหร่ บางทีจะมีกีต้าร์แจมถึง 3 ตัวทีเดียวเชียว มีอหนึ่งตีคอร์ดคุมจังหวะไป ไอ้เกียติมือ 2 จะคอยลี้ดไล่ ไอ้เรามือ 3 ก็จะตีเบส ตึ๋งหนืด ๆคลอตามไปเรื่อย ๆ แบบว่าเนียนมาก ๆ เล่นหลอกพวกผู้หญิงอยู่ตั้งนาน 2 นาน ตอนหลังถึงมีคนนึงจับได้ว่า ไอ้มือ 3 เนี่ยมัน " มั่ว"นี่หว่า ไม่ได้ปงไม่ได้เป็นอะไรกับเค้าเล้ยยยย 55555 เนียนซ้าาาาาาาาา จนน่าจะมีแม่ชื่อ " จำเนียน" มากกว่า " บุญนาง" ซะละมัง
แต่ ให้ไม่ตายสิเอ้า ฉากนกนางนวลนับร้อยนับพันบินฉวัดเฉวียนโฉบไปโฉบมากันควั่ก ๆนี่ มันช่างงดงามเกินจะบรรยายซะจริง ๆ เอาเป็นว่า " หะโฮ้ย วี้ดวิ้ว หวู่ฮู้ววววสุด ๆไปเลย"อะ ยิ่งช็อตที่มันร่อนปีกโฉบข้าวหลามบิกลางที่พวกเราโยนให้กลางอากาศ เนียนนวลสมชื่อเป็นยิ่งนัก สุดจะหักใจรักเจ้านวลจนล้นปรี่ ถึงจะผ่านเนิ่นนานมาหลายปี ยังสุดที่จะคะนึงถึงบางปู ( เอ่อ อารมณ์บางปูพาไปน่ะ ) บางที พวกเราก็จะถอดรองเท้าลงไปย่ำโคลนจับปูกะปลาตีน ( โทษทีที่ไม่สุภาพ ต้องไปโทษคนตั้งโน่นดิ เอ๊อ อีกแระ ) เป็นอะไรที่หนุกหนานบานตะไลมาก ๆ ( ตามมาตราส่วน 2.45 บานตะไท = 1 บานตะไล ) พออิ่มเอมใจได้ที่ แดดร่มลมตด เอ๊ย ตก พวกเราก็จะยกกีวนไปอิ่มกายกันต่อที่ร้านทหารเรือที่ปลายสะพาน ที่จริง ถ้าใครเคยไปที่นี่หรือที่ไหนก็แล้วแต่ที่ออกแนวบริการโดยชายชาติทหารแบบนี้ ย่อมจะรู้ว่า อย่าได้คาดหวังรสชาติความอร่อยเป็นดีที่สุด เพราะเค้าทำดีที่สุดได้เท่านั้นแหละ ก็เค้าให้สายลมเย็นเอื่อย น้องนวลนับร้อย วิวอ่าวไทยกว้างไกลสุดตา แล้วยังจะเอาอะไรอีก หือ
และแล้ว ครั้งหนึ่งวันนั้น สีสันสวยงาม หลังจากเอมใจและกายจนอาหารและเครื่องดื่ม ( น้ำอัดลมและอัดแอล )หมดโต๊ะ พวกเราก็เรียกเช็คบิล ทีนี้ตอนนั้นยังไม่มีใครจบบริหารการเงินเลยซักคน ควักกันไปควักกันมา กว่าจะรีดออกมาได้ครบ เล่นเอาทั้งคนจ่ายคนเก็บลุ้นกันน้ำลายเหนียวไปเลย เรียกว่าตูดแทบจะหมดกันทุกตูดนั่นแหละ สุดท้ายพอจ่ายค่ารถ 2 แถวเสร็จก็เป็นอันว่า ค่ารถเมล์สาย 25 ที่จะพาก๊วนเกลอเผลอกินเพลิน ( เกิน ) กลับกรุงหามีไม่ แล้วจะทำไงได้ ก็ต้องแบกหน้ามึนขึ้นไปนั่งตอนหลัง พอพี่กระเป๋าเดินแกีป ๆเข้ามา เราก็ยื่นหน้ามึน ๆเข้าไปหา พร้อมกับเอ่ยมธุรสวาจาว่า " พี่ครับ พวกผมสอบเสร็จมาเที่ยวบางปูกัน ทีนี้ดันกินกันเพลินไปหน่อย แหะแหะ เงินเลยหมด มีเหลือแค่นี้ ขอนั่งไปลงหนามหลวงหน่อยนะพี่" พี่เค้าเจอก๊วนสะเหร่อไม่เจียมกระเป๋าแบบพวกเราบ่อยรึไงก็ไม่รู้ เค้าเลยทำหน้าเซ็ง ๆพอประมาณ แบบว่าพอให้รู้ว่า " นี่เซ็งนาโว้ย" แล้วก็เดินแก๊ ป ๆจากไป พอไปถึงหนามหลวงแล้ว เราก็ต้องรับหน้าที่เข้าไปไถเงินไอ้จ่อยที่วัดมาเป็นค่ารถให้พรรคพวกได้กลับไปเจอหน้าแม่หน้าพ่อกันต่อไป
บางแสน สะดือดำให้มีปิดเทอมนึง เรา ไอ้จ่อย ไอ้ธี ( ก๊วนอารามบอย )แล้วก็ไอ้เกียรติ นึกครึ้มอยากเที่ยวทะเล และด้วยสถานภาพอย่างพวกเรา แอฟฟอร์ดได้ก็แค่ทะเลที่ใกล้ที่สุดเท่านั้น " บางแสน" จำได้ว่า ตื่นเต้นกันมากเหลือเกิน จนถึงกับกลัวว่าจะเที่ยวได้ไม่คุ้ม เลยจับรถเที่ยวแรกที่เอกมัยราว ๆตีห้าได้มั้ง ไปถึงหาดบางแสน ยังดูสลัว ๆอยู่เลย เลยชวนกันไปนั่งเล่นนอนเล่นริมหาด เม้าท์กันไปเรื่อย ๆ กะว่าพอตะวันขึ้น เห็นน้ำทะเลชัดหน่อย ก็ลงไปลุยโลดให้คุ้มกับความตื่นเต้นกันไปเลย อุแม่เจ้า รู้งี้เซิร์ชกูเกิ้ลก่อนก็ดี หรอก ( โม้ไปงั้นแหละ ตอนนั้นมีเน็ตที่ไหนกัน ) นี่มันทะเลหรือว่า เลทะ หรือว่ากระทะกันแน่ เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่คราบน้ำมันผสมยางมะตอยลอยฟ่องเต็มไปหมดชนิดสุดลูกหูลูกตาหลานยายทีเดียว เดินไปทางซ้ายก็แล้ว ขวาก็แล้ว เดินกันไปหลายรอยเท้าก็แล้ว ไม่มีวี่แววเลยว่า ตรงไหนจะมีพื้นที่ว่างพอที่จะให้เราพาตัวลงไปเล่นน้ำปลอดคราบน้ำมันได้เลยสักหม่อง
อุตส่าห์แหกขี้ตาแหกกระเป๋าเสียค่ารถจนแทบหมดตูดกันแล้วแบบนี้ มีหรือที่จะถอย สุดท้ายด้วยเสียงเอกฉันท์ 4 เกลอเจอทะเลดำ เลยพร้อมใจกันถอดเสื้อผ้าเหลือกางเกงขาสั้นตัวเดียว ( 4 คนก็ 4 ตัวสิ จะใส่ตัวเดียวกันได้ไง เอ๊ อีกแระ ) แล้วก็ลงไปเล่นน้ำกันแบบแค่น ๆ ทว่ามันก็ให้รสชาติความมันส์ไปอีกแบบ ประมาณว่ากำลังเล่นเกมฝึกประสาทสายตา คือหนุกนิด ๆนึง ๆไปด้วย แล้วก็คอยเล็ง ๆไปด้วยว่า ต้องเอี้ยวตัวหลบยังไง ถึงจะรอดพ้นแพยางมะตอยปื้นใหญ่ที่กำลังลอยรี่เข้ามาได้ ที่แน่ ๆ วันนั้น บางแสนทั้งหมดเป็นของเรา เค้ายกให้เรา 4 คนแล้ว เพราะในจักรวาลนี้คงไม่มีใครบ้าหรือเสียสติพอที่จะลงไปละเลงตัวเกลือกกลั้วคราบน้ำมันกับยางมะตอยดำเมี่ยมแบบนั้นแน่ สุดท้าย พอรู้สึกว่าสะใจพอคุ้มกับค่าแหกขี้ตากับกระเป๋าถึงขีดนึง และทุเรศทุรังกันได้ที่แล้ว พวกเราก็ขึ้นจากทะเล เอ๊ยเลทะ เอ๊ยกระทะน้ำมันเย็นยักษ์ที่เรียกว่า บางแสน ในสภาพที่มอมแมมเปรอะเปื้อนขมุกขมัวเป็นปื้น ๆแถบ ๆจุด ๆไปทั่วทั้งตัว ไม่เว้นกระทั่งใบหน้าอันหล่อเหลา กว่าจะเอาสบู่ในห้องน้ำขัดถูออกให้พอดูสารรูปตัวเองได้และพร้อมจะขึ้นรถกลับบ้านได้ก็เล่นเอาหมดสบู่หมดน้ำหมดแรงหมดใจไปตาม ๆกัน ที่สำคัญ กลับมาแล้ว พวกเรายังต้องมานั่งแคะยางมะตอยออกจากสะดือกันต่ออีกหลายแป๊บอีกด้วย งานนี้ ถึงไม่รู้ว่าสะดือทะเลดำหรือไม่ดำ แต่ก็รู้แน่ชัดเลยว่า สะดือตรูกับพรรคพวก " ดำเมี่ยม" เลยอะ
สัญญาลูกผู้ชายอก 3.5 ศอก รอบเอว 34 รองเท้าเบอร์ 42-43 ว่าพรุ่งนี้จะเดินเข้ารั้วจามจุรีแล้วอย่างแน่นอน.........มั้ง